ช่วยกันสร้างวัดใจ

ช่วยกันสร้างวัดใจ

 

 

 

                    วัดวาอารามอันเป็นวัตถุสิ่งก่อสร้าง อันเป็นวัดภายนอกนั้น  จะสร้างก็ได้  ไม่สร้างก็ได้แล้วแต่เหตุปัจจัย   แต่ “วัด”ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราหมั่นพากันสร้างตั้งแต่ทรงตรัสรู้มา ก็คือวัดภายใน ซึ่งได้แก่การคอย “วัดใจ”ของเราอยู่เสมอทุกวันเวลา


                    ผลจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่ฝ่ายบ้านเมืองตราขึ้นมาใช้บังคับกับพระ  โดยที่พระท่านก็ไม่ได้มีส่วนในการออกกฎหมายและใช้มาตลอด  ๕๐ ปี  ก็เลยทำให้ประเทศไทยมีแต่การแข่งขันกันสร้างวัดภายนอกเพื่อได้รับรางวัล “วัดพัฒนาตัวอย่าง” เต็มไปด้วยถาวรวัตถุมากมาย  ส่วนเจ้าอาวาส  พระภิกษุ สามเณร  ญาติโยม  ข้าราชการ  นักการเมือง  พ่อค้าประชาชนทั้งหลาย  จะสนใจสร้างวัดภายในตามคำของพระพุทธองค์นั้นช่างหายากเต็มที


                   ด้วยเหตุที่เราพากันนิยมสร้างแต่วัดภายนอกมาครึ่งศตวรรษ  เราจึงได้รับมรดกและผลลัพธ์อันน่าทึ่งและอัศจรรย์ยิ่งนัก คือทำให้ได้เห็นภาพพระขับรถซดเบียร์เพื่อคลายความกลุ้มใจของท่านบ้าง  บางทีก็เห็นข่าวท่านเดินบิณฑบาตทับเส้นทางกัน เกิดเขม่นกันแล้วเอาฝาบาตรตีศีรษะกันให้ญาติโยมได้เกิดสติรู้ ตื่น เบิกบาน ในยามเช้ามืดบ้าง  เพราะแม้ท่านอยู่ในวัดเป็นตึกใหญ่กว่าบ้านโยมที่ใส่บาตร  แต่หัวใจของท่านหาทางกลับ “วัดใจ”ไม่ค่อยเจอ


                  ความจริงแล้วพระจะเป็นอย่างไร  ก็มีผลสืบเนื่องมาจากพื้นเพของผู้คนในสังคมนั้น  เพราะผู้ที่ออกบวชก็มาจากคนธรรมดา ที่ค่อยๆขัดเกลาด้วยพระธรรมวินัยทีละน้อยในภายหลัง


                  หากเป็นคนที่มีคุณภาพมาก่อน  ท่านก็จะพัฒนาตนเองด้วยพระวินัยได้โดยง่าย  กลายเป็นพระที่แท้จริง สามารถเป็นที่พึ่งของผู้คนได้ต่อไป  แต่ถ้าท่านมีศักยภาพที่อ่อนแอมาก่อนหรือบวชด้วยเหตุจำเป็นหรือด้วยความจำใจ  ญาติโยมจะไปหวังผลเลิศเอาจากท่านเสียทีเดียวย่อมไม่ได้  ขอเพียงท่านประคองเพศพรหมจรรย์ไปได้แต่ละพรรษาก็นับว่าเยี่ยมมากแล้ว


                  วันนี้หนังสือพิมพ์ลงข่าวประจานไปทั่วว่าท่านเอาฝาบาตรตีศีรษะกัน  แต่หลังจากนั้นท่านอาจจะอุ้มบาตรเดินไปแบ่งอาหารให้กันและกลายเป็นกัลยาณมิตรกันต่อไปก็ได้  เรื่องของพระเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คนยังไม่ได้บวช หรือบวชเพียงตามประเพณีไม่มีวันจะเข้าใจ


