โทษของกาม

โทษของกาม

 

 


                    หลังจากชีวิตของ “ยอด”มีความร่มเย็นเป็นสุขและมีความเบิกบานมาช้านาน แต่หลังจากฤดูหนาวย่างก้าวเข้ามา ชีวิตที่เคยสงบร่มเย็นของยอดก็เริ่มหายไป ยอดที่เคยมีความเป็นสุภาพบุรุษไม่เคยรุกรานใคร สงบเสงี่ยมเจียมตัวตลอดมา กลายเป็นยอดนักต่อสู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้แก่ศัตรูและสู้กับผู้รุกรานอย่างยิบตาชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน


                    เรื่องของเรื่องนี้ ที่ทำให้ยอดเปลี่ยนจากสัตว์สี่ขาสี่ตาผู้เจียมตัวและเรียบร้อยน่ารัก กลายเป็นนักสู้ชนิดหลังพิงฝาก็ยังคงยืนหยัดแม้จะตายก็ไม่ว่า เกิดจาก “นวลน้อย”ที่บ้านอยู่หน้าวัดเริ่มโตเป็นสาวแรกรุ่นขึ้นมา แม้มีหนุ่มๆสี่ขาบ้านอื่นพากเพียรพยายามที่จะมาตีสนิทและพิชิตหัวใจของนวลน้อยสักเพียงใด นวลน้อยก็ไม่เคยสนใจใคร นอกจากเฝ้าถวิลหาพี่ยอดเพียงตัวเดียว


                    ในที่สุดเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจนว่า พี่ยอดไม่ยอมออกไปนอกเขตวัดเพื่อเชยชมนวลน้อยตามที่รอคอยเหมือนหนุ่มสี่ขาบ้านอื่นเป็นแน่ นวลน้อยจึงใช้ความกล้าหาญเลียนแบบมนุษย์ผู้หญิงสมัยใหม่ที่เขามักทำกันอยู่ทั่วไป คือนวลน้อยได้ตัดสินใจฉีกม่านประเพณีโดยถือเอาความรักเป็นใหญ่ โดยตัดสินใจเข้าไปหาพี่ยอดที่แสนดีถึงในวัดตามที่หัวใจของนวลน้อยปรารถนาและต้องการ


                    สุดท้าย “ยอด” ก็ต้องจำนนต่อความรักอันมากล้นของนวลน้อยที่เป็นสาวสี่ขาแรกรุ่นในฤดูกาลนี้ ความรักของทั้งสองจึงสมความมุ่งมาดปรารถนา ท่ามกลางหนุ่มๆสี่ห้าตัวที่รุมกัดยอดด้วยความแค้น ที่พวกมันพากเพียรไปจีบนวลน้อยถึงบ้านแต่นวลน้อยไม่ชายตาให้แก่ใคร ทั้งที่พวกมันหล่อกว่ายอดมากมาย แต่นวลน้อยกลับมาทอดกายให้แก่ยอดจนถึงที่หยามหัวใจกันขนาดนี้


                    แม้ยอดจะสมหวังในความรักที่สาวมามอบให้ถึงบ้าน แต่ก็ต้องแลกกับการมีแผลอันเหวอะหวะ สำหรับนวลน้อยเมื่อสมใจในความรักและพิชิตพี่ยอดที่แสนสุภาพแสนดีและแสนซื่อได้เรียบร้อยแล้ว ก็ปล่อยให้พี่ยอดที่แสนรักของนวลน้อยตะลุมบอนกัดกับตัวอื่นจนเนื้อตัวมีแผลอยู่ทั่วกาย ส่วนนวลน้อยก็ยิ้มด้วยความสุขและความภูมิใจแล้ววิ่งออกจากวัดไป ในขณะที่พี่ยอดกำลังกัดกับหนุ่มอื่นอย่างบ้าคลั่งจนฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่วทั้งวัด


                    โทษของกามย่อมให้ความเผ็ดร้อนเช่นนี้เสมอ นำมาซึ่งความบ่นเพ้อคะนึงหาทั้งเช้าค่ำดุจเสียงเพลงที่คร่ำครวญมาทุกยุคทุกสมัย


                    ความรักอันแท้จริงคือความงดงาม แต่สำหรับ “กาม”ย่อมนำมาซึ่งความระทมขมขื่นและความทุกข์ในหัวใจ ทำให้ผู้ชายที่เคยสุภาพเรียบร้อยกลายเป็นคนรุ่มร้อนบ้าคลั่งขึ้นมาก็ได้ ทำให้ผู้หญิงที่เคยมีสติเป็นกุลสตรีสิ้นความยับยั้งชั่งใจ คนทั้งหลายในโลกนี้ไม่ได้เป็นบ้าเพราะความรัก แต่เป็นบ้าเพราะ “กาม” อันเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานเสมอกันทั้งคนและสัตว์


                    การที่มนุษย์หญิงชายมีความทุกข์กันมากไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เพราะอำนาจแห่งความเสน่หารึงรัดหัวใจไว้ จึงไม่มีความปลอดโปร่งในหัวใจ มีแต่ความคร่ำครวญเพ้อรำพันถึงเขาอยู่เรื่อยไปทุกเช้าค่ำ หากเป็นหญิงที่รักความเป็นกุลสตรีอาจร้องไห้กอดหมอนนอนระกำ หากสติกระเจิดกระเจิงไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งก็อาจกล้าทำได้ทุกอย่างเช่นนวลน้อยรักพี่ยอด


