รักอย่างมีสติ

รักอย่างมีสติ

 

 


               ความรักที่ขาดการเจริญสติ ไม่สร้างกุศลบารมีเพื่อคุ้มครองใจ ความรักนั้นจะตกต่ำลงไปจากความดีงามและความเบิกบานที่เคยมีกลายเป็นความหลง ทำให้เกิดความทุกข์


               หัวใจของผู้นั้นจะถูกบ่วงแห่งความเสน่หารึงรัดไว้ตลอดเวลา ในแต่ละวันจะหาความปลอดโปร่งใจได้ยาก จิตใจจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและหึงหวง เพราะหัวใจขาดพลังกุศลและความดีงามคอยเป็นฐานค้ำจุนรองรับไว้ จะเป็นหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเพราะขาดภูมิคุ้มกันที่สำคัญในการครองชีวิต


               ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนพระสาวกและอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ให้พากันหมั่นเจริญบทอภิณณหปัจจเวกข์ไว้ทุกเช้าค่ำและก่อนนอนว่า “เรามีความแก่เป็นธรรมดา เราจะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เราจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา เราจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้”


               บทสวดบทหนึ่งที่สำคัญที่หญิงชายทั้งหลายต้องหมั่นภาวนาอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้หัวใจต้องตกเป็นทาสของความรักและความผูกพันจนขาดเหตุผลและเกิดวิตกกังวล ก็คือบทว่า “สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว เราจำต้องมีการพลัดพรากจากสิ่งของอันเป็นที่รักที่ชอบใจเป็นธรรมดา” เมื่อเราทุกคนไม่มีใครล่วงพ้นจากความพลัดพรากจากสิ่งของหรือบุคคลอันเป็นที่รักในวันหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงควรเมตตาเกื้อกูลกันในวันนี้ให้ดีที่สุด


               ความรักระหว่างหญิงชายเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ ซึ่งสัตว์และมนุษย์มีเสมอเหมือนกัน แต่มนุษย์จะสูงขึ้นไปกว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็เพราะความมีใจสูงยึดเอาธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต จนสามารถพัฒนาความรักในระดับสัญชาตญาณกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ พากันเอาพลังแห่งความรักที่ดีงามนั้นสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อโลกนี้ให้กว้างออกไป หากหญิงชายคนใดทำได้เช่นนี้ท่านบอกว่า เขาหรือเธอคือมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่จะไม่ถูกความรักบีบคั้นให้ทุกข์ระทมจนเสียผู้เสียคนได้อีกเลยตลอดชาตินี้


              เมื่อปรารถนาในความรัก จงมีความรักอย่างมีสติ อย่าปล่อยใจให้หมกมุ่นกับความเสน่หาอาลัยจนหัวใจไม่เหลือพื้นที่ว่างสำหรับทำความดีอย่างอื่นหรือทำอะไรเพื่อคนอื่น


             เมื่อตัดสินใจที่จะมีความรัก จงรู้ตัวว่ากำลังเล่นกับไฟ หากมีสติเข้มแข็งพอ ไฟนั้นก็นำเอามาหุงข้าวต้มแกงหรือเป็นแสงสว่างให้แก่ชีวิตได้ แต่หากหลงใหลไม่ได้สติในความเสน่หามากเกินไป ความรักเช่นนั้นก็จะกลายเป็นไฟที่เผาไหม้ความสุขและความดีงามในชีวิตของเรา


               คนสมัยโบราณท่านเข้าใจในเรื่อง “เพศศึกษา”อย่างเป็นองค์รวมและลึกซึ้ง พอชายหนุ่มที่มีอายุ ๒๐ ปี ที่พลังทางเพศกำลังขึ้นถึงจุดสูงสุดท่านจึงให้บวชเพื่อเปลี่ยน “คนดิบ” ให้กลายเป็น “คนสุก”เสียก่อน เพื่อให้จิตใจหนักแน่นในการที่จะต้องรับภาระหนักในการเป็นหัวหน้าครอบครัวต่อไป ผู้เป็นอาจารย์ก็จะสอนวิชาการครองเรือนให้ก่อนจะสึกออกไปแต่งงาน


               ช่วงที่อยู่ในเพศบรรพชิตตลอดสามเดือนไตรมาส ก็เป็นโอกาสตรวจสอบความหนักแน่นของสตรีที่มาถือหมอนแห่นาคเข้าโบสถ์ ว่าเธอจะครองตัวครองใจไม่ให้วอกแวกเรื่องผู้ชายอื่นพอจะเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีได้หรือไม่


