อัฐิกลายเป็นพระธาตุ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
อัฐิกลายเป็นพระธาตุ
ความเป็นพระอรหันต์เป็นสิ่งเกินวิสัยที่คนทั่วไปจะหยั่งรู้ แม้แต่พระอริยบุคคลรองลงมา คือพระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน ก็เป็นการยากมากแล้วที่คนทั้งหลายจะหยั่งและทราบได้ว่า ท่านใดทรงภูมิธรรมความเป็นอริยบุคคลขั้นใดได้อย่างแท้จริง
หากใช้การวิจัยวิจารณ์ในทางวิชาการหรือทางปรัชญา ย่อมเป็นธรรมดาที่ยิ่งคิดวิจัยวิจารณ์ก็จะยิ่งสับสนและเต็มไปด้วยความลังเลสงสัย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า “ความเป็นพระอรหันต์” เป็นสิ่งอยู่เหนือภาษาและสมมติบัญญัติ จึงไม่อาจขจัดความสงสัยด้วยการคิดหรือการวิจัยวิจารณ์ได้ แต่จะหมดสิ้นความสงสัยได้เด็ดขาดก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ หรือต้องละสังโยชน์เบื้องต่ำได้เด็ดขาดทรงภูมิจิตเป็นพระโสดาบันขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ
บางคนสงสัยว่า “เหตุใดเป็นถึงพระอรหันต์จึงถูกยิงตายกลางพื้นดิน ?”
เรื่องนี้อธิบายได้ว่า เพราะพระอรหันต์ท่านมีจิตอยู่เหนือสมมติ ไม่มีใครดีใครเลวในสายตาของท่าน นอกจากจะกำหนดจิตรับรู้สมมติบัญญัติเพื่ออบรมสั่งสอนเกื้อกูลไปตามสภาพ เวลาท่านพูดว่าใครเลว ใครดี ใครถูก ใครผิดนั้น จิตของท่านจะรู้สึกยึดมั่นว่าดีว่าเลวจริงๆจังๆอย่างที่พวกเราทั้งหลายรู้สึกอย่างนั้นจริงๆก็หาไม่ ส่วนความกลัวตายนั้นย่อมไม่มีในจิตของท่านอีกแล้ว
การจะทอดทิ้งร่างกายนี้ไว้ที่ไหน ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับท่าน เปรียบเหมือนการได้ปลงถาดน้ำมันที่หนักอึ้งบนศีรษะมานาน หากมีใครมาช่วยปลงลงให้ก็สบายดี แต่ความรู้สึกว่าอยากตายแบบปุถุชนก็ไม่มีในจิต คือความอยากมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีอยู่ในจิต ความรู้สึกว่าอยากตายก็ไม่มีอยู่ในจิต ดังนั้นการจะถูกยิงตายหรือจะตายแบบไหน จะตายกลางดิน กลางป่า ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่านอีกแล้ว นี้คือจิตของท่านที่พ้นโลกแล้วและยืนอยู่เหนือสมมติทั้งปวง
บางคนก็ไม่ยอมรับว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระอริยเจ้า บางคนก็ถึงกับปรามาสท่านว่า “เป็นพระอรหันต์ทำไมถึงมีสมุดเงินฝาก มีเงินในบัญชี ?” เรื่องนี้ก็อธิบายได้ว่า หากท่านอยู่แต่ในป่า ไม่ต้องมีภาระในการดูแลวัดวาอารามและสงเคราะห์ผู้คน สมุดเงินฝากก็ไม่มีความจำเป็นอะไรสำหรับท่าน เพียงมีอาหาร มีกุฏิที่อยู่อาศัยก็ย่อมเพียงพอแก่ชีวิตของพระภิกษุตามที่เข้าใจนั่นก็ถูกต้องแล้ว
แต่ถ้าท่านมีเหตุจำเป็นต้องดูแลส่วนรวมเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลผู้คนและศาสนา เมื่อญาติโยมผู้มีความเคารพเลื่อมใสศรัทธา จะเปิดสมุดบัญชีเงินฝากให้ท่านเพราะมองเห็นความจำเป็นบางอย่าง ท่านก็ไม่จำเป็นต้องแสดงว่า “ฉันเคร่งครัด ฉันจะต้องไม่จับปัจจัย” อันความคิดอย่างนี้ก็ไม่มีอยู่ในจิตของท่าน เพราะจิตของท่านพ้นจากมารยาที่คิดรักษาพระวินัยเพื่อให้คนมาเลื่อมใสศรัทธาไปแล้ว จิตของพระอรหันต์ไม่มีคำว่าเคร่งครัดหรือไม่เคร่งครัดอีกแล้ว แต่ถ้าต้องอบรมสั่งสอนศิษย์ท่านจะต้องสอนให้เคร่งครัดในพระวินัยไว้เป็นมาตรฐาน
