ผู้ที่ล้ม จงพยายามลุกขึ้น

 ผู้ที่ล้ม จงพยายามลุกขึ้น

 

      ชีวิตของมนุษย์ปุถุชน ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องล้มแล้ว ก็ล้มอีก พลาดแล้ว ก็ยังพลาดอีก ผิดแล้ว ก็ยังต้องผิดอีก เป็นเพราะเราทั้งหลายเปรียบเสมือนผู้แหวกว่ายอยู่ในทะเล ต่างต้องถูกคลื่นซัดไปมา ผู้ที่มีสติเข้มแข็ง จึงจะรวบรวมกำลังเพื่อให้ผ่านเกลียวคลื่นเหล่านั้น แล้วแหวกว่ายเข้าสู่ฝั่งได้สำเร็จ

 

      วันหนึ่ง เมื่อสี่ปีก่อนเวลาบ่ายสี่โมงเย็น หลวงพ่อเจ้าอาวาสผู้ที่ใครๆมักกล่าวว่าท่านมีเมตตาสูง ส่วนผู้ที่เคยอยู่ใกล้ชิดเคยช่วยเหลืองานมักจะพูดกับคนอื่นๆว่า“หลวงพ่อดุ” ได้เดินไปศาลาเพื่อค้นหาหนังสือบางเล่ม ได้พบหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งนั่งร้องไห้ตามลำพังอยู่หลังศาลา หญิงสาวผวามีอาการทั้งตกใจและดีใจ ที่ได้พบหลวงพ่อ หลังจากนั่งร้องไห้อธิษฐานมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงอยากได้พบหลวงพ่อให้ช่วยชี้ทางสว่างให้ด้วย เพราะเธอไม่เคยมาที่นี่เลย มีแต่คนแนะนำให้มา และก็ไม่ทราบว่าจะพบหลวงพ่อท่านได้อย่างไร จึงได้แต่นั่งร้องไห้อธิษฐานอยู่หลังศาลาด้วยอาการของคนสิ้นหวัง

 

      เธอทั้งตกใจและดีใจ ตะลึงอยู่พักใหญ่จนกระทั่งลืมกราบ แต่ได้โพล่งออกมาตามประสาซื่อด้วยความอัดอั้นที่สั่งสมมานานว่า “หลวงพ่อ ผู้หญิงเป็นนางทางโทรศัพท์เป็นคนเลวมากใช่ไหมคะหลวงพ่อ???”

 

      หลวงพ่อผู้แม้จะอยู่ทางโลกมาพอสมควรก่อนจะอุปสมบท แต่ก็ไม่รู้จัก”นางทางโทรศัพท์”มาก่อน ได้ยินแต่เพื่อนๆและพี่ๆเล่าแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟัง ไม่นึกว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้จากสตรีผู้อยู่ในวัยแรกรุ่นเท่านั้นต่อหน้าต่อตา ครั้นจะเดินเลี่ยงจากมาโดยถือว่ามิใช่กิจของสงฆ์ ก็คงจะทำร้ายจิตใจและซ้ำเติมสตรีที่อยู่เบื้องหน้ามิใช่น้อย จึงสำรวมสติให้โอกาสแก่เธอผู้ที่กำลังทุกข์ใจ

 

      “..หนูเคยเป็นเด็กเรียนดี ได้เกรด ๓.๘ ตอนอยู่ม.๒ วันหนึ่งเพื่อนชวนไปทำสิ่งอันเลวร้ายนี้ โดยหนูไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะทำลายอนาคต ทำลายจิตใจพ่อแม่แบบนี้ ได้แต่นึกสนุกไปตามเพื่อน หนูกลุ้มใจที่สุดเลยค่ะหลวงพ่อ อยากตาย หนูจะหาทางออกให้กับชีวิตของหนูอย่างไรดี..” เธอร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้ม มองหน้าหลวงพ่อที่ยืนอยู่เบื้องหน้า โดยไม่เช็ดน้ำตาเลยแม้แต่น้อย

 

      “ขึ้นชื่อว่าชีวิตของมนุษย์มีล้ม ก็ต้องมีลุก แม้วันนี้จะยังลุกไม่ไหว แต่ก็จงเข้มแข็งไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องลุกให้ได้นะลูก..” หลวงพ่ออดไม่ได้ที่จะปลอบใจและให้ความหวังแก่เธอผู้ที่เพิ่งแรกรุ่น แต่บัดนี้ดอกไม้ที่แรกแย้มดอกนี้กลับบอบช้ำเสียก่อนจะถึงเวลาอันควร “..หนูต้องออกจากโรงเรียนเพราะเรียนต่อไม่ได้ กลายเป็นเด็กใจแตก ไม่อยากเรียนหนังสือ และต้องกลายเป็นคนเสียคน  แต่หนูอยากเลิกสิ่งนี้ให้ได้เด็ดขาด หนูเคยไปรักษาศีลกับยายที่วัดในวันพระ แต่หนูกลับมาประพฤติตัวแบบนี้.!” เธอพูดปนสะอื้น