               หากทั้งสองยังมั่นคงต่อกัน ท่านก็ให้แต่งงานเข้าเรือนหอมีความสุขไปตามวัย เพราะในช่วงอายุของคนอายุระหว่าง ๒๑ – ๒๘ ปี พลังทางเพศจะเต็มเปี่ยมอย่างสูงสุด เหมาะสำหรับชีวิตของหญิงชายที่พอใจจะมีความสุขตามวิสัยของฆราวาส


              ส่วนบางคนเมื่อบวชแล้วจิตเกิดความสงบมีสมาธิ ยินดีจะบวชประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป ท่านก็ยินดียิ่งนักที่มีคนบวชเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา พออายุประมาณ ๓๕ ปี ในขณะที่พระเพื่อนที่เคยอุปสมบทรุ่นเดียวกันที่สึกออกไปแต่งงาน สามารถสร้างฐานะได้มั่นคงและลูกกำลังเติบโตอันถือว่าเป็นความสำเร็จในฐานะฆราวาส ผู้ที่บวชแล้วออกธุดงค์เข้าป่ามาได้ถึง ๑๕ พรรษา ท่านก็มักบรรลุสมาธิหรือทรงภูมิจิตเป็นพระโสดาบันบุคคล มีความมั่นคงสามารถจะเป็นที่พึ่งทางจิตใจของผู้คนดำรงพระศาสนาต่อไป


               นี้คือหลักการครองชีวิตของคนจริง เป็นชีวิตของลูกผู้ชายจริง เมื่อท่านแต่งงาน ท่านก็แต่งงานและสร้างตัวจริง ถ้าท่านบวช ท่านก็บวชจริง จนจิตใจมั่นคงดำรงสืบอายุพระศาสนา


              คนสมัยก่อนแม้ท่านมีภรรยามีลูกหลานมากมาย แต่ท่านก็นับถือเคารพพระสงฆ์ด้วยหัวใจ เพราะท่านรู้อยู่แก่ใจดีว่า “การบวชเป็นของยาก และการยินดีในการบวชอยู่ได้นานๆเป็นของยาก” เพราะท่านเคยบวชมาแล้ว จึงรู้ว่าชีวิตในพรหมจรรย์นั้นประเสริฐและทำได้ยากควรแก่การน่าเคารพกราบไหว้เพียงใด


                เมื่อรู้ตัวตามความจริงว่า “เราไม่อาจใช้ชีวิตด้วยการขาดแคลนในสิ่งนี้ได้” ท่านก็ใช้ชีวิตในเพศฆราวาสที่ไม่ต้องทนฝืนกับสิ่งที่มิใช่ชีวิตจริงของตน เมื่อเป็นเช่นนั้นอาจารย์ผู้ทรงภูมิจิตที่มั่นคงและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ท่านก็จะไม่สอนวิชาหลุดพ้น แต่สอนวิชาการครองเรือนอย่างมีสติให้แก่เขาก่อนจะสึกออกไป อย่างน้อยเมื่อเขาครองเรือนอย่างมีสติ หมั่นบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เรื่อยไป เขาอาจเป็นพระโสดาบันฆราวาสอยู่ท่ามกลางลูกหลานก็ได้


               คำสอนของอาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ต้องออกไปใช้ชีวิตฆราวาส หากเป็นผู้ชายที่มีลักษณะเป็นคนซื่อตรงและรักเดียวใจเดียวจริงจังในชีวิต อาจารย์อาจสอนเขาว่า “ศาลา ท่าน้ำ นารี สามสิ่งนี้ย่อมเป็นสาธารณะแก่คนทั้งหลาย แต่หากสตรีใดเธอมีจิตใจซื่อสัตย์และมีความจงรักภักดีต่อสามี สตรีเช่นนั้นย่อมหาได้ยากในหมู่สตรีทั้งหลาย เธอจงให้เกียรติและคุ้มครองรักษาเธอดุจการรักษาแหวนเพชรอันมีค่า”


                หากเขาเป็นคนที่ดูไปแล้วคงจะเจ้าชู้และคงเป็นสามีที่ซื่อสัตย์ยาก อาจารย์ผู้สุดแสนห่วงใยเขามากกว่าคนแรกหลายเท่า เพราะชีวิตของเขาจะต้องตกหลุมตกบ่อระหกระเหินกว่าจะขึ้นไปเดินบนถนนเหมือนคนอื่นได้


