ผู้มีญาณหยั่งรู้

 ผู้มีญาณหยั่งรู้

 

 

                   การมีญาณหยั่งรู้ในอดีตหรืออนาคตได้  เป็นความสามารถเฉพาะตัว อันเป็นผลจากการที่บุคคลนั้นในอดีตชาติเคยบำเพ็ญฌานสมาบัติมาก่อน  เมื่อเกิดมาในชาติปัจจุบัน  หากบุคคลนั้นได้มีโอกาสเจริญสมาธิต่อไป มีเหตุปัจจัยบางอย่างเกื้อหนุนให้เกิดความพร้อมและเหมาะสม  ก็ย่อมสามารถมองเห็นอดีตหรืออนาคตได้  ท่านเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “อภิญญาจิต”


                   การที่มีบุคคลซึ่งอยู่ในวงสังคมชั้นสูง มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทันสมัยและเจริญด้วยวัตถุ  ทั้งๆที่หลายท่านอยู่ในวัยหนุ่มสาวและเป็นคนสมัยใหม่ ไม่น่าจะทำอะไรที่สวนทางกับวิทยาศาสตร์หรือความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป  แต่กลับสามารถหยั่งรู้ในสิ่งที่เหนือวิสัยของคนธรรมดา  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าท่านเหล่านั้นเคยเป็นนักบวชประพฤติพรหมจรรย์และได้เคยบำเพ็ญจิตจนได้อภิญญามาแต่อดีตชาติ  สิ่งเหล่านี้จึงติดตัวมา แม้ว่าชาติปัจจุบันจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ ไม่ได้บำเพ็ญชีวิตวิเวกสันโดษในฐานะนักบวชเหมือนชาติที่แล้วก็ตาม


                   บางคนสมัยอดีตในชาติก่อน  เคยเป็นนักบวชใช้ชีวิตบำเพ็ญสมาธิอยู่ตามลำพัง  ไม่ได้ทักทายพูดจาสมาคมกับผู้คนในสังคมตลอดชาตินั้น  ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีลาภสักการะ ไม่มีใครเห็นคุณค่าหรือยกย่องบูชา เพราะมุ่งการบำเพ็ญภาวนาเอาชีวิตเป็นเดิมพัน


                   ครั้นหยั่งไปในอนาคตข้างหน้า  มองเห็นว่ามนุษย์ในยุคต่อไปจะพากันประมาทในศีลธรรมและลุ่มหลงในกิเลสกันมาก  จะต้องประสบกับภัยพิบัตินานา  จึงอธิษฐานไปเกิดในวงสังคมทันสมัย  เพื่อจะได้สื่อสารกับผู้คนเหล่านั้นได้ง่าย  เพราะมีสังคมระดับเดียวกัน  มีปริญญาหรือการศึกษาระดับเดียวกัน  จึงทำให้บุคคลนั้นมีอภิญญาจิตเมื่อถึงเวลา เพื่อจะได้ตักเตือนผู้คนที่เกิดมาในยุคสมัยใหม่ ให้พากันเร่งรีบบำเพ็ญรักษาศีล ๕ เพื่อจะได้รอดพ้นจากภัยพิบัติ


                     ชาติที่แล้วเขาหรือเธอเป็นนักบวชผู้ประพฤติพรหมจรรย์  มีชีวิตอยู่อย่างหลีกเร้นและเงียบสงบไม่มีใครรู้จัก  แต่เกิดมาชาตินี้ เขาหรือเธอมีชีวิตอย่างทันสมัย  สิ่งที่เคยบำเพ็ญมาทำให้บางคนกลายเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศไทย  หากเขาและเธอไม่ประมาทมัวเพลิดเพลินในชื่อเสียงแล้วรีบบำเพ็ญต่อไป  เขาหรือเธอจะทำประโยชน์ได้อย่างยิ่งใหญ่กว่านี้