ถามว่า “ท่านอายุเพียง ๔๘ ปี จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้เร็วขนาดนั้นหรือ ไม่น่าเป็นไปได้ บางรูปบางองค์บวชจนอายุ ๗๐ ปี ก็ยังไม่เห็นบรรลุอะไรเลย ?” เรื่องนี้ตอบได้ว่า ขึ้นชื่อว่าการรู้แจ้งหรือการบรรลุธรรม เป็นอกาลิโก ไม่มีอะไรกำหนดหมายว่าคนอายุน้อยจะบรรลุทีหลังคนอายุมาก ไม่มีอะไรกำหนดหมายว่าพระที่ยังเป็นหนุ่มมีผมดำสนิท จะมีภูมิธรรมน้อยกว่าพระเถระผู้มีพรรษสูงหรืออยู่ในปูนวัยชรา ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสเตือนพุทธบริษัทไว้ว่า “อย่าดูหมิ่นภิกษุหนุ่มยังผมดำสนิทผู้มีพรรษายังน้อยว่าจะไม่มีภูมิธรรมอะไร”
ผู้ที่มีบารมีแก่กล้า เพียงได้เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วเกิดความสลดใจ ละทิ้งหน้าที่การงานอันมีเกียรติในทางโลกได้ แล้วออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่เป็นหนุ่ม เมื่อได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ที่ทรงภูมิธรรมอันแท้จริง ได้มีโอกาสเดินธุดงค์และแสวงหาความวิเวกอยู่ตามป่าเขา ตามวิสัยพระปฏิบัติสายธุดงค์กรรมฐานอันเคร่งครัด ก่อนที่ท่านจะมารับภาระในการเป็นเจ้าอาวาสเมื่ออายุพรรษาสูงขึ้น ทั้งยังอุทิศตนในการช่วยเหลือคนอื่นด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตาธรรมตามวิสัยของคนที่เคยเป็นแพทย์มาก่อน ใครจะไปรู้ว่าสติที่เพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลาเพราะพลังแห่งศรัทธาและปัญญา และปีติสุขอันเกิดจากการได้ช่วยเหลือกิจของสงฆ์และผู้คนตลอดเวลา มรรคสมังคีของท่านจะเกิดขึ้นตอนไหน และตามวิสัยของผู้ที่ท่านบรรลุจริงนั้น สติของท่านจะเพียบพร้อมบริบูรณ์ จะไม่มีการลังเลสงสัยในอริยมรรคอริยผล และจะไม่มีความอยากให้ใครรู้แม้แต่นิดเดียว นี้คือ ปัจจัตตัง วิญญูหิ ผู้รู้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน
ด้วยเหตุดังกล่าวมา ครูบาอาจารย์ท่านจึงพยายามเตือนว่า อย่ามัวแต่เที่ยววิ่งหาพระอรหันต์กันอยู่เลย เพราะบางทีพระอรหันต์อยู่ใกล้ๆ เราเองก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะตาเนื้อตามธรรมดาของเราย่อมไม่อาจมองเห็นหรือหยั่งถึงได้ ในทำนองผู้ที่ยังยากจนหาเช้ากินค่ำ ย่อมเป็นการยากที่จะเข้าใจชีวิตของเศรษฐี ยิ่งถ้าเป็นเศรษฐีประเภทผ้าขี้ริ้วห่อทองด้วยแล้ว ยิ่งเข้าใจยากหลายเท่า
อย่างเช่นกรณีของครูบาอาจารย์บางท่าน ใครจะไปนึกว่าท่านอายุยังน้อย ลูกศิษย์บริวารก็ยังไม่มีมากนัก ออกเดินบิณฑบาตในแต่ละวันก็มักเดินเพียงรูปเดียวอันเป็นวิสัยของบุรุษอาชาไนยผู้ไม่มีความระแวงภัย แต่เมื่อกรรมในอดีตชาติมาส่งผล ต้องทิ้งสังขารไปด้วยการถูกฆาตกรรม ซึ่งในสายตาชาวโลกย่อมดูเหมือนไม่งามไม่น่าเลื่อมใสเท่าใดนัก แต่พอทำพิธีประชุมเพลิงศพผ่านไปเพียง ๓ วัน อัฐิของท่านได้แปรสภาพกลายเป็นพระธาตุอย่างรวดเร็ว นี้คือชีวิตของท่านผู้ทรงคุณอันประเสริฐเหนือโลกโดยแท้ นับว่าท่านเป็นผู้หลุดพ้นอย่างแท้จริง
ชีวิตของท่านเช่นนี้แหละที่ทางพระปริยัติท่านเรียกว่า “สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา เป็นผู้ปฏิบัติสะดวก แล้วบรรลุเร็ว” ตามบทสวดปัฏฐะนะฐะปะนะคาถาที่เราสวดกันอยู่
