สายตาที่มองโลก

 สายตาที่มองโลก

 

 


                การมีทัศนะต่อโลกใบนี้เป็นอย่างไร ย่อมขึ้นกับหัวใจของบุคคลนั้น ความประพฤติของบุคคลในช่วงเวลานั้นก็เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะเป็นตัวกำหนด เมื่อประสบการณ์ในชีวิต สิ่งแวดล้อม การศึกษาอบรมเปลี่ยนไป การมองโลกและการมองชีวิตก็จะเปลี่ยนไปตาม

 

                ในสังคมในยุคนี้มักมีบุคคลประเภทหนึ่งที่เขาอยากทำอะไรตามอารมณ์ แล้วทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อวัฒนธรรมประเพณีและบุคคลฝ่ายจารีตนิยม พร้อมกับขนานนามอย่างเยาะเย้ยดูหมิ่นอีกฝ่ายว่า "พวกโลกสวย" และมองว่าบุคคลประเภทนี้ช่างไร้เดียงสาและไม่ทันโลกไม่ทันสังคม โลกในปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้ว มัวเป็นพวกมองโลกสวยอยู่ได้ อะไรทำนองนี้

 

                การมีทัศนะในการมองโลกแบบใด ย่อมขึ้นกับใจและความประพฤติของบุคคลนั้นในขณะนั้นเป็นหลัก นกย่อมมองเห็นทั่วทั้งผืนดินและท้องฟ้า ส่วนปลาย่อมเห็นแต่น้ำในสระ


                หากบุคคลนั้นบวชในศาสนาตั้งแต่เป็นสามเณรมาแต่บ้านนอก ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีโทรศัพท์มือถือหรืออินเตอร์เน็ต ท่านย่อมเป็นพระภิกษุหนุ่มที่มองโลกใบนี้เป็นสีขาวและมองผู้คนในสังคมว่าย่อมมีความบริสุทธิ์ใจและมีความจริงใจให้แก่กัน ดุจเดียวกับที่ท่านมีหัวใจเช่นนั้นแก่คนอื่น


               หากบุคคลนั้นเป็นลูกที่เกิดในครอบครัวคนมีเงิน เขาเริ่มมีประสบการณ์ทางเพศตั้งแต่อายุน้อยก่อนอายุ ๒๑ ปี แล้วก็แสวงหาความสุขตามประสาชายหนุ่มไปเรื่อยๆโดยไม่ตั้งใจมีครอบครัวและมีความรับผิดชอบ เขาจะมองโลกเป็นสีเทา ในสายตาของเขาจะมองโลกนี้ว่าช่างเต็มไปด้วยความเลวร้าย มองสตรีทั้งหลายว่าเป็นวัตถุสนองความต้องการชิ้นหนึ่งเท่านั้น


               หากให้บุคคล ๒ ประเภทนี้มาแสดงวิวาทะแข่งกัน ผลการแข่งขันจะปรากฏว่าบุคคลฝ่ายแรกแพ้อย่างยับเยินอย่างไม่ต้องสงสัย ฝ่ายหลังจะกลายเป็นทั้งผู้ชนะและกลายเป็นขวัญใจของผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ เพราะสิ่งใดก็ตามที่ไหลตามกระแสกิเลสหรือกระแสสังคม ย่อมได้รับความนิยมของผู้คนได้โดยง่าย เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ย่อมไม่มีใครอยากทวนกระแสกิเลสอยู่แล้ว


                การที่เขาต่อต้านพระ ต่อต้านศีลธรรม ต่อต้านวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม แท้จริงแล้วก็เป็นเพราะเขากำลังต้องการหมกมุ่นในอบายมุขหรือกามารมณ์อย่างเต็มที่ ไม่ต้องการให้ใครไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขา เขาต้องการปกป้องตนเองในการที่จะใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป


               เขาอาจเป็นบุคคลที่หาสตรีมาเสพสุขได้แทบทุกวัน แต่เมื่อใดที่เขาปรารถนาจะแต่งงาน บุคคลชนิดนี้มักแสวงหากุลสตรีผู้มีความบริสุทธิ์แทบทั้งนั้น แต่เมื่อวิบากกรรมที่เขาทำกับสตรีดีๆไว้มาก จึงหาสตรีเช่นนั้นไม่ได้ เขาก็อาจอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเองอีกว่า "ไม่จำเป็นอะไรที่สตรีทั้งหลายจะครองความบริสุทธิ์ก่อนการแต่งงาน" คนดีๆจำนวนมากก็มักจะตกหลุมพรางความคิดของเขาได้โดยง่าย ระยะนี้บุคคลประเภทนี้จะมีอิทธิพลต่อสังคมมาตลอด


               เมื่อตนต้องการหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ ก็ไม่ควรไปลบหลู่ล่วงเกินพระภิกษุสามเณรผู้ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ผู้ครองศีลบริสุทธิ์ เมื่อเราอดทนไม่ไหวหรือประคองตนไม่ได้อย่างท่าน ก็อย่าไปดูหมิ่นว่าท่านนั้นโง่ไม่ยอมมาหาความสุขแบบชาวโลกทั้งหลาย


               เมื่อตนเป็นสตรีที่สูญเสียความสาวตั้งแต่วัยยังน้อย หรือผ่านชายมาหลายคนแล้วคิดว่าเป็นสิ่งดี เราก็อยู่ตามวิถีของเราไป แต่ไม่ควรไปหมั่นไส้หรือพยายามดึงคนอื่นที่เขายังครองความบริสุทธิ์ไว้ได้ตามสมควรแก่วัย ว่าเขาช่างไม่ประสีประสาอะไรและช่างเป็นไดโนเสาร์แท้ แล้วพยายามชักจูงให้เขาตกลงมาจากที่สูงเพื่อมามีความประพฤติเช่นเดียวกับตน


               การมองโลกในสายตาของบุคคลคนเดียวกัน ยังสามารถเปลี่ยนไปได้ตามสิ่งแวดล้อมและความประพฤติของบุคคลนั้นในเวลาต่อมา  ประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจในชีวิตก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้การมองโลกผิดกว่าแต่ก่อน


               บุคคลที่เคยบวชตั้งแต่เป็นสามเณรที่เคยมองโลกเป็นสีขาว หากวันหนึ่งเกิดหมดบุญในศาสนา เกิดความกำหนัดยินดีจนทนต่อไปไม่ไหวสึกหาลาเพศออกไปใช้ชีวิครอบครัว จิตใจและความเป็นอยู่ที่ต้องหมกมุ่นอยู่กับครอบครัวและกามารมณ์ในช่วงนั้น เขาอาจคิดว่า "ถ้ารู้ว่ามีความสุขอย่างนี้ คงสึกมานานแล้ว"


              หากต่อมาเขาเกิดเบื่อหน่าย หรือเขาไปได้ผู้หญิงที่ไม่รู้จักอิ่มในกามารมณ์แล้วสนองตัณหาให้เธอไม่ได้จนเกิดนอกใจขึ้นมาวันใด เขาจะคิดถึงชีวิตตอนที่บวชอยู่ด้วยความซาบซึ้งและตรึงใจอย่างหาที่สุดมิได้ เขาจะคิดถึงคุณของพระศาสนาและอยากออกบวชอีกครั้งอย่างที่สุด


              ธรรมะที่เคยเรียนเคยท่องเคยปฏิบัติมามากมาย จะหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจและซาบซึ้งในคุณของพระพุทธองค์และปวงเหล่าพระอริยสงฆ์ ชนิดที่ตอนบวชอยู่นั้นไม่เคยซาบซึ้งถึงเพียงนี้ "โอ..โทษของกามช่างร้ายกาจนัก เหมือนสุนัขแทะกระดูก มีแต่ความเมามันแต่ไม่รู้จักอิ่ม ตามคำของพระพุทธองค์ตรัสไว้จริงๆหนอ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ เราจะไม่สึกออกมาเด็ดขาด"


