ผู้มีญาณหยั่งรู้
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ผู้มีญาณหยั่งรู้
การมีญาณหยั่งรู้ในอดีตหรืออนาคตได้ เป็นความสามารถเฉพาะตัว อันเป็นผลจากการที่บุคคลนั้นในอดีตชาติเคยบำเพ็ญฌานสมาบัติมาก่อน เมื่อเกิดมาในชาติปัจจุบัน หากบุคคลนั้นได้มีโอกาสเจริญสมาธิต่อไป มีเหตุปัจจัยบางอย่างเกื้อหนุนให้เกิดความพร้อมและเหมาะสม ก็ย่อมสามารถมองเห็นอดีตหรืออนาคตได้ ท่านเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “อภิญญาจิต”
การที่มีบุคคลซึ่งอยู่ในวงสังคมชั้นสูง มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทันสมัยและเจริญด้วยวัตถุ ทั้งๆที่หลายท่านอยู่ในวัยหนุ่มสาวและเป็นคนสมัยใหม่ ไม่น่าจะทำอะไรที่สวนทางกับวิทยาศาสตร์หรือความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป แต่กลับสามารถหยั่งรู้ในสิ่งที่เหนือวิสัยของคนธรรมดา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าท่านเหล่านั้นเคยเป็นนักบวชประพฤติพรหมจรรย์และได้เคยบำเพ็ญจิตจนได้อภิญญามาแต่อดีตชาติ สิ่งเหล่านี้จึงติดตัวมา แม้ว่าชาติปัจจุบันจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ ไม่ได้บำเพ็ญชีวิตวิเวกสันโดษในฐานะนักบวชเหมือนชาติที่แล้วก็ตาม
บางคนสมัยอดีตในชาติก่อน เคยเป็นนักบวชใช้ชีวิตบำเพ็ญสมาธิอยู่ตามลำพัง ไม่ได้ทักทายพูดจาสมาคมกับผู้คนในสังคมตลอดชาตินั้น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีลาภสักการะ ไม่มีใครเห็นคุณค่าหรือยกย่องบูชา เพราะมุ่งการบำเพ็ญภาวนาเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ครั้นหยั่งไปในอนาคตข้างหน้า มองเห็นว่ามนุษย์ในยุคต่อไปจะพากันประมาทในศีลธรรมและลุ่มหลงในกิเลสกันมาก จะต้องประสบกับภัยพิบัตินานา จึงอธิษฐานไปเกิดในวงสังคมทันสมัย เพื่อจะได้สื่อสารกับผู้คนเหล่านั้นได้ง่าย เพราะมีสังคมระดับเดียวกัน มีปริญญาหรือการศึกษาระดับเดียวกัน จึงทำให้บุคคลนั้นมีอภิญญาจิตเมื่อถึงเวลา เพื่อจะได้ตักเตือนผู้คนที่เกิดมาในยุคสมัยใหม่ ให้พากันเร่งรีบบำเพ็ญรักษาศีล ๕ เพื่อจะได้รอดพ้นจากภัยพิบัติ
ชาติที่แล้วเขาหรือเธอเป็นนักบวชผู้ประพฤติพรหมจรรย์ มีชีวิตอยู่อย่างหลีกเร้นและเงียบสงบไม่มีใครรู้จัก แต่เกิดมาชาตินี้ เขาหรือเธอมีชีวิตอย่างทันสมัย สิ่งที่เคยบำเพ็ญมาทำให้บางคนกลายเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศไทย หากเขาและเธอไม่ประมาทมัวเพลิดเพลินในชื่อเสียงแล้วรีบบำเพ็ญต่อไป เขาหรือเธอจะทำประโยชน์ได้อย่างยิ่งใหญ่กว่านี้
หลายคนที่อ่านหนังสือหรืออ่านธรรมะอยู่นี้ ก็อาจเป็นผู้หนึ่งที่เคยบำเพ็ญสิ่งเหล่านี้มาก่อน แต่เพราะปล่อยชีวิตหมกมุ่นอยู่กับนิวรณ์ภาระครอบครัวหรืออาชีพการงาน เหมือนเพชรจมอยู่ในตม จึงทำให้ท่านทั้งหลายไม่สามารถรู้เห็นสิ่งใดเหมือนผู้ที่ออกสื่อจนมีชื่อเสียงเหล่านั้น
การรู้เห็นอดีตหรืออนาคตเพราะอำนาจอภิญญาจิตที่ติดตัวมา จะเสื่อมไปได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นแต่งงานหรือไม่อาจรักษาพรหมจรรย์ต่อไปได้ในชาตินี้