ตามหลักพระปริยัติธรรมท่านกล่าวถึงปฏิปทา คือทางดำเนินไปสู่ความหลุดพ้นหรือการรู้แจ้งว่ามี ๔ ปฏิปทา คือ ๑. ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบาก บรรลุช้า ๒.ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก บรรลุเร็ว ๓. สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวก บรรลุช้า ๔. สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสะดวก บรรลุเร็ว
การที่ท่านเป็นแพทย์ได้เห็นคนระดับสูงของกรมตำรวจป่วยเป็นมะเร็ง แล้วเกิดความสลดสังเวชมองเห็นความไม่มีสาระของชีวิต จนกระทั่งตัดสินใจออกบวชได้ขณะอายุเพียง ๒๘ ปี ซึ่งแพทย์และพยาบาลอีกมากมายแม้จะเห็นคนเจ็บและคนตายมากมายในแต่ละวัน แต่ก็ไม่เกิดปัญญามองเห็นความไม่จีรังของชีวิตเหมือนอย่างที่ท่านมองเห็น นี้คือความแก่กล้าของบารมีทางธรรมซึ่งน้อยคนนักจะมีดวงปัญญามองเห็นสัจธรรมของชีวิตได้ลึกซึ้งได้ถึงขั้นนี้ ท่านอาจเป็นพระโสดาบันประเภทเอกพีชีกลับมาเกิดใหม่เพื่อปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐานต่อก็ได้
บุคคลที่ออกบวชในลักษณะเช่นนี้ ถือว่ามีปัญญาคมกล้าใกล้ต่อการรู้แจ้ง ส่วนใหญ่จึงเป็นประเภท “สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบาย แต่ก็บรรลุเร็ว” ครูบาอาจารย์ประเภทนี้บางท่านเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นมาแล้ว จึงมีโอกาสเข้ามาบวชเมื่ออายุเลย ๕๐ ปี ท่านก็ไม่จำเป็นต้องไปเดินธุดงค์แต่อย่างใดเนื่องจากสภาพสังขารร่างกายไม่อำนวย แต่ก็มีภูมิธรรมสามารถสอนธรรมะและมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศได้ในเวลาอันรวดเร็ว
นี้คือความเป็นผู้มีวาสนาบารมีเฉพาะตน ที่แตกต่างกันไปของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ซึ่งหากพระพุทธองค์ไม่ทรงวางหลักปริยัติไว้ ผู้คนในชั้นหลังจะสับสนและเข้าใจผิดได้
สำหรับพระอริยเจ้าที่อัฐิได้แปรสภาพเป็นพระธาตุในเวลาต่อมานั้น พึงเข้าใจว่า มักปรากฏเฉพาะพระผู้บรรลุแบบเจโตวิมุติ ส่วนผู้บรรลุแบบปัญญาวิมุติ อาจไม่แปรสภาพเป็นพระธาตุก็ได้ พระกรรมฐานสายวัดป่าท่านมักได้วิชชา ๓ เมื่อมรณภาพอัฐิจึงมักแปรสภาพกลายเป็นพระธาตุ
การปฏิบัติในสายธุดงค์กรรมฐานหรือเราเรียกกันโดยทั่วไปว่า “สายหลวงปู่มั่น” การปฏิบัติในสายนี้เรียกว่า “เตวิชโช” คือ พระอรหันต์ผู้ได้วิชชา ๓ คำว่า”วิชชา ๓” คือนอกจากบรรลุความหลุดพ้นแล้ว ยังได้“ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ”(ปุบ-เพ-นิ-วา-สา-นุด-สะ-ติ-ยาน) ระลึกชาติได้ และได้ “เจโตปริยญาณ”(เจ-โต-ปะ-ริ-ยะ-ยาน) รู้ใจผู้อื่น รวมกับอาสวักขยญาณ(อา-สะ-วัก-ขะ-ยะ-ยาน) เป็นสามอย่าง จึงเรียกว่า “เตวิชโช ผู้ได้วิชชา ๓”
ดังนั้น ท่านจึงไม่ให้ไปปรามาสครูบาอาจารย์บางองค์บางท่าน ด้วยการตัดสินว่า “อัฐิท่านไม่ได้กลายเป็นพระธาตุ ท่านคงไม่ได้เป็นพระอรหันต์” เพราะพระอรหันต์มี ๔ ประเภทด้วยกัน ยิ่งถ้าเป็นประเภทสุกขวิปัสสโก โอกาสที่อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุมักมีน้อยเพราะชีวิตประจำวันของท่านไม่ค่อยได้อยู่กับสมาบัติ และพระอรหันต์ประเภทนี้ก็มีจำนวนมากกว่าประเภทเจโตวิมุติหลายเท่า แต่หากท่านใดอัฐิได้แปรสภาพเป็นพระธาตุ ก็ย่อมเป็นรูปธรรมที่ชัดแจ้งที่ไม่ต้องลังเลสงสัยในคุณธรรมของท่านอีกต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่ท่านจะมีปฏิปทาเคร่งครัดและมีความสุขกับสมาธิ ซึ่งสมาธิของท่านจะมีอยู่ตลอดเวลาแม้ไม่ได้นั่งสมาธิ