                อาจารย์อาจต้องใช้อุบายมอบปลัดขิกให้อันหนึ่งแล้วสั่งเป็นความลับว่า “แกจะไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำก็ไม่เป็นไร แต่ให้จำคำของข้าไว้ ห้ามไปทำลายหญิงสาวบริสุทธิ์ หากวันใดแกไปได้ลูกสาวใครที่เขาเป็นคนดี แกต้องเลี้ยงดูเขาไปจนตลอด ห้ามทิ้งขว้างเขาเป็นอันขาด จำไว้นะ!”


               เจ้าคนนี้อาจหัวหกก้นขวิดเป็นที่ระอาของพ่อแม่หรือใครๆ แต่เขาจะมีอาจารย์ของเขาเป็นที่เคารพหรือเป็นหลักอยู่ในใจ ต่อมาเขาก็จะได้สตรีที่ดีเป็นแม่บ้านคอยดัดนิสัยของเขา จากเป็นเสือลายพาดกลอนในตอนต้น พอถึงวัยกลางคนเขาจะกลายเป็นแมวเซื่องๆนอนอยู่ในหวดไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน ชีวิตบั้นปลายของเขาก็จะเกิดความร่มเย็นและเข้าที่เข้าทาง


               ผู้ชายสมัยนี้มักเป็นคนอ่อนแอกับความรักและมักตกเป็นทาสของผู้หญิง เพราะไม่เคยฝึกสติไว้ตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นใจแตกรู้จักรักผู้หญิง เปรียบได้กับการใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่มีความรู้ในการใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพ คอมพิวเตอร์ก็ต้องพังโดยง่าย


               เหมือนนักมวยที่ยังไม่ทันได้เตะกระสอบทราย แต่หาญกล้าขึ้นชกบนเวที พอมาเจอผู้หญิงสมัยนี้เขามีเสรีภาพในการยั่วยวนสารพัดวิธี จากแต่เดิมก็ไม่เป็นมวยอยู่แล้ว ก็เลยถูกคู่ต่อสู้ที่ยิ้มหวาน ปากแดง ออดอ้อนไล่ถลุงเอาจนหมอบคากลางเวที แล้วจับตัวเอาไปเป็นทาสรับใช้ที่แสนดีของเธอจนเสียผู้เสียคนอยู่มากมาย มีสภาพคล้ายเป็นทาสในเรือนเบี้ยสมัยรัชกาลที่ ๕


               เป็นหญิงสาวหากต้องการมีสามีที่ซื่อสัตย์และรักเราไม่เสื่อมคลายต่อไปภายหน้า ก็จงมีสติรู้จักประคองตนอย่าปล่อยให้ผู้ชายเจ้าชู้มือไวมากล้ำกราย หาก “ความรู้สึกภายใน”ของเราตักเตือนไว้ตั้งแต่ต้น หากยังไม่ใช่ก็จงเชื่อตัวเราเองว่า “ไม่ใช่” แม้จะต้องขึ้นคานทองนิเวศน์ก็จงมีศรัทธาและอดทน เพราะยามต้องประสบทุกข์น้ำตาไหลหลั่งอย่างท่วมท้น ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนหรือใครซักคน มาร่วมกลั่นน้ำฝนให้ไหลออกมาจากเบ้าตาร่วมเป็นร่วมตายกับตัวเรา


               เป็นผู้ชายก็อย่าดูหมิ่นสตรีผู้อ่อนแอกว่า เธออาจมีร่างกายไม่แข็งแกร่งเท่าผู้ชาย แต่ยามใดที่เธอดุร้าย สตรีทั้งหลายจะมีใจโหดร้ายกว่าผู้ชายหลายเท่า ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนของนักปราชญ์สอนชายหนุ่มผู้ไร้เดียงสาต่อสตรีว่า “อันสตรีนั้นมีมารยาตั้งร้อยเล่มเกวียน ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจสักเพียงไหน ล้วนแพ้พ่ายอย่างยับเยินต่อสตรีมาแล้วนับไม่ถ้วน”