              ในทางกลับกัน สำหรับชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตเป็นเทพบุตรหรือผีเสื้อราตรีในมวลหมู่อิสตรี ในช่วงนั้นเขาย่อมมองโลกนี้ด้วยสายตาว่า "ไม่รู้ว่าศาสดาทั้งหลายไปบัญญัติศีลธรรมหรือหลักปฏิบัติให้กดข่มอารมณ์ให้ต้องอึดอัดทำไมกัน สู้ทำอย่างตัวเราขณะนี้นั้น ช่างสุดแสนมีความสุขจะตาย" แล้วเขาอาจตั้งตนเป็นศาสดาสอนลัทธิใหม่ขึ้นมาในช่วงนั้น พร้อมกับประกาศคำสอนว่า "หญิงชายทั้งหลายจงมาหาความสุขกัน ศีลธรรมความดีอะไรนั้นเป็นของลวงโลก อย่าไปมัวหลงงมงายในศาสนาและสิ่งอันไร้สาระพวกนั้น มามีความสุขกันดีกว่า"


              ตอนเขาตั้งตนเป็นศาสดาสอนลัทธิโลกียนิยมพวกนี้ เขาเป็นคนหนุ่มเต็มเปี่ยมด้วยพลังทางเพศเพราะอยู่วัยเพียงยี่สิบห้า ยี่สิบหกปี แต่พอเขาเริ่มเข้าสู่วัยสี่สิบปี เขาเริ่มเสวยกรรมบางอย่างที่สตรีก่อนหน้านั้นไม่มีโอกาสล่วงรู้ เขากลายเป็นคนหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เพราะความไม่พอดีในการใช้พลังตามแบบภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล รวมทั้งวิบากกรรมจากการลบหลู่ศีลธรรมและศาสนาในช่วงวัยที่มีอายุยังน้อย ยังเป็นผู้ด้อยต่อประสบการณ์ของชีวิต


               เขาทุกข์ทรมานเพราะกลัวว่าภรรยาที่แสนรักจะนอกใจเขา เขามีราคะท่วมท้นในหัวใจทุกครั้งที่มองเห็นสาวสวยหรือภาพอันยั่วยวนทั้งหลาย แต่เขาไม่สามารถมีความสุขตามความปรารถนาได้ดั่งใจ เขาจะออกบวชในศาสนาเพื่อจะเป็นพระอนาคามีก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะพระอนาคามีผู้มีดวงจิตอันสูงส่งนั้น ร่างกายของท่านไม่ใช่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แต่จิตของท่านไม่มีราคะมาปรุงแต่งจิตเพราะอานุภาพแห่งอนาคามิมรรคต่างหาก


               ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ต้องเป็นชายที่สมบูรณ์หรือเป็นหญิงสมบูรณ์ ทั้งต้องเป็นบุคคลมีสมรรถภาพทางเพศอันสมบูรณ์มาก่อนทั้งชายและหญิง เพียงแต่ท่านใช้พลังในการเดินตามอริยมรรคแทนที่จะสูญเสียพลังไปกับความสุขแบบบุคคลทั่วไป บุคคลที่มีความบกพร่องทางเพศ ท่านจึงบอกว่าไม่สมควรให้บวช เพราะในชาตินั้นเขาจะยังไม่สามารถบรรลุโสดาปัตติผลได้


               บุคคลเช่นนั้นท่านจึงห้ามพระอุปัชฌาย์รับบวชเข้ามาในศาสนา เพราะเขาจะมีจิตกลุ้มรุมด้วยราคะมากกว่าชายหรือหญิงตามธรรมดาทั่วไป บวชไปก็ไม่เกิดมรรคผลอันใด