ชีวิตของพระอรหันต์เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายรู้ได้ยาก ที่กล่าวมานั้นก็เป็นเพียงความรู้อันเล็กน้อยที่พอจะแบ่งปันให้ท่านทั้งหลายได้ จุดประสงค์สำคัญก็เพื่อช่วยปกป้องครูบาอาจารย์ผู้ละสังขารจากโลกนี้ไปแล้ว อัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุให้ทุกคนได้บังเกิดความอัศจรรย์ใจ จะได้ไม่พากันไปปรามาสท่านว่าอายุยังน้อยและก็ตายด้วยเหตุอันสะเทือนใจ จะมีคุณวิเศษชั้นสูงได้อย่างไร คนโบราณท่านจึงสั่งสอนให้เรา “กราบผ้ากาสาวพัสตร์”ไว้ ก็เพื่อไม่ให้เราไปพลาดพลั้งล่วงเกินพระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์ที่ทรงเพศพรหมจรรย์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง
หากมีคำถามว่า “หากท่านเป็นพระอรหันต์จริง ทำไมจึงไม่ใช้ฤทธิ์ป้องกันตนเองให้แคล้วคลาดจากอันตรายเช่นนั้นเสีย จะได้ทรงสังขารไว้เพื่อดำรงพระศาสนาต่อไป?”
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องเฉพาะตัวของท่านที่ยากนักจะหยั่งได้ แต่พึงเข้าใจว่า ยิ่งถ้าเป็นผู้ทรงภูมิธรรมเบื้องสูงอันแท้จริงแล้ว ท่านจะยิ่งรังเกียจการใช้อิทธิปาฏิหาริย์ แต่ท่านจะมุ่งเชิดชูพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด จะไม่ใช้อิทธิฤทธิ์เพียงเพื่อประโยชน์ในการปกป้องตัวเองอย่างที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าน่าจะทำเช่นนั้น ยิ่งหากท่านระลึกชาติได้จนรู้กรรมในอดีตและรู้ว่าตนถึงคราวสิ้นอายุขัย ท่านก็พร้อมจะปล่อยวางชีวิตนี้ไปอย่างปราศจากความลังเล
ท่านผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านยิ่งมีความซื่อสัตย์และเคารพต่อ “กฎแห่งกรรม”อย่างสนิทใจ ท่านย่อมเป็นลูกหนี้ชั้นดีที่พิเศษสุด หากเห็นโอกาสใช้หนี้ได้ ท่านย่อมยินดีใช้หนี้กรรมที่ทำมาแต่อดีตชาติสมัยยังเป็นปุถุชนผู้หลงผิด อย่างปราศจากความลังเลเลยทีเดียว
ในท่ามกลางความวิกฤติในวงการของพระพุทธศาสนา ท่านพระอาจารย์บัณฑิต สุปณฺฑิโต แห่งวัดป่าตอสีเสียด จังหวัดอุดรธานี ซึ่งบัดนี้ได้ละทิ้งสังขารและอัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุ แม้ผู้คนทั้งหลายจะมีความคิดความเห็นไปในทำนองเช่นใดก็ตาม แต่สำหรับในทางส่วนตัวแล้ว ขอน้อมกราบในองค์คุณของท่านด้วยความเลื่อมใสศรัทธาและด้วยความปีติยิ่งนัก
ท่านคือตัวอย่างของบุรุษอาชาไนยที่หาได้ยากยิ่ง ท่านคือผู้ทรงพระศาสนาของพระศาสดาอย่างแท้จริงในท่ามกลางสังคมที่สับสนและเหล่าปุถุชนผู้มีดวงตามืดบอดทั้งหลาย
ท่านคือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่เชิดชูอนุสาสนีปาฏิหาริย์เหนือกว่าอิทธิปาฏิหาริย์อย่างไม่มีความพรั่นพรึงต่อความตาย ท่านคือพุทธบุตรอันแท้จริงอันจะทำให้มีผู้บรรลุธรรมตามอย่างท่านอีกมากมายในยุคสมัยต่อไป นี้คือความยิ่งใหญ่สมกับเป็นศิษย์ของพระตถาคตเจ้าโดยแท้
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
คุรุอตีศะ
๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