                       หลายคนที่อ่านหนังสือหรืออ่านธรรมะอยู่นี้   ก็อาจเป็นผู้หนึ่งที่เคยบำเพ็ญสิ่งเหล่านี้มาก่อน  แต่เพราะปล่อยชีวิตหมกมุ่นอยู่กับนิวรณ์ภาระครอบครัวหรืออาชีพการงาน  เหมือนเพชรจมอยู่ในตม จึงทำให้ท่านทั้งหลายไม่สามารถรู้เห็นสิ่งใดเหมือนผู้ที่ออกสื่อจนมีชื่อเสียงเหล่านั้น


                        การรู้เห็นอดีตหรืออนาคตเพราะอำนาจอภิญญาจิตที่ติดตัวมา  จะเสื่อมไปได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นแต่งงานหรือไม่อาจรักษาพรหมจรรย์ต่อไปได้ในชาตินี้

 

                       เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนว่า การบำเพ็ญฌานสมาบัติเพื่อให้เกิดอภิญญาจิต ต้องเว้นขาดจากการมีคู่ครองหรือต้องประพฤติพรหมจรรย์  เพราะจะต้องบำเพ็ญสมาธิตามขั้นตอนอย่างอุกฤษฏ์จนบรรลุจตุตถฌาน อันเป็นบาทฐานแห่งอภิญญาให้ได้เสียก่อน  ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ท่านมีคู่ครองก่อนจะบรรลุอภิญญาจิต จึงมักมีเหตุให้ต้องพลัดพรากหรือป่วยหนักจนเกี่ยวข้องกับคู่ครองของตนไม่ได้เสียก่อน  จึงจะทำให้มีอภิญญาจิตเกิดขึ้นมา


                         ด้วยเหตุนี้จึงย้ำกับท่านทั้งหลายตลอดมาว่า “ส่วนการเจริญอริยมรรคหรือเจริญสติสมาธิภาวนาเพื่อการไปสู่มรรคผลหรือบรรลุโสดาบัน  ไม่ต้องทำแบบนั้นก็สามารถปฏิบัติได้”  ยิ่งบุคคลใดมีคู่ครองหรือมีภาระครอบครัวอยู่แล้ว  สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามหลักทาน ศีล ภาวนา  แม้แต่หลวงปู่มั่นท่านก็ย้ำว่า "ทาน ศีล ภาวนา คือรากแก้วของความเป็นมนุษย์"


                         ซึ่งการภาวนาในที่นี้ก็คือ การเจริญสติดำรงจิตให้อยู่ในครรลองของกุศล  พูดง่ายๆก็คือ ให้คิดแต่ในสิ่งที่ทำให้เกิดกุศลจิต คิดแต่ในสิ่งที่ดี คิดในแง่ดีหรือในแง่บวก อันจะทำให้เกิดกำลังใจและเกิดความร่มเย็นในจิต   เพราะชีวิตของฆราวาสทั่วไปต้องประกอบอาชีพการงาน ต้องมีสมาธิที่ใช้ในการดำเนินชีวิตประกอบกิจทำการงานได้  ไม่ใช่สมาธิแบบนักพรตนักบวชที่ทรงฌาน เพราะท่านไม่มีอาชีพและภาระครอบครัว


                         ฆราวาสผู้ครองเรือนต้องปฏิบัติตามหลักทาน ศีล ภาวนา ชีวิตจึงจะมีความสุข การปฏิบัติธรรมจึงจะไม่มีการขัดแย้งกับการใช้ชีวิตตามความเป็นจริง  ไม่ต้องเว้นขาดจากกาม  เพียงยินดีพอใจแต่ในคู่ครองของตนและดำรงตนอยู่ในศีล ๕  ชีวิตก็จะมีความอบอุ่นร่มเย็นแล้ว


