ราตรีที่ทรงอำลา

 ราตรีที่ทรงอำลา

 

 

                 อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันวิสาขบูชาแล้ว  ขอให้เราทั้งหลายจงพากันน้อมจิตระลึกถึงองค์พระประทีปแก้ว ที่ทรงเสด็จมาอุบัติเพื่อนุเคราะห์เกื้อกูลต่อมวลหมู่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย


                อย่าให้มีสิ่งใดมาบีบคั้นร้อยรัดหรือพันธนาการ จนไม่กล้าขยับเพื่อสร้างกุศลคุณงามความดีหรือเกิดความท้อแท้ใจ  จงพากันน้อมบูชานึกถึงความเหนื่อยยากอันแสนสาหัสของพระองค์ผู้ทรงชัย  กว่าจะได้ตรัสรู้และแสดงธรรมให้แสงสว่างแก่ชาวโลกมาจวบจนหลายพันปี


                 ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์   หลังจากได้เกิดความสลดสังเวชในพระหฤทัยเพราะได้เห็นเทวทูตทั้งสี่จากการออกเสด็จประพาสนอกพระราชวัง  ทรงตั้งพระทัยว่าจะเสด็จออกบรรพชา  ในขณะนั้นก็พอดีมีอำมาตย์มาทูลว่าพระราหุลราชโอรสประสูติแล้ว


                 น้ำพระทัยของพระองค์ในขณะนั้นน้อมไปในทางบรรพชาเพราะบารมีเต็มเปี่ยม  แม้จะทรงดีพระทัยตามวิสัยพระบิดา หรือเป็นข่าวดีของผู้เป็นพ่อทุกคนที่ได้สดับข่าวอันเป็นมงคลอย่างยิ่งสำหรับชาวโลกเมื่อได้ลูกชาย  แต่พระองค์ผู้มีน้ำพระทัยเด็ดเดี่ยวตามวิสัยของพระมหาโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ในกาลเบื้องหน้า ได้อุทานขึ้นมาในขณะนั้นว่า “ราหุลัง ชาตัง  ราหุลัง  ชาตัง  บ่วงได้เกิดแล้วหนอ  บ่วงได้เกิดแล้วหนอ”


                    ในค่ำคืนที่พระองค์ตกลงพระทัยอย่างเด็ดขาดว่าจะเสด็จออกบรรพชา  ได้ทรงตรัสให้นายฉันนะผูกม้ากัณฐกะเตรียมรอไว้  พระองค์มีความอาลัยรักในพระนางพิมพาคู่พระบารมีและพระราหุลพระโอรสซึ่งประสูติใหม่ๆ  จนไม่อาจหักพระทัยหนีไปทันทีในขณะนั้นได้


                    ทรงพระทัยอ่อนนึกอยากกล่าวคำอำลาพระนางพิมพาขึ้นมา  จึงเสด็จไปยังห้องพระบรรทมของพระนางพิมพากับโอรสในยามดึกสงัดที่ทุกคนกำลังหลับ  ได้ทรงแหวกพระวิสูตรคือม่านแอบมองดู   ได้ทอดพระเนตรเห็นพระนางพิมพาบรรทมหลับสนิทมือข้างหนึ่งทรงกอดลูกน้อยอยู่   ใจของผู้เป็นพ่อเกิดความรักลูกน้อยอย่างสุดประมาณ  อยากจะอุ้มโอรสมากอดไว้ในอ้อมอกให้สมกับความรักแต่ก็ไม่กล้า   เกรงว่าพระนางพิมพาจะทรงตื่นขึ้นมา    แล้วร้องไห้อาลัยรักไม่ยอมให้พระองค์ออกบวชในคืนนั้น   แผนการต่างๆในการที่จะออกบรรพชาก็จะไม่สำเร็จ


                      ในราตรีที่ทรงออกบรรพชา  จะต้องจากพระนางพิมพาคู่พระบารมีและพระราหุลที่ทรงสุดแสนอาลัยรัก     ต้องพลัดพรากจากเวียงวังที่เคยอยู่สุขสำราญตลอดมาจนพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ต้องจากลาข้าราชบริพารที่เคยตามเสด็จและนางสนมกำนัลนางผู้จงรักภักดี ที่พวกเขาไม่มีความผิดใดเลยแม้แต่น้อย  ต้องอำลาจากพระบิดาและพระมาตุจฉาโดยไม่ได้บอกลา  เราทั้งหลายย่อมเกินความสามารถจะหยั่งถึงความเศร้าโศกา ที่พระองค์ทรงต้องกล้ำกลืนอยู่เพียงลำพัง  โดยไม่มีใครร่วมรับรู้ความทุกข์ของพระองค์ในคราวนั้นแม้แต่คนเดียว


