ศูนย์กลางภายใน

ศูนย์กลางภายใน

 

                                                        

                    มนุษย์เป็นวงกลมที่ไร้จุดศูนย์กลาง ชีวิตของเขามีลักษณะผิวเผิน เป็นชีวิตที่คงอยู่เพียงแค่ผิวนอกเท่านั้น  คนเราส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ข้างนอก ไม่เคยมีชีวิตอยู่ข้างใน เราไม่มีวันทำเช่นนั้นได้ เว้นแต่ว่า เราจะค้นพบจุดศูนย์กลางเสียก่อน

 

                  ในความเป็นจริงแล้ว เราจะมี “ข้างใน” โดยปราศจากศูนย์กลางไม่ได้ จะมีได้เพียง “ข้างนอก”เท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมพวกเราจึงเอาแต่พร่ำพูดกันถึงเรื่องภายในหรือการปฏิบัติธรรม พูดถึงวิธีการที่จะเข้าถึงสัจธรรมหรือการบรรลุธรรม พูดถึงหนทางในการรู้จักตัวเอง

 

                  แม้กระทั่งเวลาที่อยู่คนเดียว ในจิตใจของเราก็ยังอยู่ท่ามกลางฝูงชนคือคิดถึงเรื่องราวของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา   ในยามที่ด้านนอกปราศจากผู้คน แต่กระนั้น ก็ยังมิได้ดำรงอยู่ภายใน เราเฝ้าแต่คิดถึงผู้อื่น หรือมุ่งแต่จะออกสู่ด้านนอกอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งในช่วงที่หลับใหล  เราก็ยังฝันเห็นผู้อื่น เราไม่ได้ดำรงอยู่ข้างในตัวเอง

 

                  มีเฉพาะในช่วงที่บางคืนได้หลับลึกหรือหลับได้อย่างสนิท  ช่วงเวลาที่ปราศจากความฝันเท่านั้น   ที่เราพอที่จะสามารถดำรงอยู่ข้างในได้  แต่ช่วงเวลานั้น เรากลับไม่มีสติรู้สึกตัว  พึงสำเหนียกถึงความจริงในข้อนี้  คือในเวลาที่รู้สึกตัว เราไม่เคยคงอยู่ข้างใน  ในเวลาที่เราดำรงอยู่ข้างใน เรากลับไม่รู้สึกตัว ดังนั้น เราจึงไม่ได้อยู่ในศูนย์กลางภายในอย่างแท้จริงเลย

 

                 ชั่วขณะที่ดำรงอยู่นี้  แท้ที่จริงแล้วมีเพียงความว่าง และทุกๆขณะที่ผ่านมา  ก็ล้วนแต่เป็นเช่นนั้น คือเป็นเพียงความว่างเปล่า เราเอาแต่รออนาคต มัวแต่คาดหวังว่าจะมีอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นแน่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง และแล้วแต่ละขณะก็ผ่านไปอย่างสูญเปล่า สิ่งที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่นี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต ดังนั้น มันจะไม่เกิดขึ้นในอนาคตเช่นเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เฉพาะในชั่วขณะนี้เท่านั้น

 

                    เมื่อเป็นเช่นนี้  จึงจำเป็นจะต้องอาศัยพลังแรงกล้ายิ่งกว่าที่ผ่านมา  มีศรัทธาว่าเราจะต้องหยั่งรากลงสู่ศูนย์กลาง เมื่อนั้น บริเวณผิวนอกก็จะหมดความหมาย ฉะนั้น เราจะต้องค้นหาชั่วขณะที่ว่านี้ว่าเป็นเช่นไร

 

                   โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ก็คือฝูงชนกลุ่มใหญ่ บุคลิกลักษณะเป็นเพียงสิ่งลวงตาเท่านั้น เพราะเราหาใช่บุคคลคนเดียวไม่ เราเป็นบุคคลหลายคนในคนเดียวกันและมีหลายๆอารมณ์

 

                   จุดศูนย์กลางของคนเราทั่วไปจะคงอยู่ชั่วอึดใจเดียว ชั่วขณะถัดไปก็เปลี่ยนแปลงเป็นอีกอย่างหนึ่ง  เป็นอยู่อย่างนี้กับทุกๆขณะ ทุกๆอณูของสถานการณ์ และเป็นอยู่เช่นนี้ทุกวัน  เราไม่เคยรู้ตัวว่า เราเป็นเพียงสภาพไหลเวียนอย่างหนึ่ง  เป็นระลอกคลื่นมากมายที่ปราศจากจุดศูนย์กลางใดๆ และแล้วในที่สุด เราจะรู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมาเป็นเพียงความว่างเปล่า

 

                     มันต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว มันเป็นพียงความสูญเปล่าทางจิตวิญญาณภายใน เราแสวงหาไขว่คว้าดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต่างๆมากมายตลอดมาของช่วงชีวิต  แต่ทุกสิ่งกลับเป็นเพียงการพเนจรไปโดยไร้จุดหมายปลายทาง ชีวิตได้ดำเนินไปโดยปราศจากความหมายใดๆ

 

                    ศาสนา จึงมีรากฐานหรือความสนใจอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรมนุษย์จึงจึงจะค้นพบจุดศูนย์กลางของตัวเอง ทำอย่างไรจึงจะสามารถดำรงความเป็นปัจเจกหรือความเป็นตัวเองไว้ได้   ทำอย่างไรจึงจะค้นพบจุดศูนย์กลางที่จิตดวงนี้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในทุกสถานการณ์

 

                   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่ภายนอก  สิ่งต่างๆยังคงเคลื่อนตัวได้อย่างต่อเนื่อง  การไหลเวียนของชีวิตยังคงดำเนินไปอย่างไม่ขาดสาย ในขณะที่พายุหรือระลอกคลื่นถาโถมเข้ามาแล้วก็จากไป จุดศูนย์กลางก็ยังคงปักหลักอย่างเหนียวแน่นอยู่ด้านในตามเดิม

 

                 เมื่อนั้นนั่นเอง ที่เราจะดำรงอยู่อย่างเป็นเอกภาพ หยั่งรากลึกเข้าสู่จุดศูนย์กลางภายใน  สิ่งนี้คือสิ่งที่นักปราชญ์และผู้รู้แจ้งทั้งหลายเรียกว่า “สมาธิภาวนา”

 

 

                                                                          คุรุอตีศะ

                                                             ๒๖  พฤศจิกายน  ๒๕๕๘