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนว่า การบำเพ็ญฌานสมาบัติเพื่อให้เกิดอภิญญาจิต ต้องเว้นขาดจากการมีคู่ครองหรือต้องประพฤติพรหมจรรย์ เพราะจะต้องบำเพ็ญสมาธิตามขั้นตอนอย่างอุกฤษฏ์จนบรรลุจตุตถฌาน อันเป็นบาทฐานแห่งอภิญญาให้ได้เสียก่อน ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ท่านมีคู่ครองก่อนจะบรรลุอภิญญาจิต จึงมักมีเหตุให้ต้องพลัดพรากหรือป่วยหนักจนเกี่ยวข้องกับคู่ครองของตนไม่ได้เสียก่อน จึงจะทำให้มีอภิญญาจิตเกิดขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้จึงย้ำกับท่านทั้งหลายตลอดมาว่า “ส่วนการเจริญอริยมรรคหรือเจริญสติสมาธิภาวนาเพื่อการไปสู่มรรคผลหรือบรรลุโสดาบัน ไม่ต้องทำแบบนั้นก็สามารถปฏิบัติได้” ยิ่งบุคคลใดมีคู่ครองหรือมีภาระครอบครัวอยู่แล้ว สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามหลักทาน ศีล ภาวนา แม้แต่หลวงปู่มั่นท่านก็ย้ำว่า "ทาน ศีล ภาวนา คือรากแก้วของความเป็นมนุษย์"
ซึ่งการภาวนาในที่นี้ก็คือ การเจริญสติดำรงจิตให้อยู่ในครรลองของกุศล พูดง่ายๆก็คือ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ทำให้เกิดกุศลจิต คิดแต่ในสิ่งที่ดี คิดในแง่ดีหรือในแง่บวก อันจะทำให้เกิดกำลังใจและเกิดความร่มเย็นในจิต เพราะชีวิตของฆราวาสทั่วไปต้องประกอบอาชีพการงาน ต้องมีสมาธิที่ใช้ในการดำเนินชีวิตประกอบกิจทำการงานได้ ไม่ใช่สมาธิแบบนักพรตนักบวชที่ทรงฌาน เพราะท่านไม่มีอาชีพและภาระครอบครัว
ฆราวาสผู้ครองเรือนต้องปฏิบัติตามหลักทาน ศีล ภาวนา ชีวิตจึงจะมีความสุข การปฏิบัติธรรมจึงจะไม่มีการขัดแย้งกับการใช้ชีวิตตามความเป็นจริง ไม่ต้องเว้นขาดจากกาม เพียงยินดีพอใจแต่ในคู่ครองของตนและดำรงตนอยู่ในศีล ๕ ชีวิตก็จะมีความอบอุ่นร่มเย็นแล้ว
ส่วนบรรพชิตหรือนักบวชท่านให้ปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา เพราะชีวิตนักบวชไม่มีภาระในการประกอบอาชีพและดูแลครอบครัว ซึ่งเมื่อดำรงตนตามพระวินัยมีศีลบริสุทธิ์ ก็จะเกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็จะเกิดปัญญา การปฏิบัติธรรมของพระกับของโยมจึงต่างกันตรงนี้ เนื่องจากมีเพศและการดำเนินชีวิตในชีวิตจริงแตกต่างกัน
ฆราวาสที่รู้จักสละวัตถุให้ทานด้วยศรัทธาจนเป็นนิสัย จะมีจิตผ่องใสและมีใจกล้าหาญองอาจไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ชีวิตครอบครัวก็จะอบอุ่นร่มเย็น บุตรหลานจะเคารพเชื่อฟัง ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เพราะเห็นตัวอย่างจากการรู้จักเสียสละภายในครอบครัวจนซึมซับกลายเป็นอุปนิสัย หากออกบวชก็จะเป็นผู้มีลาภสักการะไม่ขาดต่างจากผู้อื่น แม้ไม่ปรารถนาไม่ต้องการ เขาก็ยังตั้งใจนำมาถวาย อันเป็นผลจากทานบารมีที่ทำไว้
ขอย้อนกลับไปกล่าวถึงเรื่องการเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้อนาคต ซึ่งมักปรากฏเป็นข่าวในโทรทัศน์หรือสื่อต่างๆอยู่บ่อยๆ ตามที่เกริ่นไว้ในตอนต้นอีกสักเล็กน้อย
การที่ท่านเหล่านั้นกล้าปรากฏตัวต่อสาธารณชน พูดหรือทำนายในสิ่งที่ตนรู้เห็นด้วยความจริงใจ เห็นอย่างไรก็พูดและอธิบายไปตามที่ตนทราบอย่างซื่อตรงนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร เพราะการมีญาณวิเศษหรือหยั่งรู้อดีตอนาคต พระพุทธองค์ทรงห้ามแต่พระภิกษุไม่ให้แสดงฤทธิ์หรืออวดอุตริมนุสสธรรม ทรงให้ก้าวข้ามสิ่งนี้ไปเสียเพราะทำให้เนิ่นช้าต่อมรรคผล