                       น้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่ที่ทรงต้องอำลาจากทุกสิ่ง  เพื่อออกแสวหาโมกขธรรมเพื่อนำมาเป็นอมฤตธรรมเพื่อซับน้ำตาของชาวโลก   ยากจะมีใครบรรยายถึงความรู้สึกของพระองค์ หรือบรรยายความอาลัยรักในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นปุถุชนเช่นคนทั้งหลาย  เมื่อครั้งที่ยังทรงมีกิเลสยังมีความรักลูกรักเมียเหมือนเฉกเช่นคนทั่วไป  ทรงเคยอยู่ในพระราชวังอย่างยิ่งใหญ่  แต่ต้องกลายมาเป็นขอทานอยู่ในเพศบรรพชิต ที่ไร้อนาคต ไร้ความมั่นคงในชีวิตตลอดกาล


                         บทประพันธ์จะช่วยให้เรามองเห็นภาพและความรู้สึกของพระองค์ในค่ำคืนที่ต้องจากพระนางพิมพาและราหุลโดยมิได้มีการบอกลากันแม้แต่คำเดียว ใคร่ขออนุญาตนำเอาคำร้อยกรองที่ท่านอาจารย์เพลิน พรหมแดน  ได้แต่งไว้ได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ  ยากจะหาใครเรียงร้อยถ้อยคำได้ไพเราะและเข้าถึงอารมณ์เท่าบทประพันธ์ของท่าน แล้วเราจะมองเห็นพระคุณอันยิ่งใหญ่แห่งความเสียสละและความเหนื่อยยากของพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมครู


 
                        “พระสั่งเสร็จเสด็จพลางมายังห้อง       โฉมละอองพิมพาพระราหุล
                    เห็นเทวีวางกรอ่อนละมุน                         โอบการุณอุ่นไอให้พระกุมาร
                    ทั้งสองเรียงเคียงองค์ลงไสยาสน์               ทั้งนุชนาถราชบุตรสุดคำขาน
                     จะเอื้อนเอ่ยออกโอษฐ์พจมาน                  ให้ตีบตันภายในหทัยตน
                     ราตรีนี้พี่มาลาพิมพาเจ้า                           มิมีคำนำกล่าวเล่าเหตุผล
                     วานขนิษฐาอย่าระคายในกมล                  โศกาหม่นหมองไหม้หทัยราน
                      ไปครั้งนี้ใช่ประวิงทอดทิ้งเจ้า                     เพื่อหาใหม่แล้วลืมเก่าเจ้าจอมขวัญ
                      แต่ไปเพื่อบำเพ็ญพระโพธิญาณ                 ได้ดับทุกข์ตลอดกาลนิรันดร
                          
                          จะเอื้อมกรมากอดลูกก็จะถูกแม่              คงตื่นแน่ทั้งสองคนบนบรรจถรณ์
                      ได้แต่เพ่งเล็งแลแม่อรชร                             ทรวงสะท้อนสะท้านไปไม่สิ้นเลย
                       จะเชยปรางนางชิดจุมพิตพักตร์                  เป็นสัญลักษณ์บอกลาพิมพาเอ๋ย
                       กลัวตื่นมาพบภัสดาจะลาเลย                     แม่ทรามเชยคงเอ่ยคำร่ำพิไร
                       มิยอมให้ออกไปเป็นบรรพชิต                      แม้ชีวิตแม่แดดิ้นสิ้นตักษัย
                       แม้นเรายืนยันมั่นจิตมิเปลี่ยนใจ                   แม่คงขอตามไปในดงดอน