               ผู้ที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลในชาตินั้นๆ ย่อมต้องมีพื้นฐานทางร่างกายที่สมบูรณ์และมีสมรรถภาพทางเพศที่เต็มเปี่ยมมาก่อน หากให้เขาไปแต่งงาน เขาจะมีภรรยาสิบคนก็ได้ หากเป็นสตรีจะให้เธอมีลูกเป็นโหลก็ได้ แต่เพราะบุญบารมีที่สั่งสมไว้ จึงมีสติเข้มแข็งมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป มองเห็นทางแห่งอริยะประเสริฐกว่าการจะปล่อยชีวิตให้จมอยู่ในกามารมณ์ เขาจึงเลือกที่จะเดินไปในเส้นทางแห่งความหลุดพ้นหรือการบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งขึ้นไป


              ดังนั้น บุรุษหนุ่มผู้ตั้งตนเป็นศาสดาที่สอนลัทธิสมัยใหม่ดังกล่าวมาข้างต้น หากต่อมาเขาได้พบกับพระอริยบุคคลหรือผู้สามารถเป็นอาจารย์ของเขา เขาอาจบวชในศาสนาครองตนประพฤติพรหมจรรย์ และกลายเป็นพระภิกษุผู้เคร่งครัดในพระวินัยภายหลังก็ได้


                หลังจากนั้นการมองโลกของเขาก็จะเปลี่ยนไป เขาจะสั่งสอนอบรมด้วยคำสอนใหม่ว่า "เธอทั้งหลายเอ๋ย ถ้าหวังพ้นทุกข์ จงอย่าหลงติดสุขในโลกีย์ กามารมณ์ทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นแก่นสารดอก จงทิ้งความสุขอันเล็กน้อยดุจเนื้อติดกระดูกนั้น มาแสวงหาพระนิพพานกันเถิด" จากอดีตชายหนุ่มผู้มีชีวิตอยู่ท่ามกลางอิสตรี กลายเป็นพระภิกษุที่พอใจในการหลีกเร้น มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่อยากสนทนากับสตรีคนใด กลายเป็นผู้มักน้อยสันโดษอย่างแท้จริง


               เจ้าชายสิทธัตถะในช่วงชีวิตก่อนจะถึงวัย ๒๙ ปี พระองค์ก็หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์มาก่อน แต่พระองค์ทรงเบื่อหน่าย มองเห็นความไม่มีสาระจึงละทิ้งสิ่งเหล่านั้นไป จึงได้ทรงตรัสรู้กลายเป็นพระบรมศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีดวงจิตยืนอยู่เหนือสรรพกิเลสและราคะทั้งปวง


               การจะมองโลกด้วยสายตาอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับใจและความประพฤติของบุคคลนั้น หากชีวิตของบุคคลนั้นยังจมอยู่ในมหาสมุทรใหญ่คืออบายมุขและกามารมณ์ โลกในสายตาของเขาย่อมคือความมืดดำและมองไม่เห็นคุณค่าของศีลธรรม วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามหรือศาสนา


              หากบุคคลใดยืนอยู่บนบก เขาย่อมสามารถมองเห็นวิวและชายทะเล รอบกายของเขาย่อมคือหาดทรายอันขาวสะอาดและสายลมเย็นอันสดชื่นที่พัดผ่านมา ใจของเขาย่อมอ่อนโยนและซาบซึ้งในศีลธรรมและศาสนา ที่ช่วยหล่อหลอมหัวใจดวงนี้ให้ดีงามและได้พบกับที่พึ่งอันประเสริฐ


              นัยน์ตาทั้งสองจะมองเห็นความงดงามของโลกใบนี้ มองโลกด้วยความสำนึกคุณและเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า ทอดสายตามองดูมวลหมู่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายด้วยความเมตตา นี้คือการมองโลกอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความรักและงามสง่า ในสายตาของเหล่าพระอริยเจ้าทั้งปวง

 

 

                                                                                     คุรุอตีศะ
                                                                             ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