ยิ่งแสวงหา กลับยิ่งห่างไกลและไม่พบ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ยิ่งแสวงหา กลับยิ่งห่างไกลและไม่พบ
พวกเราหลายคน หรือจะพูดให้ชัดก็คือคนส่วนใหญ่ มักจะมีนิสัยไล่ล่าเพื่อให้ได้สิ่งต่างๆ ต้องดิ้นรนไขว่คว้า จึงจะรู้สึกว่าตนได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา แล้วจึงจะรู้สึกสบายใจ
พฤติกรรมในลักษณะนี้พวกเราหลายคนก็คิดว่าต้องทำในลักษณะเดียวกันในทางธรรม หรือในการที่จะได้พบธรรมะด้วย นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายส่วนใหญ่ ก็มักจะมีนิสัยไล่ล่าธรรมะ ไล่ล่าครูบาอาจารย์เช่นนี้โดยไม่รู้ตัว นิสัยเช่นนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาจากการไล่ล่าแสวงหาทรัพย์สมบัติและอำนาจทางโลก
การแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ท่านบอกให้แสวงหานั้น ก็คือการแสวงหาบุคคลที่ทำให้เราได้พบกับคำตอบในชีวิตของตน จนกระทั่งบุคคลนั้นหยุดการแสวงหา ผู้ที่ทำให้เราสิ้นสุดการแสวงหา และสามารถหยุดชีวิตในการดิ้นรนไขว่คว้าอีกต่อไป นั่นแหละคือครูบาอาจารย์ที่ท่านให้เราแสวงหา
หากใครยังรู้สึกว่ายังต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ต่อไป พึงทราบว่าที่ผ่านมาเรายังไม่พบครูบาอาจารย์ที่แท้จริงแต่อย่างใด เราจึงต้องแสวงหาเรื่อยไป เราอาจได้รู้จักครูบาอาจารย์ทั่วประเทศ เหมือนที่เราได้รู้จักดารานักแสดง ได้รู้จักนักการเมืองผู้มีชื่อเสียง ได้รู้จักรัฐมนตรีหรือมหาเศรษฐีคนสำคัญ แล้วเราก็ภูมิอกภูมิใจว่าได้รู้จักครูบาอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมากมาย สิ่งที่เราได้ไม่ใช่ธรรมะ แต่คือการได้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าที่ได้รู้จักคนดัง พระดังต่างหาก นี้คือชีวิตนักปฏิบัติธรรมส่วนมากที่ยังรักการแสวงหา
การที่เราแสวงหาครูบาอาจารย์แล้วรู้สึกว่ายังไม่พบครูบาอาจารย์ที่แท้จริงนั้น ไม่ได้หมายความว่าครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านไม่ได้ประเสริฐจริง ครูบาอาจารย์แต่ละคนแต่ละรูปท่านอาจประเสริฐจริง มีคุณธรรมจริง แต่เราผู้รักการแสวงหาต่างหากที่อาจไม่จริง นั่นก็คือ เราไม่ได้ต้องการธรรมะจริง เราไม่ได้ต้องการขัดเกลากิเลสอย่างแท้จริง แต่เราอาจไปหาท่านด้วยเจตนาแอบแฝงอย่างอื่น ดังนั้น แม้เราจะได้พบของจริง แต่ถ้าเราเองเป็นคนไม่จริง เราก็ย่อมพลาดจากของจริงได้เช่นกัน และเมื่อเราพลาดจากของจริงเพียงครั้งเดียว ชีวิตของคนนั้น ก็มักจะพลาดจากของจริงไปเรื่อยๆ และก็ต้องมีชีวิตที่ระหกระเหินร่ำไป ตามวิสัยของผู้รักความฉาบฉวยเป็นนิสัยและไร้ความเป็นคนจริง
การรักสบายและพอใจที่จะใช้ชีวิตอย่างฉาบฉวยนั้น ย่อมไม่สามารถพบกับความสำเร็จได้แม้ในชีวิตทางโลก แล้วเรื่องทางธรรมซึ่งต้องอาศัยคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงที่ยิ่งกว่า เหตุใดจึงจะไม่สำเร็จได้เฉพาะคนจริงเล่า? “การปล่อยวาง”ที่เรามักได้ยินอยู่บ่อยๆนั้น คือ ชีวิตของคนจริงที่ผ่านการเอาจริงจนผ่านกระบวนการและขั้นตอนมาตามลำดับจนครบถ้วนทุกสิ่ง แล้วจึงมีการปล่อยวางต่างหากเล่า?
