ทางเดินของชีวิต

 ทางเดินของขีวิต

 

 

                    คนเราสามารถปฏิบัติต่อชีวิตสองวิธีด้วยกัน  ทางหนึ่งคือการต่อสู้กับชีวิต  ไขว่คว้าทะเยอทะยานอย่างเต็มที่เพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่ตนเองตั้งเป้าหมายไว้  ซึ่งเส้นทางสายนี้คนทั้งหลายล้วนรู้จักดี  เรามักเรียกทางดำเนินชีวิตสายนี้ว่า “ชีวิตทางโลก”


                    เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยยาก เต็มไปด้วยความกังวล  เหมือนกับวิ่งไล่คว้าจับเงาตัวเอง  แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลือกและพอใจที่จะเดินบนเส้นทางนี้แทบทั้งสิ้น  แม้นักบวชที่มุ่งแสวงหาลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา  ก็จัดว่ากำลังเดินบนเส้นทางนี้เหมือนกัน


                     อีกวิธีหนึ่งคือการยอมรับและไว้วางใจต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ชีวิตได้มอบให้  เส้นทางสายนี้ในสายตาของผู้กำลังเดินบนทางสายแรก  อาจมองว่าเป็นคนขี้แพ้  ไม่สู้ชีวิต  ไม่ขยันทำมาหากินเหมือนชาวบ้านเขา  แต่ผู้ที่เดินทางสายนี้จะมีหัวใจสัมผัสกับความรักความอบอุ่น มีความสงบเย็น


                      ภายนอกอาจดูเหมือนต่ำต้อยยากจนสำหรับคนที่เอาเรื่องวัตถุเงินทองเป็นใหญ่  แต่สำหรับภายในของคนที่เดินไปบนเส้นทางแห่งความรักและศรัทธา  หัวใจกลับรู้สึกเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา  กลับจะเป็นผู้ให้ได้มากกว่าการเป็นผู้รับ แม้แทบจะไม่มีทรัพย์สมบัติส่วนตัว   เส้นทางนี้คือเส้นทางชีวิตของเหล่าอริยบุคคลหรือชีวิตของพระโพธิสัตว์ผู้เกิดมาสร้างบารมี


                       ชีวิตของหลวงพ่อคูณ  ปริสุทฺโธ  เทพเจ้าแห่งวัดบ้านไร่  จังหวัดนครราชสีมา  ชีวิตของท่านตอนเป็นหนุ่มสมัยไปขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนเพลงโคราช อันเป็นเพลงพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมมากในยุคสมัยนั้น  หากหนุ่มน้อยไม่ผิดหวังจากการแอบหลงรักสาวนักเรียนเพลงโคราชด้วยกัน  จนต้องลาครูเพลงกลับมาทำนาที่บ้านเกิดตามเดิมแล้ว  ก็อาจมีเมียมีลูกไปตามประสาชายหนุ่มผู้สมหวังในความรักทั่วไป  แล้วในยุคสมัยของเราคงไม่มีหลวงพ่อคูณ  ปริสุทฺโธ อันเลื่องลือทางด้านวิทยาคมอันเป็นบารมีเฉพาะตนที่ไม่มีใครเหมือนไปทั้งแผ่นดินเช่นทุกวันนี้


                        ชีวิตของครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐเช่นหลวงพ่อชาก็มีเรื่องราวคล้ายๆกัน คือเพื่อนรักได้ตัวแม่จ่ายสาวคนรักไปจากหนุ่มชา  เพราะหนุ่มชาไปไว้วางใจเพื่อนรักขอร้องให้เพื่อนช่วยไปนอนเฝ้าบ้านสาวคนรักด้วยความซื่อไปตามประสา โดยหารู้ไม่ว่าเหมือนเอาปลาย่างไปฝากไว้กับแมว  หนุ่มพุฒเพื่อนรักก็เลยได้แม่จ่ายไปครอบครองตั้งแต่คืนนั้นเป็นที่เรียบร้อย


                        ต่อมาหนุ่มชาผู้มองเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของหัวใจอิสตรี และเริ่มประจักษ์ถึงความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง  เมื่ออายุครบบวชก็เลยบวชไม่สึก  กลายมาเป็นหลวงพ่อชา  สุภทฺโท  แห่งวัดหนองป่าพง  จังหวัดอุบลราชธานี  มหาเถระผู้ลือเลื่องที่เป็นรู้จักของผู้คนทั่วโลก  มีพระภิกษุชาวต่างชาติมาขอเป็นศิษย์มากที่สุด 