 

      เธอโทษตัวเองที่เคยเป็นเด็กเรียนดีในโรงเรียน เคยได้รับรางวัล และเคยเข้าโครงการปฏิบัติธรรมของหน่วยงานราชการ โรงเรียนยกย่องว่าเป็นนักเรียนตัวอย่าง แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนสวย หน้าตาดี แม้จะเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ ๓ แต่ก็เป็นสาวเต็มตัว  ต่อมามีนักการเมืองผู้มีอำนาจทางการเงินต้องการเด็กสาวในการสนองความต้องการของตัวเอง  เธอถูกแมวมองชักนำสู่เส้นทางชีวิตที่เด็กสาวบ้านนอกอย่างเธอไม่อาจหยั่งถึงได้เลยว่าเธอจะต้องพบกับความเจ็บปวดทางจิตใจถึงเพียงนี้  ต้องกลายเป็นเด็กความประพฤติเลว ต้องออกจากโรงเรียนทั้งที่ใฝ่ฝันว่าเมื่อเรียนจบม. ๖ เธอจะเป็นพยาบาลเพื่อช่วยเหลือคนเจ็บป่วย แต่บัดนี้อนาคตที่วาดฝันไว้พังทลายสิ้น  อยู่ในถิ่นเดิมไม่ได้ ต้องใช้วุฒิม.๓ สมัครทำงานในห้างสรรพสินค้าเพื่อเลี้ยงตัวเอง ชีวิตในตอนนี้ขอเพียงได้พบผู้ชายที่รักจริง ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคนทั่วไป เธอก็พอใจแล้ว หลังจากที่ยืนฟังเธอระบายความในใจมาพอสมควร หลวงพ่อจึงพูดกับเธอว่า

 

      “.... อายุยังน้อย อายุเพียง ๑๗ ปี สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ตลอดเวลา  ตัดเรื่องผู้ชายออกไปเสียก่อน จนกว่าจิตใจจะฟื้น  ผู้ชายได้ทำลายคุณความดีและความบริสุทธิ์ของหนู จนจิตใจแหลกสลาย จนรู้สึกเกลียดชังผู้ชาย และหมดความภูมิใจในตัวเองถึงเพียงนี้  วิธีที่จะตั้งหลักชีวิตในตอนนี้ หนูต้องเด็ดเดี่ยวตัดเรื่องผู้ชายออกไปให้หมดเสียก่อน จนกระทั่งรู้สึกว่าใจของเราไม่เกลียดชังไม่เคียดแค้นผู้ชายอีกแล้ว  และจิตใจมีความสุขขึ้น นั่นแหละค่อยเป็นเวลาที่สมควรที่จะเปิดใจต้อนรับผู้ชายที่รักเราเราจริง..”

 

      “หนูยังมีโอกาสที่จะพบชีวิตที่ดีเหมือนคนอื่นเขาอยู่ใช่ไหมคะหลวงพ่อ..??” เธอถามด้วยอาการที่เหมือนคนที่ลอยคอกลางทะเลกำลังรอความหวัง

 

      “ชีวิตนี้มีความหวังเสมอสำหรับคนที่ล้มแล้วรู้จักลุกขึ้นยืนสู้ จำไว้นะ..ความผิดพลาดแม้จะไม่มีใครอยากพบ แต่ความผิดพลาดก็ยังมีคุณความดีในตัวมันเองอย่างน้อยอยู่ข้อหนึ่งคือ ทำให้เรารู้ว่าทางเส้นนั้นไม่สมควรเดินอีกต่อไปอย่างชัดเจน  ในสมัยพุทธกาล นางอัมพปาลีเป็นหญิงโสเภณี แต่ได้นำเงินจากน้ำพักน้ำแรงสร้างวัดไว้ในพระพุทธศาสนาถวายพระพุทธเจ้า ต่อมาได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน จึงเลิกอาชีพการเป็นโสเภณี ต่อมาได้ออกบวชเป็นภิกษุณีแล้วกลายเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในศาสนา เป็นชีวิตที่จากต่ำสุดไปสู่ความสูงสุดและประเสริฐสุดก็เคยปรากฏมีตัวอย่างมาแล้ว นี้คือชีวิตของผู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา และไม่ย่อท้อในการทำคุณงามความดี จงน้อมเอาตัวอย่างชีวิตของบุคคลผู้เช่นนี้ไว้เป็นกำลังใจ แล้วชีวิตจะดีขึ้นภายในสามปี หนูจะไม่ต้องร้องไห้เหมือนวันนี้อีกแล้ว..”     เธอก้มลงกราบกับพื้นอย่างไม่แยแสต่อพื้นที่สกปรก เพราะพื้นที่สกปรกตรงนั้นที่เธอนั่งทำให้เธอได้พบความสะอาดภายใน เป็นความสะอาดที่เธอไม่สามารถอธิบายให้ใครฟังได้ว่ามันสะอาดอย่างไร รู้แต่ว่าดวงใจที่อยู่กับความมืดมิดมายาวนาน  บัดนี้มีแสงสว่างแห่งความหวังรุ่งอรุณขึ้นมาในใจของเธอแล้ว