                   หากบุคคลใดเกิดพลาดพลั้งไปแล้วในเรื่องนี้ หากเป็นชายขอให้หาโอกาสบวชประพฤติพรหมจรรย์เว้นขาดจากกามารมณ์ให้ได้ ๑ พรรษา หากเป็นหญิงขอให้หาโอกาสรักษาศีล ๘ ติดต่อกันเจ็ดวัน ให้ได้สามครา หลังจากนั้นจิตใจที่แจ่มใสจะกลับคืนมา ความอาภัพอับโชค ความแร้นแค้น ความผิดหวังอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะสิ้นไป ความหม่นหมองกลุ้มรุมที่มีอยู่ในหัวใจตลอดมาจะหายไป ชีวิตจะสดใสและมีความสุขในบั้นปลายในชาตินี้


                    หากบุคคลใดยังไม่พลาดพลั้งล่วงละเมิดศีลข้อสาม ขอจงมีสติหักห้ามพยายามรักษาศีลของเราไว้ ศีลข้อสามจะเป็นตัวประคองจิตของเราให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งในชาติปัจจุบันนี้และในชาติต่อไป เมื่อจะบำเพ็ญบารมีหรือทำความดีอย่างอื่นก็จะทำได้โดยง่าย มีหัวใจที่ปกติร่มเย็นไม่รู้สึกโหยหาความรัก จะเป็นผู้มีใจแจ่มใส จะมีอุปนิสัยแห่งความมีเมตตาและคิดเกื้อกูล นี้คือคุณและอานิสงส์ที่เรารักษาศีลข้อสามมาได้อย่างเคร่งครัดตั้งแต่ชาติที่แล้ว


                    ในท่ามกลางกระแสกิเลสและกระแสสังคมอันเชี่ยวกราก ผู้คนเป็นอันมากล้วนถูกคลื่นกิเลสถาโถมและซัดลงไปในกระแสคลื่น เราอาจคือคนหนึ่งที่เคยเปียกปอนหรือเปื้อนโคลนแต่ไม่ถึงกับจมลงไป จงขอบคุณบารมีเก่าของเราที่สร้างสมไว้ จึงทำให้วันนี้ได้มีที่พึ่งและได้พบพระธรรมส่องนำทาง


                    เมื่อพลาดล้มลงไปแล้วจงลุกขึ้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจของมนุษย์ ชีวิตของเราย่อมไม่มีวันสิ้นหวัง เกิดเป็นคนย่อมมีดีมีชั่ว มีผิดมีถูก แล้วแต่ว่าสติของเราในช่วงเวลานั้นจะอ่อนแอหรือมีพลัง ไม่ว่าชั่วหรือดี ผิดหรือถูก ขอจงลืมเสียซึ่งอดีตและความหลัง จงตั้งต้นทำความดีใหม่ ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับมนุษย์ผู้กล้าแกร่งเช่นเรา


                    มนุษย์ทั้งหลายสมัยนี้ที่มีความทุกข์และมีปัญหาชีวิตกันมาก ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการ “กล้าเล่นกับไฟ” บางทีก็พยายามท้าทายหลักคำสอนทางศาสนา เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเรานี้มีความทันสมัยและมีความเป็นนักวิทยาศาสตร์


                     ความจริงแล้วนักวิทยาศาสตร์รุ่นบุกเบิกในยุโรปนั้น คือนักปราชญ์ผู้ปฏิเสธพระเจ้าตามหลักคริสต์ศาสนา แต่ดื่มด่ำกับ “ศาสนาแห่งการรู้แจ้ง” ที่ชาวกรีกนำไปจากอินเดียแล้วเอาไปเผยแผ่ให้แก่ชาวยุโรปที่ต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา ไม่ขึ้นกับอำนาจของพระเจ้าหรือความเชื่อที่มีอยู่ก่อนอีกต่อไป นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายแท้จริงแล้วก็คือผู้แสวงหาการรู้แจ้งด้วยสติและปัญญาของตนเองตามแนวทางแห่งอริยมรรคของพระพุทธองค์นั่นเอง


                     จงหมั่นเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ ด้วยการเจริญสติและรู้ตัวอยู่เสมอ เริ่มพิจารณาให้เห็นโทษของกาม เพื่อให้หัวใจดวงนี้ปลอดโปร่งจากกามฉันทะนิวรณ์ทั้งหลาย ชีวิตที่หมกมุ่นกลุ้มรุมด้วยกามารมณ์แม้จะมีรสชาติที่ดีเลอเลิศสักเพียงใด ย่อมไม่มีความสุขอันปลอดโปร่งสบายใจเทียบเท่ากับการประพฤติพรหมจรรย์แม้เสี้ยวหนึ่งได้เลย


                     เมื่อจิตดวงใดมองเห็นโทษของกาม ความรักอันงดงามและความเมตตาจะเกิดขึ้นตามมา โลกใบนี้จะเริ่มสวยงามเหมือนแดนสวรรค์ อันเป็นความสุขอันประณีตลึกซึ้งและสงบยิ่งนัก  อาณาจักแห่งความรักย่อมสถิตอยู่ตลอดกาล

 

 

                                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                                 ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