                          ส่วนบรรพชิตหรือนักบวชท่านให้ปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา  เพราะชีวิตนักบวชไม่มีภาระในการประกอบอาชีพและดูแลครอบครัว  ซึ่งเมื่อดำรงตนตามพระวินัยมีศีลบริสุทธิ์  ก็จะเกิดสมาธิ  เมื่อมีสมาธิก็จะเกิดปัญญา  การปฏิบัติธรรมของพระกับของโยมจึงต่างกันตรงนี้  เนื่องจากมีเพศและการดำเนินชีวิตในชีวิตจริงแตกต่างกัน


                          ฆราวาสที่รู้จักสละวัตถุให้ทานด้วยศรัทธาจนเป็นนิสัย  จะมีจิตผ่องใสและมีใจกล้าหาญองอาจไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค  ชีวิตครอบครัวก็จะอบอุ่นร่มเย็น บุตรหลานจะเคารพเชื่อฟัง ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและไม่เอารัดเอาเปรียบกัน  เพราะเห็นตัวอย่างจากการรู้จักเสียสละภายในครอบครัวจนซึมซับกลายเป็นอุปนิสัย  หากออกบวชก็จะเป็นผู้มีลาภสักการะไม่ขาดต่างจากผู้อื่น  แม้ไม่ปรารถนาไม่ต้องการ เขาก็ยังตั้งใจนำมาถวาย  อันเป็นผลจากทานบารมีที่ทำไว้


                          ขอย้อนกลับไปกล่าวถึงเรื่องการเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้อนาคต  ซึ่งมักปรากฏเป็นข่าวในโทรทัศน์หรือสื่อต่างๆอยู่บ่อยๆ ตามที่เกริ่นไว้ในตอนต้นอีกสักเล็กน้อย


                          การที่ท่านเหล่านั้นกล้าปรากฏตัวต่อสาธารณชน พูดหรือทำนายในสิ่งที่ตนรู้เห็นด้วยความจริงใจ  เห็นอย่างไรก็พูดและอธิบายไปตามที่ตนทราบอย่างซื่อตรงนั้น  ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร  เพราะการมีญาณวิเศษหรือหยั่งรู้อดีตอนาคต  พระพุทธองค์ทรงห้ามแต่พระภิกษุไม่ให้แสดงฤทธิ์หรืออวดอุตริมนุสสธรรม  ทรงให้ก้าวข้ามสิ่งนี้ไปเสียเพราะทำให้เนิ่นช้าต่อมรรคผล


                         ส่วนฆราวาสหรือโยคีฤาษีนักพรตทั้งหลายนั้น  ย่อมสามารถทำได้   หากมีจิตเมตตามุ่งความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์  เพื่อให้พากันหมั่นประพฤติธรรมและรักษาศีล ๕  จะได้รอดพ้นจากอบายภูมิและภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะเกิดเมื่อคนส่วนใหญ่มีความประมาท การเตือนแต่ละครั้งผู้คนก็จะเกิดสติขึ้นครั้งหนึ่ง ภัยพิบัติก็จึงยังไม่เกิดขึ้น เพราะพลังศีลและพลังสติของมนุษย์ได้รวมกันเป็นพลังประคองไว้  แต่เมื่อใดมนุษย์ส่วนใหญ่พากันประมาทหรือเผลอสติในคราวใด สิ่งต่างๆไม่ว่าน้ำท่วมครั้งใหญ่ แผ่นดินไหว หรือสึนามิก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น

 
                        ในเรื่องภัยพิบัตินี้ ทางวิทยาศาสตร์ก็จะอธิบายอีกแง่หนึ่ง  แต่จริงๆแล้วภัยพิบัติทั้งปวงที่อธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์นั้น  จะเกิดจากการผิดศีลธรรมของมนุษย์เสียก่อน  จึงส่งผลให้เกิดอนุภาค รังสี สนามแม่เหล็กด้านทำลายในจักรวาล  เพราะพลังจิตในด้านร้ายหรือด้านมืดมีมากเกินไป จะส่งผลในด้านวิบัติหรือการทำลายต่อโลกใบนี้และจักรวาลในกาลต่อมา