 

                       เวลาต่อมาเมื่อทุกฝ่ายเข้าสู่วัยชรา  พ่อพุฒกับแม่จ่ายได้มารักษาอุโบสถที่วัดหนองป่าพง  หลวงพ่อชาได้ขึ้นแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทประจำวันพระ ช่วงหนึ่งท่านได้ปรารภขึ้นมาว่า "หากพ่อออกพุฒไม่ได้กับแม่จ่าย  อาตมาเองก็คงไม่ได้บวชและเทศน์ให้พวกท่านทั้งหลายฟังเป็นแน่  พ่อออกพุฒจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่ออาตมาหลายแท้.." นี้คือน้ำใจอันกว้างใหญ่ไพศาลของคนที่เกิดมาเป็นครูบาอาจารย์ของคน  ท่านจะมีลักษณะของจิตที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาผิดจากคนทั่วไป  อันเป็นบารมีในทางธรรมโดยเฉพาะ


                        ถ้าพูดตามประสาชีวิตชายหนุ่มทั่วไป  หนุ่มชาและหนุ่มคูณสมัยยังเป็นคนหนุ่มธรรมดา ย่อมถือว่าเป็นคนล้มเหลวในเรื่องความรักในสายตาของชาวโลก  แต่สำหรับสายตาแห่งสวรรค์  นั่นคือสวรรค์ลิขิตสำหรับคนที่บุญบารมีในทางธรรม  ซึ่งกฎแห่งสวรรค์จะปล่อยให้เกิดความสมหวังในความรักเหมือนคนทั่วไปไม่ได้  จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเขาจนกว่าจะได้เข้าสู่ทางธรรม เปรียบเสมือนเพชรที่จมอยู่ในโคลนรอเวลาช่างฝีมือดีทำการการเจียระไนให้โชติช่วงเรืองรองต่อไป   ชีวิตของบุคคลประเภทนี้คือท่านที่เกิดมาเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลผู้คนหมู่ใหญ่โดยแท้


                        หากหนุ่มคูณมีความกล้าหาญ มีคารมดีและจีบสาวสำเร็จ  หนุ่มคูณก็อาจได้ตั้งวงดนตรีรับงานออกแสดงร้องเพลงโคราชเป็นอาชีพไปตามประสา พอแก่ตัวลงมาก็เป็นชาวบ้านธรรมดา  คงไม่มีใครกราบไหว้บูชากล่าวถึงไปทั่วหล้าเฉกเช่นทุกวันนี้


                        เส้นทางชีวิตของคนเรานั้น  ท่านจึงไม่ให้ยอมจำนนหรือท้อแท้ต่อความผิดหวัง  เอาชีวิตไปฝากไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว  ท่านให้ยอมรับความผิดหวังอย่างซื่อๆตรงๆแล้วก็ใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่ไปสาละวนกับเรื่องอดีต  เหมือนหนุ่มคูณที่ผิดหวังเรื่องความรักเพราะมีคนอื่นแย่งไปครอง  ก็เลยกลับบ้านเลิกเรียนเพลงโคราช


                        เมื่อถึงเวลาที่คนมีบารมีเก่าสั่งสมมาจะเริ่มเบ่งบาน  หลวงพ่อคูณนั้นแม่ของท่านตายตั้งแต่ท่านยังเด็ก  ส่วนพ่อก็ไปมีเมียใหม่ทิ้งให้ท่านกับน้องสาวอีกสองคนเผชิญชีวิตกันตามลำพัง  น้าสาวและน้าเขยสงสารหลานสามคนไม่มีใครดูแลจึงได้รับเอาไปอยู่ด้วย ท่านจึงรักเคารพและกตัญญูต่อน้าสาวเป็นอย่างมาก  สั่งให้ช่วยทำงานอะไรจะหนักหรือเบาก็ไม่เคยขัด