ส่วนฆราวาสหรือโยคีฤาษีนักพรตทั้งหลายนั้น ย่อมสามารถทำได้ หากมีจิตเมตตามุ่งความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อให้พากันหมั่นประพฤติธรรมและรักษาศีล ๕ จะได้รอดพ้นจากอบายภูมิและภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะเกิดเมื่อคนส่วนใหญ่มีความประมาท การเตือนแต่ละครั้งผู้คนก็จะเกิดสติขึ้นครั้งหนึ่ง ภัยพิบัติก็จึงยังไม่เกิดขึ้น เพราะพลังศีลและพลังสติของมนุษย์ได้รวมกันเป็นพลังประคองไว้ แต่เมื่อใดมนุษย์ส่วนใหญ่พากันประมาทหรือเผลอสติในคราวใด สิ่งต่างๆไม่ว่าน้ำท่วมครั้งใหญ่ แผ่นดินไหว หรือสึนามิก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น
ในเรื่องภัยพิบัตินี้ ทางวิทยาศาสตร์ก็จะอธิบายอีกแง่หนึ่ง แต่จริงๆแล้วภัยพิบัติทั้งปวงที่อธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์นั้น จะเกิดจากการผิดศีลธรรมของมนุษย์เสียก่อน จึงส่งผลให้เกิดอนุภาค รังสี สนามแม่เหล็กด้านทำลายในจักรวาล เพราะพลังจิตในด้านร้ายหรือด้านมืดมีมากเกินไป จะส่งผลในด้านวิบัติหรือการทำลายต่อโลกใบนี้และจักรวาลในกาลต่อมา
การหยั่งรู้ในอดีตและอนาคต เป็นความสามารถของผู้ที่บำเพ็ญฌานสมาบัติได้ถึงขั้นจตุตถฌานหรือฌานที่ ๔ เป็นบาทฐานแล้วจึงใช้ฌานที่ ๔ นั้นฝึกอภิญญาจิตต่อไป การฝึกให้มีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ ต้องสละโลกียวิสัยและต้องเพ่งกสิณให้เป็นวสีคือให้เชี่ยวชาญตามสูตร
ส่วนผู้ที่ท่านมีอภิญญาจิตตั้งแต่อยู่ในวัยเด็กหรือยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว โดยที่ยังไม่ได้ฝึกสมาธิอะไรมากมายนัก บางคนเพียงมีโอกาสได้นั่งสมาธิจิตหยั่งลงสู่ความสงบครู่เดียว ก็รู้เห็นอดีตอนาคตได้ เป็นเพราะท่านเหล่านั้นในอดีตชาติเคยเป็นนักบวชผู้เคร่งครัด ตลอดชีวิตอยู่กับความวิเวกสันโดษบำเพ็ญพรตมาจนแก่กล้ามีอภิญญาจิตมาก่อน
เมื่อมาเกิดใหม่ในชาติปัจจุบัน จิตจะยังสงบและผ่องใส จะมีความละอายในเรื่องเพศสูงยิ่ง หรือไม่ยินดีในเพศตรงข้าม อย่างที่คนในวัยเดียวกันจะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องใหญ่ จิตใจจะไม่คุ้นกับโลกีย์เหมือนคนทั่วไป จะไม่คิดเรื่องการมีคู่ครองหรือคิดแต่งงาน เนื่องจากในอดีตเคยชินกับการทรงฌานและห่างไกลจากกามคุณ แต่ถ้าประมาทในชาตินี้มัวไปเอาใจชาวโลกและเพลิดเพลินกับการรู้เห็นหรือให้คำทำนาย ก็จะมีโอกาสพลาดตกลงไปสู่การมีครอบครัวได้ แล้วอภิญญาจิตที่เคยมีก็จะเสื่อมไป นี่แหละคือโทษของวัฏฏสงสารหรือการเวียนเกิดเวียนตาย
ครูบาอาจารย์บางองค์บางท่าน เห็นบุรุษบางคนพาภรรยาแสนสวยมากราบ ท่านหยั่งรู้ว่าในอดีตชาติ “เจ้าคนนี้เคยบวชเป็นพระแท้ๆ แต่มาชาตินี้ถูกวัวเขาอ่อนขวิดจนสิ้นใจและเสือปากแดงคาบไปกินเสียก่อนแล้วหรือนี่”ก่อนจะพากันมาหาท่าน ท่านก็ได้แต่ยิ้มๆเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ถึงรู้ไปก็แค่นั้น สู้สอนให้เขาและภรรยาระลึกรู้ตัว มีสติ หมั่นสร้างกุศลและบำเพ็ญบารมีในฐานะสามีภรรยาผู้มีศีล ย่อมเกิดประโยชน์กว่า
