เมืองลับแล
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
เมืองลับแล
มีเรื่องจริงที่ได้รับการเล่าขานจากท่านผู้หนึ่งเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ท่านผู้นี้ไม่ได้บวชเป็นพระภิกษุ แต่ออกบำเพ็ญพรตรักษาศีล ๘ นุ่งขาวห่มขาวเป็นปกติ ท่านใช้บาตรไม้เล็กๆออกเดินบิณฑบาตคล้ายพระ พอได้อาหารยังชีวิตเพื่อประพฤติธรรมไปวันๆ สมัยนั้นการออกประพฤติธรรมของพระภิกษุสามเณรและนักบวชนักพรตต่างๆ ยังมีอิสระและมีแต่ผู้ตั้งใจจริง
ท่านผู้นี้ได้เดินธุดงค์ในชุดขาวคนเดียวไปจนถึงจังหวัดหนึ่ง รอยต่อระหว่าภาคอีสานตอนบนกับภาคเหนือตอนล่าง ท่านใช้วิธีอุ้มภาชนะเล็กๆใบนั้นออกขออาหารชาวบ้านในยามเช้า หลังจากพระในหมู่บ้านบิณฑบาตผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้อาหารอิ่มท้องทุกวัน
ในช่วงหนึ่งท่านเดินพลัดหลงเข้าไปในป่าแห่งหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ วันรุ่งขึ้นจึงไม่มีหมู่บ้านที่ใกล้เคียงพอที่จะขอบิณฑบาตแบบนั้นได้ ท่านจึงตัดสินใจงดเรื่องการแสวงหาอาหารนั่งสมาธิภาวนาโดยไม่สนใจเรื่องอาหารเหมือนทุกวัน
ท่านนั่งสมาธิด้วยความสงบและมีปีติจนเวลาล่วงเลยไปมาก มาคลายจากสมาธิและรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อเหมือนมีคนมานั่งอยู่เยื้องทางด้านซ้ายสักสามวา เป็นสตรีสาวสองคนรูปร่างหน้าตาผิวพรรณสวยงาม แต่งตัวเรียบๆใส่เสื้อแขนทรงกระบอกแบบคนรักษาศีลหรือแบบคนไทยโบราณ ที่แปลกก็คือแขนของเธอกลมกลึงและไม่มีกระดูกข้อมือเหมือนมนุษย์ทั่วไป ใบหน้าสดใส อิ่มเอิบ สวยแบบไร้เครื่องสำอาง ดูมีอาการเคารพผิดจากชาวบ้านทั่วไป
สตรีคนหนึ่งเหมือนเป็นหัวหน้า อีกคนมีท่าทีคล้ายๆคนติดตาม คนที่เป็นหัวหน้าซึ่งมีสง่าราศีกว่า ได้เอาอาหารห่อด้วยใบไม้แปลกๆมาวางไว้ตรงหน้า อาหารนั้นมีแต่ข้าว ไม่มีกับข้าว แต่เมล็ดข้าวจะมีลักษณะแปลกกว่าข้าวสวยที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไป เมล็ดใหญ่ๆคล้ายข้าวโพด แต่ก็คือเมล็ดข้าว มีสีขาวๆนวลๆสีเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นหอมชื่นใจมาก
ท่านได้นั่งสมาธิต่อไปเพราะจิตกำลังเสวยปีติในทุติยฌาน หญิงทั้งสองเมื่อวางอาหารไว้แล้วก็พากันหายลับไปหลังพุ่มไม้ ประมาณสักอึดใจก็พากันมากราบท่าน ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า “เธอทั้งสองเป็นใครหรือ เราไม่เห็นหมู่บ้านคนแถวนี้เลย และมาหาเราเจอได้อย่างไร?”
หญิงคนที่เป็นหัวหน้าได้ประณมมือขึ้นแล้วตอบขึ้นว่า “ดิฉันเป็นชาวเมืองลับแล ได้สังเกตเห็นท่านเดินเข้ามาในเขตของเราตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงหรือไม่ จึงทดสอบท่านดูก่อน จนแน่ใจดีแล้ว จึงขออนุญาตกราบท่านอาจารย์และช่วยเมตตาไปเทศน์โปรดญาติมิตรในเมืองของดิฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ท่านบ่ายเบี่ยงอยู่สักครู่ เพราะตัวเองไม่ใช่พระและก็ไม่เคยได้เทศน์สอนใครมาก่อน เธอผู้นั้นก็บอกว่าท่านมีธรรมะกว่าพระภิกษุบางรูปที่ผ่านมาแถวนี้เสียอีก ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยท่านเหล่านั้นปักกลดแล้วก็เดินธุดงค์ต่อไป โดยพวกเธอไม่ได้แสดงตัวให้รู้แบบนี้
ท่านเองท่านไม่รู้สึกว่าตัวเองมีธรรมะอะไร ที่จาริกไปในป่าก็เพราะวิเวกสงัดดีท่านจึงถามว่า “แล้วพวกเธอรู้ได้อย่างไรว่าตัวเรามีคุณธรรมพอที่จะเทศน์สอนพวกเธอได้?”