                        วันหนึ่งท่านทำงานช่วยครอบครัวน้าเขยน้าสาวจนเกินกำลัง เพราะความเป็นคนซื่อตรง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกับใคร และมีเมตตาเป็นลักษณะเด่นประจำอุปนิสัยมาตั้งแต่เด็ก น้าสาวสั่งให้ทำงานอะไรก็ทำไปหมดไม่เคยคิดถึงความเหนื่อยยากของตัวเอง  บ่ายวันนั้นท่านได้ใช้ถังวิดน้ำเข้านาคนเดียวจนหน้ามืดเป็นลมเกือบจมโคลนตายอยู่กลางทุ่งนา  โชคดีที่น้าสาวมาพบเข้าก่อนที่ใบหน้าจะจมน้ำโคลน  ความที่น้าสาวเป็นคนปากร้ายใจดี ทั้งสงสารทั้งโมโหหลานชายคนซื่อ ก็เลยพูดประชดออกมาว่า “ถ้าทำไม่ไหว ก็ไปบวชซะคูณเอ้ย!”


                         ประโยคนั้นเอง ได้ทำให้สติของหนุ่มคูณที่ใช้ชีวิตด้วยความหลับใหลมานานได้เกิดอาการ “ตื่นขึ้น” อย่างประหลาด เป็นประโยคสำคัญที่พลิกชีวิตหนุ่มคนหนึ่งจากชาวบ้านนอกธรรมดา กลายเป็นหลวงพ่อคูณ เทพเจ้าแห่งวัดบ้านไร่ ผู้ทรงวิทยาคมแห่งยุคปัจจุบัน


                        หนุ่มคูณทบทวนชีวิตไปมาอยู่ไม่นาน ก็พบคำตอบของชีวิตและตกลงใจได้อย่างเด็ดขาดว่า “บวชดีกว่า” พอท่านบวชได้สามพรรษาหลังจากเรียนวิปัสสนากับอาจารย์จนสามารถนอนตามป่าช้า อยู่ในถ้ำ ในป่าตามลำพังคนเดียวได้แล้ว  ก็จึงลาอาจารย์เดินธุดงค์ไปจนถึงทุ่งไหหิน  ประเทศลาวสมัยเมื่อ ๗๐ ปีที่แล้ว  เสือลายพาดกลอนที่ใครๆก็กลัวนั้น กลับมานอนเฝ้าพระภิกษุหนุ่มผู้สันโดษวิเวกอยู่รูปเดียวกลางป่า  และคอยเดินตามอารักขาเสมือนเป็นเพื่อนแท้ในยามยาก  ท่านสามารถช่วยคนที่กำลังจะตายให้หายได้ตั้งแต่อายุพรรษายังไม่มาก   ชนิดที่คนป่วยที่ถูกหามมาแบบหมดสติขั้นโคม่า พอท่านใช้พลังเมตตาและอภิญญาจิตช่วยรักษาเพียงไม่กี่อึดใจ คนป่วยก็ลุกขึ้นมากราบท่านได้  แล้วก็ลุกเดินออกไปเหมือนกับไม่เคยป่วยไข้อะไรมาก่อนเป็นที่อัศจรรย์


                         แต่เมื่อท่านกลับมาอยู่บ้านเกิด ท่านได้ซ่อนอภิญญาไว้และทำตัวแปลกประหลาดจนชาวบ้านไม่มีใครเลื่อมใสศรัทธา  จนเริ่มเข้าสู่วัยชราท่านจึงได้ใช้วิชาเหล่านั้นอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนจนเป็นเกจิอาจารย์หนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนใครจนถึงปัจจุบัน


                        การผิดหวังในเรื่องหนึ่ง  อาจกลายเป็นความโชคดีในเรื่องหนึ่งที่รออยู่เบื้องหน้า หรือทำให้พบกับชีวิตที่ประเสริฐและสูงส่ง ชนิดที่เจ้าของชีวิตเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็ได้  ทางเดินของชีวิตนั้นจึงหาใช่จะต้องเอาแต่ต่อสู้และบุกไปข้างหน้าเสมอไปไม่


                        บางครั้งการรู้จักยอมแพ้อย่างมีสติ  ไว้วางใจต่อชีวิตและเต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา อาจคือก้าวอันสำคัญที่ทำให้ชีวิตพบกับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า..ใครเล่าจะรู้

 

 

                                                                          คุรุอตีศะ
                                                               ๑๐  พฤษภาคม  ๒๕๕๘