                               มิมีสิ่งใดแขวนไว้แทนหน้า               มิได้กอดอำลาแม่มิ่งสมร
                         มีแต่ราหุลบุตรสุดอุทร                             ฝากกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงสอนแทนสืบไป
                         มิมีพวงดอกไม้มาลัยรื่น                         ฝากไว้แทนยามตื่นตอนก่อนสาย
                         มิมีผ้าเช็ดหน้าซับชลนัยน์                       มีแต่ใจนี้มาอำลาพิมพ์
                                อย่าโศกเศร้าเฝ้าร่ำพิไรร้อง                 น้ำตานองพลางหยดหยาดถูกถนิม
                          อย่ากำสรดทดท้อเลยหนอพิมพ์                เช็ดชลนัยน์ที่ไหลปริ่มเถิดพิมพา
                          แม้นราหุลถามหาบิดาไปไหน                   จงยิ้มปลอบแล้วตอบให้สิ้นกังขา
                          ว่าพ่อไปหาอริยทรัพย์ค่านับคณา              ด้วยมธุรสวาจานะพิมพ์นวล
                          แล้วน้อมนำอำลาพระปิตุเรศ                    ปรางค์ปราสาทราชนิเวศน์เขตสงวน
                          พระมาตุจฉาคณาญาติอำมาตย์ทั้งมวล    กำนัลสนมกรมในถ้วนล้วนมากมี
                              แม้นหากได้โมกขธรรมอันจำรัส         เป็นสมบัติครองใจได้สุขศรี
                        จะย้อนมาโปรดธรรมนำชีวี                     พ้นวิถีแห่งทุกข์ในหทัย
                        แล้วตัดใจออกจากหลากพันธะ                ลงปราสาทพบนายฉันนะดั่งมั่นหมาย
                        ขี่ม้ากัณฐกะมโนมัย                               นายฉันนะเกาะหางม้าไปไม่ห่างองค์
                                ถึงทวารบานใหญ่ปิดไว้สนิท            เทพบันดาลทวารที่ปิดเปิดโล่งโถง
                           ม้ากัณฐกะควบทะยานหาญทะนง ...เอ๊ย..หาญทะนงมุ่งตรงไป  
                           จนพ้นเขตเวสน์วิไลดั่งใจปองเอย...”


              การทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ยาก  เสียสละในสิ่งที่คนอื่นเสียสละได้ยาก  มีใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวได้เกินมนุษย์สามัญเช่นนี้   ย่อมมีแต่พระมหาโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญพระบารมีแก่กล้ามาหลายภพหลายชาติ นับเวลาได้ ๔ อสงไขย แสนมหากัปแล้วเท่านั้น


               ส่วนเราท่านผู้เกิดมาเป็นอนุชนผู้เป็นสาวกบารมีตอนปลาย  เราย่อมไม่อาจทำอย่างพระองค์ได้   และจะไม่มีบุรุษใดในโลกนี้จะสามารถสละลูกและเมียผู้ไม่มีความผิดอันใด  ทั้งที่ยังเต็มไปด้วยความรักและอาลัย ออกไปบวชได้อย่างเจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นมหาบุรุษได้อีกแล้ว


               อะไรเล่าจะผูกพันและร้อยรัดบุรุษแม้จะเป็นผู้มีบุญวาสนาได้อย่างเด็ดขาด และเป็นสิ่งทรงพลังอำนาจเท่ากับบุตรภรรยาเล่า

 

               ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์รุ่นก่อน  ก่อนที่โลกจะมาเจริญด้วยเทคโนโลยีเหมือนในยุคของเรา   หากท่านเหล่านั้นสร้างบารมีมาเต็มเปี่ยมเพื่อเกิดมาเป็นชาติสุดท้าย     ท่านจึงมักจะลงมาจุติในสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้ท่านได้บวชตั้งแต่เป็นหนุ่มอายุครบบวชเสียเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่ทันได้สัมผัสเสน่ห์อันมีอานุภาพของสตรี  เพราะบารมีของระดับพระสาวกธรรมดานั้น  จะไม่มีบารมีที่แก่กล้าหรือกำลังใจที่แข็งแกร่งพอที่จะสละบุตรภรรยาอันเป็นที่รัก  ได้ดั่งพระมหาบุรุษผู้อุบัติมาเพื่อตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดา


               มีแต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วพระองค์เดียวเท่านั้น  ที่เป็นผู้เลิศประเสริฐสูงสุดในโลกนี้ ที่ไม่มีใครมาเปรียบกับพระองค์ได้   นี้คือกำลังใจและที่พึ่งอันสูงสุดของเราตลอดกาล

 

 

                                                                            คุรุอตีศะ
                                                                 ๒๒  พฤษภาคม  ๒๕๕๘