                    ด้วยเหตุนี้การที่พระเอาฝาบาตรตีกัน อาจดูเป็นเรื่องราวใหญ่โตในสายตาของชาวโลกจนน่าตกใจ แต่สำหรับพระวินัยธรผู้รู้ซึ้งในพระวินัย  ท่านก็เพียงหัวเราะเบาๆเหมือนผู้ใหญ่มองเห็นเด็กน้อยขัดใจกันแล้วปาขี้โคลนใส่กัน  เพราะพระทุกรูปเมื่อบวชเข้ามาแล้วท่านถือเป็นเรื่องของคนในครอบครัวเดียวกัน  ท่านถือว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน คือพระพุทธเจ้า เพียงปลงอาบัติเท่านั้น  ท่านก็เลิกถือสาหาความกันแล้ว  หลังจากนั้นก็ค่อยๆขัดเกลากันไป


                     ในยุคนี้ท่านถือเป็นยุคสังคมวิปริต  แทนที่พระจะเป็นผู้นำทางจิตวิญาณหรือคอยสอนคอยชี้ทางให้แก่สังคม  กลายเป็นสังคมเป็นผู้คอยสอนพระ  ท่านเรียกว่า “เป็นยุคหัวดำชอบพูดเรื่องพระวินัยและธรรมะ  ส่วนหัวโล้นคือพระชอบพูดเรื่องกฎหมาย เศรษฐกิจ การเมือง”


                      การปฏิรูปศาสนา ก็คือต้องเริ่มต้นทั้งสองฝ่าย  อย่าไปบีบแต่จะให้พระท่านปฏิรูปวงการคณะสงฆ์อย่างเดียว  ฆราวาสก็ต้องปฏิรูปตัวเองไปพร้อมกันด้วย  อย่าไปเอาแต่บีบลูกชาวไร่ชาวนาที่ท่านด้อยโอกาสในสังคมแล้วเข้ามาบวช ให้ต้องมีศักยภาพเท่ากับผู้ที่สอบได้เกียรตินิยมที่เอาแต่เรียนหนังสืออย่างเดียวแล้วตนเองก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ก็ไม่ยอมเข้ามาบวช ได้แต่จะบังคับให้พระต้องทำอย่างนั้น  พระต้องเคร่งอย่างนี้  พอสัมมนาเสร็จแล้วก็ไปดื่มวิสกี้อย่างสบายใจ  ส่วนพระลูกชาวบ้านจะถูกบังคับไม่ให้มีปัจจัย  แล้วจะทำอย่างไรกันดี?


                        คำโบราณเคยกล่าวไว้ในทำนองว่า “ในยุคใดสมัยใดที่มีพระผิดศีลในข้อเสพเมถุนมาก  แสดงว่าในยุคนั้นหรือในสังคมนั้น คนชั้นสูงตลอดลงมาถึงชาวบ้านมีการประพฤติผิดศีลข้อ ๓ กันมาก  หากยุคใดมีผู้ประพฤติพรหมจรรย์ได้บริสุทธิ์งดงามเป็นที่กราบไหว้ของคนทั่วไป  แสดงว่ายุคนั้นผู้คนทุกระดับชั้นโดยทั่วไป ไม่ค่อยมีการคบชู้สู่ชายหรือหรือผู้ชายไม่ค่อยมัวเมาในกามารมณ์”


                        นั่นก็แสดงว่าพระจะดีจะเลวอย่างไร  ก็เป็นผลมาจากความประพฤติของผู้คนในสังคมนั่นเองเป็นพื้นฐาน  ไม่ใช่พระเป็นคนนอก  เรื่องของโยมจะทำตัวอย่างไรก็ได้   ฉันถวายปัจจัยใส่ซองให้แล้ว ใส่บาตรให้ฉันแล้ว  ห้ามมาบอกมาสอนอะไร  และสังคมในปัจจุบันนี้ก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว  เข้าทำนองสถาบันศาสนาในประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสในยุคก่อนจะถึงการเปลี่ยนแปลงมาสู่อังกฤษและฝรั่งเศสอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน  ประเทศไทยจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่จะเป็นสาเหตุให้เกิดการวิวัฒนาการไปสู่การสังคายนาครั้งใหญ่ที่สุดภายหลังกึ่งพุทธกาล