                       การหยั่งรู้ในอดีตและอนาคต  เป็นความสามารถของผู้ที่บำเพ็ญฌานสมาบัติได้ถึงขั้นจตุตถฌานหรือฌานที่ ๔ เป็นบาทฐานแล้วจึงใช้ฌานที่ ๔ นั้นฝึกอภิญญาจิตต่อไป  การฝึกให้มีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้  ต้องสละโลกียวิสัยและต้องเพ่งกสิณให้เป็นวสีคือให้เชี่ยวชาญตามสูตร


                          ส่วนผู้ที่ท่านมีอภิญญาจิตตั้งแต่อยู่ในวัยเด็กหรือยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว โดยที่ยังไม่ได้ฝึกสมาธิอะไรมากมายนัก  บางคนเพียงมีโอกาสได้นั่งสมาธิจิตหยั่งลงสู่ความสงบครู่เดียว  ก็รู้เห็นอดีตอนาคตได้  เป็นเพราะท่านเหล่านั้นในอดีตชาติเคยเป็นนักบวชผู้เคร่งครัด  ตลอดชีวิตอยู่กับความวิเวกสันโดษบำเพ็ญพรตมาจนแก่กล้ามีอภิญญาจิตมาก่อน


                        เมื่อมาเกิดใหม่ในชาติปัจจุบัน จิตจะยังสงบและผ่องใส จะมีความละอายในเรื่องเพศสูงยิ่ง หรือไม่ยินดีในเพศตรงข้าม อย่างที่คนในวัยเดียวกันจะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องใหญ่  จิตใจจะไม่คุ้นกับโลกีย์เหมือนคนทั่วไป  จะไม่คิดเรื่องการมีคู่ครองหรือคิดแต่งงาน  เนื่องจากในอดีตเคยชินกับการทรงฌานและห่างไกลจากกามคุณ   แต่ถ้าประมาทในชาตินี้มัวไปเอาใจชาวโลกและเพลิดเพลินกับการรู้เห็นหรือให้คำทำนาย  ก็จะมีโอกาสพลาดตกลงไปสู่การมีครอบครัวได้  แล้วอภิญญาจิตที่เคยมีก็จะเสื่อมไป     นี่แหละคือโทษของวัฏฏสงสารหรือการเวียนเกิดเวียนตาย


                        ครูบาอาจารย์บางองค์บางท่าน  เห็นบุรุษบางคนพาภรรยาแสนสวยมากราบ ท่านหยั่งรู้ว่าในอดีตชาติ “เจ้าคนนี้เคยบวชเป็นพระแท้ๆ  แต่มาชาตินี้ถูกวัวเขาอ่อนขวิดจนสิ้นใจและเสือปากแดงคาบไปกินเสียก่อนแล้วหรือนี่”ก่อนจะพากันมาหาท่าน  ท่านก็ได้แต่ยิ้มๆเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ถึงรู้ไปก็แค่นั้น สู้สอนให้เขาและภรรยาระลึกรู้ตัว มีสติ หมั่นสร้างกุศลและบำเพ็ญบารมีในฐานะสามีภรรยาผู้มีศีล ย่อมเกิดประโยชน์กว่า

 

                       บางคนนั้นสมัยก่อนตอนวัยต้นเคยเป็นหญิงเจ้าชู้  แต่ในบั้นปลายชีวิตมีเหตุให้เกิดความสลดจึงได้ออกบวชเป็นแม่ชี  พอเกิดมาชาตินี้เป็นคนสวย เป็นสตรีเสน่ห์แรง  แต่ก็ต้องอาภัพรัก เนื่องจากมีวิบากกรรมศีลข้อสามที่เคยทำลายความรัก ทำลายครอบครัวของคนอื่นมาก่อน


