ผู้ใจบุญที่แท้จริง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ผู้ใจบุญที่แท้จริง
พึงเข้าใจว่า คนเรานั้นช่วงที่ใจเป็นกุศล ได้ปฏิบัติครูบาอาจารย์ ได้บริจาคทรัพย์ ได้นั่งสมาธิภาวนาก็เป็นจิตส่วนหนึ่ง ชีวิตส่วนตัวที่ลุ่มหลงและหึงหวงอันเป็นจิตฝ่ายอกุศล ก็เป็นจิตอีกส่วนหนึ่ง อันเป็นคนละช่วงคนละตอนไปแล้ว
ในช่วงเวลาที่จิตเกิดอกุศลนั้น หัวใจย่อมเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ไม่ใช่คนเดิมที่ใจดีและใจบุญเหมือนตอนไปวัดทำบุญหรือบริจาคทรัพย์ที่วัด จิตใจตอนนั้นย่อมมีสภาพต่างกันเป็นคนละคน ท่านจึงให้ชายหญิงทุกคนพยายามหมั่นสร้างกุศลประคองใจและหมั่นเจริญสติไว้เสมอ ก็เพราะจะได้มีสติเกิดขึ้นบ่อยๆ คอยเป็นเกราะป้องกันภัยให้แก่หัวใจของเรา
ยิ่งคนเราเมื่อถึงคราวที่วิบัติจะเกิดขึ้นในชีวิต ก็จะมีแต่สิ่งทำให้หลงผิด ขาดสติ มักมีแต่ความโกรธและเข้าใจผิดตลอดเวลา ดังนั้น ยิ่งเป็นคนที่สร้างบุญคุณมีอิทธิพลที่ใครๆก็ให้ความเกรงใจและใครๆก็ต่างยกย่องว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมอยู่ด้วยแล้ว เพียงอารมณ์ชั่ววูบเดียวที่เอ่ยออกมาทางวาจา ผู้คนทั้งหลายก็สามารถสนองนโยบายเพื่อเอาอกเอาใจได้ทันที
“ธรรมะระบบสุญญตา” ท่านจึงเน้นนักเน้นหนาว่า เพียงทำบุญอย่างเดียวยังไม่ปลอดภัย เพราะคนที่ทำบุญมากๆแต่ไม่รู้จักการเจริญสติ ก็มักจะหลงผิดได้ง่าย
การทำบุญจึงมีหลายระดับ ทำบุญแบบหลงบุญ ทำบุญแบบแลกเปลี่ยน ทำบุญแบบปุถุชน ทำบุญเพื่อการสละออก ทำบุญค้ำจุนพระศาสนา ทำบุญที่ยังมุ่งความร่ำรวยความเจริญในทางโลก ทำบุญแบบมีอัตตา แต่มีน้อยคนนักที่จะมีสติปัญญารู้จักการทำบุญเพื่อความไปสู่ “ความไร้อัตตา” อันเป็นบุญอันสูงสุดและเยี่ยมยอดยิ่งกว่าการทำบุญในโลกทั้งปวง
การที่จะวัดคุณค่าอานิสงส์แห่งการทำบุญได้อย่างแท้จริง ต้องวัดจากการที่บุคคลนั้นสามารถที่จะเกิดศรัทธาในขณะที่ครูบาอาจารย์รูปนั้นยังไม่ปรากฏชื่อเสียงได้หรือไม่
หากคอยไปทำบุญตามกระแสหรือกระแสสถานที่แห่งนั้นต้องดีเสียก่อน หรือนึกอยากไปทำบุญตอนที่ท่านมีชื่อเสียงแล้ว อานิสงส์แห่งบุญที่แท้จริงมักจะเกิดน้อย ส่วนใหญ่แล้วมักจะแฝงด้วยความอยากมีหน้ามีตา อยากให้คนในวัดเห็นความสำคัญให้ความเกรงอกเกรงใจ อยากให้ผู้คนที่ไปวัดแห่งนั้นรู้จักตนเอง แฝงด้วยความภาคภูมิใจที่คนได้รู้จักและยกย่องว่าตนเป็นคนใจบุญ
การทำบุญแบบนี้ยังมีเจตนที่ไม่บริสุทธิ์เท่าใดนัก สู้ชาวบ้านแต่งตัวมอมแมมแอบมาทำบุญเงียบๆ หยิบเอาธนบัตรยับยู่ยี่ออกชายพกออกมาถวายอย่างเอียงอาย พร้อมทั้งเจียมตัวว่าหลวงพ่อหรือท่านอาจารย์ จะรังเกียจเงินจำนวนเล็กน้อยและยับยู่ยี่ของเราไหมหนอ ในยามที่เจ้าใหญ่นายโตและผู้มีเกียรติที่มากด้วยผู้ติดตามและบริวาร บึ่งรถฝุ่นตลบวัดกลับไปหมดแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นจะได้อานิสงส์มากกว่าหลายเท่า เพราะเจตนาของเขาบริสุทธิ์กว่า
จงอย่าตัดสินความใจบุญของคนเพียงดูจากจากจำนวนเงินบริจาค ต้องดูด้วยว่าความใจบุญของเขานั้น ส่วนใหญ่แล้วชอบบริจาคตอนไหน หากบริจาคด้วยศรัทธาอย่างไร้ข้อแม้ บุคคลนั้นจะไม่เลือกว่าต้องมีคนมาเยอะๆ หรือว่าขณะนั้นท่านอยู่อย่างโดดเดี่ยวองค์เดียวไม่มีใคร บุคคลที่บริจาคอย่างนี้ได้แสดงว่ามีศรัทธาในศาสนามั่นคงจริง รับรองว่าเขาจะทำร้ายคนไม่ลง