บางคนนั้นสมัยก่อนตอนวัยต้นเคยเป็นหญิงเจ้าชู้ แต่ในบั้นปลายชีวิตมีเหตุให้เกิดความสลดจึงได้ออกบวชเป็นแม่ชี พอเกิดมาชาตินี้เป็นคนสวย เป็นสตรีเสน่ห์แรง แต่ก็ต้องอาภัพรัก เนื่องจากมีวิบากกรรมศีลข้อสามที่เคยทำลายความรัก ทำลายครอบครัวของคนอื่นมาก่อน
ชาตินี้เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ทันสมัย มีความมั่นใจในตัวเองสูง เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถ จะไปทิศใดก็มักมีบุรุษให้ความสนใจอยู่ไม่ขาด แต่ในอดีตชาติเธอคือแม่ชีที่บวชเพราะความสลดและสะเทือนใจในเหตุการณ์บางอย่าง มีชีวิตอยู่ในกระท่อมซอมซ่อหลังเล็กๆ ใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาอยู่ในอารามจนตลอดชีวิต แต่มาชาตินี้กลายเป็นคนเด่นในวงสังคม แม้ครูบาอาจารย์ท่านจะรู้อย่างนี้ ท่านก็ได้แต่วางจิตเป็นอุเบกขา เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนเป็นไปตามกรรม ไม่จำเป็นอะไรต้องไปบอกให้เขารู้กรรมในอดีต... อย่างนี้ก็มี
การมีญาณหยั่งรู้เช่นนี้ พูดเป็นภาษาบาลีท่านเรียกว่า “ทิพพจักขุ” แต่มักเรียกว่า “ทิพยจักษุ” คือตาทิพย์ จัดเป็นอภิญญาจิตประเภทหนึ่งในบรรดาอภิญญาหก บางคนบำเพ็ญกรรมฐานแล้วก็เกิดขึ้นมา บางคนก็เกิดขึ้นมาเองเนื่องจากเป็นของเก่า เป็นตบะบารมีที่เคยบำเพ็ญมาจนเชี่ยวชาญมาแต่อดีตชาติ เมื่อออกบวชหรือจิตเกิดความสงบก็บังเกิดขึ้นมา
เป็นสิ่งหนึ่งที่มีจริงในพระพุทธศาสนา นับเป็นคุณวิเศษอันเป็นบารมีเฉพาะตน แม้พระอรหันต์ก็ไม่ได้มีคุณวิเศษเช่นนี้กันทุกองค์ จะมีเฉพาะพระอรหันต์ที่ได้วิชชาสามหรืออภิญญาหกขึ้นไปเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน บางคนที่มีคุณวิเศษเช่นนี้นั้น ดวงจิตภายในก็ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ยังเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาและสามารถเสื่อมไปได้ และส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนั้น
เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามพระภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรมไว้ แม้ว่าจะมีอยู่จริง ก็เพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุปุถุชนถือโอกาสใช้การแสดงฤทธิ์ เพื่อแสวงหาลาภสักการะความเลื่อมใสหรือแสวงหาบริวารหาพวกพ้อง จะเกิดการกดขี่เบียดเบียนพระอริยบุคคลผู้บริสุทธิ์ได้
ป้องกันมิให้ปุถุชนคนทั่วไป คิดปรามาสลบหลู่ล่วงเกินพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลขึ้นไปที่ท่านไม่แสดงฤทธิ์หรือแสดงฤทธิ์ไม่ได้ เพราะแม้แต่พระอรหันต์ผู้ทรงภูมิธรรมอันสูงสุดนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้เหมือนปุถุชนเหล่านั้น เพราะท่านไม่ได้บำเพ็ญฌานสมาบัติมาจนเชี่ยวชาญ ก่อนจิตจะบรรลุพระอรหัตผลจนสิ้นอาสวะกิเลสทั้งปวง
จึงทรงมีพระประสงค์ให้พระภิกษุและพุทธบริษัท ยกย่องพระธรรมคำสอนให้อยู่ในฐานะอันสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด ทรงมุ่งหมายให้ยกย่องสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือการแสดงธรรมให้เหนือกว่าปาฏิหาริย์หรือการแสดงอิทธิฤทธิ์ทั้งปวงตลอดมา
คุรุอตีศะ
๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