                       ชาตินี้เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ทันสมัย มีความมั่นใจในตัวเองสูง เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถ  จะไปทิศใดก็มักมีบุรุษให้ความสนใจอยู่ไม่ขาด  แต่ในอดีตชาติเธอคือแม่ชีที่บวชเพราะความสลดและสะเทือนใจในเหตุการณ์บางอย่าง  มีชีวิตอยู่ในกระท่อมซอมซ่อหลังเล็กๆ ใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาอยู่ในอารามจนตลอดชีวิต  แต่มาชาตินี้กลายเป็นคนเด่นในวงสังคม  แม้ครูบาอาจารย์ท่านจะรู้อย่างนี้  ท่านก็ได้แต่วางจิตเป็นอุเบกขา เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนเป็นไปตามกรรม  ไม่จำเป็นอะไรต้องไปบอกให้เขารู้กรรมในอดีต... อย่างนี้ก็มี


                       การมีญาณหยั่งรู้เช่นนี้ พูดเป็นภาษาบาลีท่านเรียกว่า “ทิพพจักขุ” แต่มักเรียกว่า “ทิพยจักษุ” คือตาทิพย์  จัดเป็นอภิญญาจิตประเภทหนึ่งในบรรดาอภิญญาหก  บางคนบำเพ็ญกรรมฐานแล้วก็เกิดขึ้นมา  บางคนก็เกิดขึ้นมาเองเนื่องจากเป็นของเก่า เป็นตบะบารมีที่เคยบำเพ็ญมาจนเชี่ยวชาญมาแต่อดีตชาติ เมื่อออกบวชหรือจิตเกิดความสงบก็บังเกิดขึ้นมา


                       เป็นสิ่งหนึ่งที่มีจริงในพระพุทธศาสนา  นับเป็นคุณวิเศษอันเป็นบารมีเฉพาะตน  แม้พระอรหันต์ก็ไม่ได้มีคุณวิเศษเช่นนี้กันทุกองค์  จะมีเฉพาะพระอรหันต์ที่ได้วิชชาสามหรืออภิญญาหกขึ้นไปเท่านั้น


                     ในขณะเดียวกัน บางคนที่มีคุณวิเศษเช่นนี้นั้น  ดวงจิตภายในก็ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ยังเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาและสามารถเสื่อมไปได้  และส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนั้น


                    เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามพระภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรมไว้ แม้ว่าจะมีอยู่จริง ก็เพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุปุถุชนถือโอกาสใช้การแสดงฤทธิ์ เพื่อแสวงหาลาภสักการะความเลื่อมใสหรือแสวงหาบริวารหาพวกพ้อง  จะเกิดการกดขี่เบียดเบียนพระอริยบุคคลผู้บริสุทธิ์ได้


                     ป้องกันมิให้ปุถุชนคนทั่วไป คิดปรามาสลบหลู่ล่วงเกินพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลขึ้นไปที่ท่านไม่แสดงฤทธิ์หรือแสดงฤทธิ์ไม่ได้  เพราะแม้แต่พระอรหันต์ผู้ทรงภูมิธรรมอันสูงสุดนั้น  ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้เหมือนปุถุชนเหล่านั้น เพราะท่านไม่ได้บำเพ็ญฌานสมาบัติมาจนเชี่ยวชาญ ก่อนจิตจะบรรลุพระอรหัตผลจนสิ้นอาสวะกิเลสทั้งปวง


                      จึงทรงมีพระประสงค์ให้พระภิกษุและพุทธบริษัท ยกย่องพระธรรมคำสอนให้อยู่ในฐานะอันสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด ทรงมุ่งหมายให้ยกย่องสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือการแสดงธรรมให้เหนือกว่าปาฏิหาริย์หรือการแสดงอิทธิฤทธิ์ทั้งปวงตลอดมา

 

                                                                               คุรุอตีศะ
                                                                     ๒๑  พฤษภาคม  ๒๕๕๘