การไปวัดทำบุญ ต้องทำบุญเพื่อการสละกิเลสหรือลดละอัตตาเป็นหลัก ยิ่งใครที่ชอบไปทำบุญวัดดังๆ จงพยายามรู้ทันจิตของตนในข้อนี้ ผลบุญจึงจะเกิดเต็มเปี่ยมสมดังเจตนา
หากไปทำบุญเพื่อหวังชื่อเสียง หวังความร่ำรวย หวังความเจริญก้าวหน้า การ “ทำบุญเพื่อเอาเข้ามา”เช่นนั้น ยังไม่เป็นการปลอดภัย หากมีเรื่องบีบคั้นจิตใจหรือหึงหวงอย่างมืดมิดจนขาดสติในวันใด ย่อมเป็นธรรมดาของปุถุชนที่จะกลายเป็นฆาตกรหรือทำผิดทำชั่วร้ายใดๆก็ได้ ไม่ว่าเขาหรือเรา
เราท่านทั้งหลายไม่ว่าใครจึงไม่ควรประมาทในชีวิต เพราะไม่รู้วันไหนเราจะพลาดพลั้งขาดสติเหมือนผู้ที่เขาผิดพลาดไปแล้ว การเจริญสติปัฏฐานจึงเป็นการงานที่ต้องทำไปตลอดชีวิต แม้พระอรหันต์ท่านก็ยังเจริญสติปัฏฐานเป็นวิหารธรรมประจำชีวิต ไม่เคยปล่อยดวงจิตให้ประมาทแต่อย่างใดเลย
วัดใดก็ตามที่สอนคนให้ทำบุญแบบไร้อัตตาเช่นนี้ ก็ต้องใจเด็ดยอมรับสภาพที่อาจจะต้องอยู่กุฏิผุๆเก่าๆและอาจฉันข้าวกับน้ำปลาในบางครั้ง คนเขาย่อมไม่อยากทำบุญกับวัดแบบนี้เพราะทำไปแล้วคนอื่นเขาก็ไม่รู้ว่าทำบุญ ไม่อาจอวดใครต่อใคร คนที่เข้าไม่ถึงศรัทธาแท้จริงแล้ว จะรู้สึกไม่ปลื้มอกปลื้มใจเพราะไม่มีคนคอยชื่นชมยกย่องอนุโมทนา
การทำบุญที่ต้องประกาศ ก็เมื่อถึงตอนที่คนส่วนใหญ่ทำบุญเพื่อเอาหน้าเอาตาหรือต้องการชื่อเสียงแล้ว ถึงเวลานั้นก็ต้องประกาศให้รู้กันเพื่อป้องกันกรรมการยักยอกเงินของเขา เพราะเมื่อท่านโด่งดังแล้ว วัดมีชื่อเสียงแล้วเจ้าภาพจะได้ปลื้มใจ กรรมการในตอนนั้นก็มีแต่อยากจะแย่งกันเข้ามาดูแล เมื่อชื่อเสียงของวัดแผ่กระจายออกไป คนก็จะชอบแข่งขันกันบริจาคให้ได้เงินเข้าวัดมากๆ เพราะไม่ไว้ใจเจ้าอาวาสหรือคณะกรรมการ เขาจึงต้องประกาศให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้เห็นเป็นพยานไว้ นี้คือเบื้องหลังการทำบุญแล้วต้องประกาศ อันเป็นหลักใหญ่ใจความ ทั้งๆที่การทำบุญที่จะได้เต็มเปี่ยมแท้จริงนั้น ยิ่งไม่ประกาศ อานิสงส์ยิ่งแรงและติดอยู่ในหัวใจไปสู่ภพหน้าอย่างศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
การฝึกจิตเพื่อไม่ติดในบุญในบาป อันเป็นการทำบุญแบบพระอริยบุคคล คือบุญกุศลอันสูงสุด จงพยายามทำบุญพร้อมกับการไร้อัตตา ทำไปอย่างไม่ต้องหวังผล จิตยิ่งว่าง ยิ่งบริสุทธิ์ ผลแห่งบุญกลับยิ่งได้เกินกว่าความปรารถนาและหวังผลแบบปุถุชน บุญอย่างนี้แหละคือการทำบุญเพื่อไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล ที่ทำเพื่อค้ำจุนพระศาสนา เพื่อไปสู่ความไร้อัตตา เป็นบุญที่นำสู่มรรคผลและพระนิพพาน
ขอย้ำในประเด็นตอนต้นว่า การทำบุญที่เต็มไปด้วยอัตตา ย่อมเป็นธรรมดาที่บุคคลนั้นยังสามารถที่จะกลายเป็นคนทำชั่วทำบาปได้ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์จึงต้องเจริญสติไว้เสมอ ไม่ใช่การนั่งสมาธิข่มความรู้สึก ข่มราคะ ข่มโทสะ อันจะทำให้สติสัมปชัญญะไม่แจ่มใสแววไว การภาวนาที่จะไม่ทำให้บุคคลนั้นตกลงไปสู่โลกที่ชั่วตามบทสวดทำวัตรเช้าอีกต่อไป จึงได้แก่การมีสติรู้ตัวอยู่เสมอนั่นเอง
ผู้มีสติรู้เท่าทันจิตใจ มีสติที่เพิ่มพูนอย่างเป็นธรรมชาติ มีสมาธิแห่งพุทธะคุ้มครองใจ คือผู้มีบุญอันยิ่งใหญ่ คนที่มีสติอันแจ่มใสเช่นนี้แหละ คือบุคคลที่ได้ชื่อว่า “ผู้ใจบุญ” ที่แท้จริง
คุรุอตีศะ
๒๘ มีนาคม ๒๕๕๘