เธอตอบว่า “เพราะท่านไม่ค่อยสนใจในอาหาร ท่านเห็นพวกดิฉันในตอนแรก ก็ไม่ได้มีจิตยินดีในความเป็นสตรีเหมือนบุรุษโดยทั่วไป และยังมีแสงสว่างออกรอบกายท่านซึ่งดิฉันสัมผัสได้ ดิฉันและญาติมิตรรอคอยผู้มีบุญบารมีมาโปรดเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ก็ไม่มีสักที จนกระทั่งท่านผ่านมาที่นี่ จึงขอให้ท่านอาจารย์ช่วยเมตตาสงเคราะห์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
หลังจากฉันอาหารพิเศษมื้อนั้นซึ่งต่างจากอาหารในเมืองมนุษย์ ซึ่งแม้เป็นก้อนข้าวเล็กๆปริมาณเพียงทัพพีเดียว พอหมดแล้วก็รู้สึกอิ่มพอดี ความเหนื่อยล้าทั้งหมดได้หายไป มีแต่ความปีติแช่มชื่นสบายกาย สบายใจ สมองก็ปลอดโปร่งแววไวมีทั้งไหวพริบและปฏิภาณ
ท่านได้แสดงธรรมโปรดชาวลับแลเหล่านั้นพอสมควรแก่เวลาแล้ว เขาก็พากันมาส่งท่าน พอท่านเดินไปสัก ๔ – ๕ ก้าว แล้วหยุดยืนเหลียวหลังกลับไป เมืองทั้งเมืองและผู้คนที่มีอยู่มากมายหลายพันนั้นก็หายไป เหลือแต่ป่ารกและต้นไม้สูงสล้างที่เกิดอยู่ตามป่าเหมือนตอนที่ท่านเดินพลัดหลงเข้ามา
ในมิติอันเร้นลับเช่นนี้ ตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ย่อมไม่อาจนำมาพิสูจน์ได้ จึงมีทั้งคนเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง บางคนก็โจมตีว่าเป็นความเชื่องมงาย แล้วแต่การศึกษาอบรม สิ่งแวดล้อม หรือภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละคนที่มีการสั่งสมอบรมกันมาหลากหลายต่างๆ
แต่เมื่อว่าตามผู้ที่ท่านมีญาณหยั่งรู้ หรือผู้มีบุญกรรมสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ท่านเล่าให้ฟัง ท่านล้วนยืนยันว่า เมืองบังบดลับแลนั้น เขามีอยู่ในอีกมิติหนึ่งที่ซ้อนเหลื่อมอยู่กับโลกมนุษย์ของเรานี้จริงๆ
ชาวบังบดลับแลนั้น คือผู้ที่สมัยยังเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่รักษาศีล ๕ อยู่เป็นนิจและชอบทำบุญสร้างกุศล เป็นพวกที่ถือสัจจะอย่างเคร่งครัด แต่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการทำบุญตามโอกาส ทำตามประเพณี ไม่ค่อยคิดริเริ่มสร้างบุญที่แรงถึงขึ้นที่ทำให้เกิด “ความปีติและอิ่มเอิบฟูใจ” เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ จึงยังไปเป็นเทวดาไม่ได้ เพราะแรงบุญยังไม่พอ
การรักษาศีล ๕ และถือสัจจะอย่างเคร่งครัดสมัยเป็นมนุษย์ จึงทำให้ชาวลับแลบังบดมีความเป็นกายสิทธิ์จะให้ใครเห็นก็ได้หรือหายตัวก็ได้ แต่เพราะไม่มีผู้สอนกรรมฐานให้เจริญสติ ไม่ได้เป็นผู้มีศีลห้าจนถึงขั้นเป็นพระโสดาบันบุคคล จึงทำให้ดวงจิตถูกขวางกั้นด้วยกรรมบางอย่าง ทำให้ไปปฏิสนธิอยู่ในภูมิที่อยู่ในลักษณะกึ่งมนุษย์ กึ่งผี กึ่งเทวดา
พวกเขาที่อยู่ในภูมินั้นทุกคนต่างก็รอคอยเวลาว่า “เมื่อไหร่หนอจะมีผู้มีบุญญาธิการมาโปรด” เพื่อพวกเขาจะได้ฟังธรรมและได้อนุโมทนาบุญ บุญนั้นจะได้เป็นแรงส่งให้เขาเลื่อนภพภูมิสูงขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ดังต้องการ
การที่ครูบาอาจารย์บางรูปบางองค์ท่านเดินทางจาริกธุดงค์ ก็ไม่ใช่ท่านจาริกธุดงค์เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์เสมอไป เพราะท่านรู้หนทางในจิตแล้ว แต่บางรูปท่านก็มีเหตุผลบางอย่างหรือบางรูปท่านก็ไปโปรดชาวเมืองลับแลตามบารมีสัมพันธ์กันก็ได้ เหมือนอาจารย์ท่านนี้ที่ท่านมีประสบการณ์ตรง และเมืองลับแลแห่งนั้นถึงคราวที่บุญจะหนุนส่งให้พ้นกรรมบางอย่างเพื่อเลื่อนภพภูมิที่สูงขึ้น จึงทำให้อาจารย์ท่านนี้มีเหตุพลัดหลงเข้าไป ต่อมาก็มีครูบาอาจารย์ผู้ทรงภูมิธรรมหลายท่านผ่านเข้าไป และบัดนี้เมืองลับแลตรงนั้นก็หายไปแล้ว
การทำบุญที่จะทำให้ไม่ต้องไปอยู่ในภูมิของเมืองลับแล ต้องรู้จักการเจริญสติสมาธิภาวนาพร้อมกับการให้ทานเพื่อค้ำจุนพระศาสนา และรักษาศีลเพื่อส่งเสริมอริยมรรค
การเจริญสติไว้จนกลายเป็นอุปนิสัย จะทำให้ประคองจิตได้ในช่วงลมหายใจสุดท้าย ผลบุญจะส่งให้ไปเกิดเป็นเทวดาหรือไม่ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้สร้างบารมีต่อไป
คุรุอตีศะ
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