   
                         บอกได้คำเดียวว่าในตอนนี้จะยังไม่มีการปฏิรูปอะไรได้  เพราะผู้รู้ท่านบอกว่า เนื่องจากประเทศไทยยังวิวัฒนาการไปไม่ถึง “การเปลี่ยนผ่าน” สิ่งต่างๆกำลังพัฒนาไปสู่จุดระเบิดหรือจุดแตกหักในเวลาอีกไม่ไกล  หลังจากนั้นใครจะปฏิรูปอะไร  ก็ค่อยรอดูกันอีกที


                         พูดรำพึงรำพันระบายความอัดอั้นตันใจมาก็มาก  เนื่องจากเป็นผู้มีกิเลสมากไม่ค่อยมีธรรมะอะไรเหมือนใครเขา  บุญบารมีก็เล็กน้อยมิหนำซ้ำยังไม่ค่อยเจียมตัว เที่ยวขัดใจใครเขาไปทั่วจนแทบไม่มีคนเขาเอา  ขนาดมีกุฏิไม้หลังเก่าๆ  เขาก็ยังพากันรื้อลงไม่มีนอกชานจะเดิน


                          แต่ถึงแม้จะเป็นคนปากร้ายสักแค่ไหน  รับรองว่าก็ยังพอมีน้ำใจให้ท่านทั้งหลายอยู่บ้าง  จึงขอฝากย้ำให้ช่วยกันตรองดูว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องรีบเร่ง “สร้างวัดภายใน” คือ “วัดใจ” ของเราให้เข้มแข็ง  เผื่อมีภัยพิบัติมาเยือน จะได้มีสิ่งคุ้มครองได้ทันการ


                        วัดภายนอกคือเกพลิตาโพธิวิหารอันกันดารนั้นไม่จำเป็นต้องมาก็ได้  ขอเพียงให้เราอยู่ที่บ้าน  แล้วหมั่นสร้าง “พุทธสถานคือวัดใจ”  โดยพยายามเจริญสติภาวนา หัดเป็นพ่อพระของภรรยา  เป็นแม่พระของสามี  เป็นลูกที่ดี  เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานญาติพี่น้องเพื่อนฝูงได้พึ่งพาอาศัย  นั่นแหละคือการสร้างวัดภายในหรือ “วัดใจ”ของเราในระดับหนึ่งแล้ว


                         อย่าไปยึดติดว่าการปฏิบัติธรรมคือการเดินจงกรมนั่งสมาธิ  แต่จงพยายามรู้สึกตัว มีสติ กับกายและใจของเราในขณะนี้  สติความรู้ตัวที่เกิดขึ้นแต่ละขณะนั่นเองคือการปฏิบัติธรรมที่ไม่ต้องเคร่งครัดในรูปแบบ ซึ่งสามีภรรยาหรือผู้ครองเรือนสามารถปฏิบัติได้เป็นอย่างดี  เป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่ต้องไปสลัดทิ้งความรัก แต่มีสติอยู่ในความรักความเมตตา


                         การปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ที่เรามักลืมไป  คือการมีเมตตาธรรม ซึ่งก็คือความรักนั่นเอง  เมื่อหัวใจมีความรัก  ความสุขสงบภายในก็จะเกิดขึ้น  ที่ใดมีความรักความเมตตา  ความเป็นอารามคือความร่มเย็นก็เกิดขึ้น ณ ที่นั้น  นั่นคือการช่วยกันสร้างวัดใจขึ้นมาได้แล้ว

 

                                                                            คุรุอตีศะ
                                                                     ๒๐  มีนาคม  ๒๕๕๘