               บางทีท่านก็สอนอย่างดุดันและดุเดือด สำหรับผู้ชายที่อ่อนแอปวกเปียกเมื่ออยากมีภรรยาเหมือนชาวบ้านเขา โดยท่านจะสอนว่า “ผู้หญิงเปรียบเสมือนงูเห่า หากเลี้ยงอิ่มก็นอนนิ่งไม่ทำร้ายใคร แต่ถ้าเจ้าเลี้ยงเขาไม่อิ่มหรือให้อาหารไม่เพียงพอในวันใด งูเห่าที่เจ้าเคยวางใจในความปลอดภัย ก็จะแว้งกัดเจ้าขึ้นมาวันใดก็ได้ จงระมัดระวังตัวและเลี้ยงงูเห่าให้ดี”


               คำสอนเหล่านี้ไม่ได้เป็นการสอนให้ดูหมิ่นสตรีเพศแต่อย่างใด แต่คือการสอนให้ “รักอย่างมีสติ” ด้วยอุบายวิธีต่างๆอันเหมาะกับอุปนิสัยของบุรุษแต่ละคนที่มีความเข้มแข็งต่างกัน


               คนสมัยก่อนท่านตระหนักว่าการครองเรือนหรือการแต่งงานเป็นเรื่องที่สำคัญ ขนาดต้องไปดู “สมพงศ์นาค”เสียก่อนว่าเป็นเนื้อคู่กันไหม ซึ่งการดูสมพงศ์นาคนั้น ก็คือการทำนายความสมดุลทางเพศระหว่างหนุ่มสาวคู่นั้นอย่างที่คนเราสมัยนี้พูดกันนั่นเอง แต่หนุ่มสาวคู่ใดมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง รวดเร็วเกินกว่าที่พ่อแม่จะไปหาหมอดูเพื่อดูสมพงศ์นาคได้ทัน ท่านก็ทำพิธีเสียผีหรือจับแต่งงานกัน ไม่ต้องไปสาละวนสนใจว่าจะสมพงศ์หรือไม่สมพงศ์อะไรอีก


               ความรักของชายหญิงที่มีสติกำกับตั้งแต่ต้น จะทำให้ทั้งคู่มีน้ำใจที่หนักแน่นอดทนและรักกันได้ยั่งยืนสม่ำเสมอ เหมือนการดื่มน้ำผึ้งทีละช้อนชาก็จะกลายเป็นอายุวัฒนะบำรุงร่างกาย แต่ถ้าใครดื่มน้ำผึ้งครั้งเดียวหมดทั้งขวดใหญ่ แล้วหลังจากนั้นชีวิตจะเหลืออะไร? นี้คือสาเหตุใหญ่ที่คนสมัยนี้ครองรักไม่ยั่งยืน เพราะเหลือแต่ขวดเปล่าไม่รู้จะทำอะไรอีกแล้ว


              เมื่อมีความรัก จงมีความรักอย่างมีสติ อย่าเอาแต่รักและทุมเทมอบกายถวายชีวิตอยู่แต่กับผู้หญิงหรือผู้ชายที่เรารักอยู่คนเดียว จนไม่ใส่ใจความทุกข์หรือปัญหาของพ่อแม่หรือมนุษย์อีกมากมายที่อยู่ร่วมโลก จงใส่ใจทำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา อย่าประมาทในวัยว่ายังหนุ่มยังสาวอยู่ เพื่อให้ความรักของเรานี้เกิดความสมดุล พลังแห่งความริเริ่มสร้างสรรค์ย่อมเกิดขึ้นตามมา


               จงพยายามพากันสร้างกุศลบารมีด้วยความไม่ประมาทในชีวิตทุกๆวัน จงแผ่ความกรุณาให้กว้างออกไปว่า ในขณะที่เรามีความรักนอนเคียงคู่มีความสุขกันอยู่นี้นั้น ยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องอดข้าวนอนหนาวสั่น ไม่มีแม้แต่ผ้าห่มที่จะใช้พอกันหนาวให้ก้าวข้ามค่ำคืนอันหนาวเหน็บคืนนี้ไป


              รักอย่างมีสติ คือความรักที่จะเกิดการพัฒนาจากสัญชาตญาณตามธรรมดาของปุถุชน เข้าสู่ความรักแห่งพุทธะ กลายเป็นความรักอันงดงามของพระอริยะ กลายเป็นรักที่เสียสละและสร้างสรรค์ เป็นความรักแห่งพระโสดาบันอันเต็มเปี่ยมและเบิกบานอยู่ตลอดเวลา

 

 

                                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                                   ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