 

      “หลวงพ่อเจ้าคะ หนูขอสัญญาต่อหน้าของหลวงพ่อ ต่อไปนี้หนูจะไม่ให้ผู้ชายคนไหนเอาเงินมาซื้อร่างกายของหนูได้อีกแล้ว  หนูจะล้างความสกปรกในชีวิตออกไปโดยการลาออกจากงานเพื่อไปรักษาศีลแปดล้างมลทินของตนเองอย่างน้อย ๗ วันที่วัดป่าแห่งหนึ่งจังหวัดสกลนคร หลังจากนั้นหนูจะหางานใหม่ทำ และจะไม่ให้ผู้ชายคนไหนมาทำลายความดีในตัวของหนูอีกแล้ว  หนูหมดโอกาสที่จะได้เรียนต่อ หมดโอกาสที่จะได้เป็นพยาบาล แต่หนูจะไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต หนูจะรวยให้ได้ รวยแล้วหนูจะบริจาคเงินเข้าโรงพยาบาล จะช่วยเหลือคนเจ็บป่วย ช่วยเหลือคนทุกข์ยาก  จะทำบุญมากๆเหมือนนางอัมพปาลี..”

 

      น้ำเสียงเธอแจ่มใสขึ้น ทั้งๆที่ยังมีคราบน้ำตา ใจที่อ่อนโยนขึ้นทำให้เกิดสติขึ้น สติเมื่อเกิดขึ้นย่อมทำให้ใจใกล้ชิดความดี เธอจึงเรียก “หลวงพ่อเจ้าคะ”ตามที่เคยได้รับการอบรมมา แต่เพราะมีชีวิตที่หมกจมอยู่ในสังคมแบบนั้นอันทำให้จิตใจกระด้าง ก้าวร้าว ทำให้เธอพูดกับหลวงพ่อด้วยสำนวนที่กระด้างในตอนแรก แต่เมื่อแสงสว่างเริ่มสาดส่องในใจเธอ วาจาและคำพูดก็ไพเราะและงดงามตามจิตใจที่งามในภายในที่เกิดขึ้นในขณะนี้ นี่แหละหนา ความดีที่เคยสั่งสมบ่มเพาะไว้ในแต่ละคนที่เคยมีมา ย่อมไม่หายไปไหนเลย

 

      “...สาธุ ขอให้ความหวังและความตั้งใจของลูกจงสำเร็จดังประสงค์  คนเราเมื่อผิดพลาดแล้ว แก้ไขความผิดพลาด ยอมรับความจริงแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความดี คนเช่นนี้พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นบัณฑิต และเมื่อตั้งตัวได้ในภายหน้า อย่าลืมเหลียวหลังมองผู้ที่เคยผิดพลาด เขาก็ควรแก่การเห็นใจเช่นเดียวกับเรา จงยื่นมือช่วยเหลือผู้คน หากเรามีกำลังช่วยเหลือเขาได้ จงหลีกไกลจากคนพาล อันทำให้ชีวิตคนดีๆต้องล่มจมมานักต่อนักแล้ว เมื่อร่ำรวยเงินทอง ก็อย่าทะนงตนและลุ่มหลงความร่ำรวย จงช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก และหมั่นทำนุบำรุงพระศาสนา เพื่อให้ศาสนายืนยาวได้เป็นที่พึ่งของอนุชนคนรุ่นหลังไปนานๆนะลูกนะ” เธอคุกเข่าราบก้มลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์อย่างงดงามแทบไม่น่าเชื่อ แสดงว่าเธอต้องเป็นนักเรียนตัวอย่างของโรงเรียนมาก่อนจริงๆ  หลวงพ่อได้แต่รำพึงในใจว่า จะมีสักกี่ชีวิตหนอในสังคมปัจจุบันที่ต้องระหกระเหินเช่นเด็กสาวคนนี้ จะมีสักกี่ชีวิตที่จะขึ้นจากหล่มและโคลนตมได้ จะมีสักกี่คนหนอจะพบหลักชีวิตและเข้มแข็ง   ขอให้เธอทั้งหลายจงมีกำลังใจลุกขึ้นสร้างความดีเถิด

 

คุรุอตีศะ

๑๑  พฤษภาคม  ๒๕๕๖