โหมดแห่งการใช้ชีวิตมีสองโหมดด้วยกัน คือโหมดแห่งการกระทำ กับโหมดแห่งการยอมรับ คนทั่วไปมักเข้าใจและคุ้นเคยแต่โหมดแห่งการกระทำ แม้ในการแสวงหาธรรมะหรือในการปฏิบัติธรรม คนทั้งหลายก็รู้จักแต่โหมดแห่งการกระทำ ส่วนโหมดแห่งการยอมรับ ยากที่คนจะได้ยินและรู้จัก
การที่มุ่งแสวงหาครูบาอาจารย์ แสวงหาธรรมะ คือโหมดแห่งการกระทำ ต้องเต็มไปด้วยความทะยานอยาก ต้องลำบากในการเดินทางไกล ต้องอาศัยตัวครูบาอาจารย์และสถานที่เป็นหลัก มักคิดว่าธรรมะหรือพระนิพพานอยู่ที่ตัวอาจารย์หรืออยู่ที่วัด ผู้แสวงหาธรรมะ จึงต้องแสวงหาตลอดชีวิต
ส่วนโหมดแห่งการยอมรับ ซึ่งน้อยนักที่จะมีคนสอน ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์หลายองค์ก็ทราบว่าการเข้าถึงธรรมะนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องก้าวพ้นศรัทธาไปสู่ความมีสติปัญญา อันเป็นโหมดแห่งการยอมรับ แต่ก็ยากที่จะมีครูบาอาจารย์องค์ใดกล้าสอน เพราะต้องสวนกระแสศรัทธา เพราะธรรมดาของคนส่วนใหญ่แม้จะบอกว่ารักการปฏิบัติธรรม แต่ก็ติดอยู่ในระดับศรัทธาเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นท่านจึงไม่สอน
โหมดแห่งการยอมรับ คือการที่จิตผ่อนคลาย มีความโปร่งเบา มีอิสระ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม มีความกระฉับกระเฉง มีความเบิกบาน และมีความตั้งมั่นอยู่ในขณะนั้นพร้อม จิตขณะนั้นไม่ต้องอิงอาศัยความเลื่อมใสศรัทธาใดๆ ไม่มีความใส่ใจต่ออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ ไม่ตื่นเต้นต่อสิ่งที่คนทั่วไปพากันอัศจรรย์นักหนา จิตในลักษณะนี้แหละหากเกิดขึ้นแก่ใคร เวลาไหน ในอิริยาบถใด แม้ขณะนั้นจะอยู่ที่ใด ขอให้เปิดชีวิตให้สัมผัสและซึมซับกับโหมดแห่งการยอมรับนี้อย่างเต็มที่ แล้วชีวิตนี้เราจะไม่แสวงหาธรรมะจากที่ใดอีก เพราะได้รู้แล้วว่า สิ่งที่เขาพากันแสวงหาก็คือสิ่งนี้ “สิ่งนี้” ที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านพยายามจะถ่ายทอดและบอกแก่ใครๆ แต่ท่านก็พูดออกมาไม่ได้
ผู้ที่เข้าใจโหมดแห่งการยอมรับ จะพบเคล็ดลับของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่คนทั่วไปมักให้นึกอัศจรรย์ได้บ่อยๆ เพราะสุขอะไรเล่าจะเท่ากับใจที่สงบ ดังนั้น ขอให้รู้จักเปิดใจยอมรับสรรพสิ่ง การทำสมาธิหรือการรู้เห็นสิ่งลี้ลับยังเป็นเพียงการเริ่มออกเดินทางของบุคคลที่เพิ่งเริ่มเดิน อาจมีประโยชน์บ้างเพื่อให้เกิดศรัทธาที่มั่นคงขึ้นสำหรับผู้ที่กำลังใจยังอ่อน จำต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้คอยหล่อเลี้ยงกำลังใจ
แต่การรู้เห็นสิ่งลี้ลับหรืออิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ไม่เป็นที่สนใจอีกแล้วสำหรับผู้ที่เข้าใจและได้สัมผัสชีวิตในโหมดแห่งการยอมรับ แม้ท่านเหล่านั้นก็อาจได้พบสิ่งลี้ลับหรือมีอิทธิฤทธิ์เช่นกัน เพราะอะไรเล่าจะประเสริฐเท่ากับได้มีชีวิตที่ รู้ ตื่น เบิกบาน ในปัจจุบันขณะนี้? สิ่งลี้ลับเป็นสิ่งอัศจรรย์สำหรับปุถุชนเท่านั้น แต่พระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป จะไม่ทึ่งปาฏิหาริย์หรือผู้วิเศษแต่อย่างใด
คุรุอตีศะ
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