สิ่งสำคัญที่สุด

สิ่งสำคัญที่สุด

 


              หลังจากเขียนบทความลงในเว็บไซต์แห่งนี้มาเป็นเวลาปีเศษ  เมื่อนับถึงวันที่ ๒๓ ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๕๗  มีบทความทั้งสิ้น  ๕๐๐ บทความด้วยกัน


              ดังนั้น  สำหรับท่านใดที่เพิ่งเข้ามาใหม่ หรือท่านใดที่มีปัญหาชีวิตหรือมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ ต้องการอ่านธรรมะเพื่อให้เกิดความสบายใจ ขอให้ย้อนกลับไปอ่านบทความตั้งแต่ที่เขียนไว้แรกๆ ซึ่งได้วางรากฐานเพื่อเป็นเพื่อนช่วยผ่อนคลาย และเพื่อความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิตแก่ผู้คนในสังคมปัจจุบันไว้พอสมควรแล้ว


               ใครก็ตามที่เรียนหนังสือในชั้นมัธยมศึกษา ตามหลักสูตรพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๑ เป็นต้นมา  เคยสังเกตหรือไม่ว่าเราจะรู้สึกห่างเหินจากพระพุทธศาสนาและมองวัดวาอารามเป็นคนละโลก มองเห็นพระสงฆ์ตามวัดเป็นคนแปลกหน้า นั่นแหละคือเบื้องหลังของการกำหนดนโยบายการศึกษาที่ต้องการแยกเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ออกจากพระพุทธศาสนา


                แม้แต่การผลิตครูออกมา ก็มุ่งที่จะให้ครูสอนนักเรียนหรืออบรมเยาวชนของไทยเพื่อให้เป็นคนทันสมัยและเก่งกล้าเลียนแบบชาวตะวันตกเป็นหลัก  อาจมีผลดีอย่างหนึ่งที่ทำให้เจริญก้าวหน้าและผู้คนที่เดินตลาดสวนกันไปมามีแต่คนจบปริญญา  แต่ก็ทำให้ผู้คนเหินห่างจากพระพุทธศาสนาและกลายเป็นดูหมิ่นวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของตัวเอง


                เปรียบดังลูกที่พ่อแม่เลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ แต่ถูกสอนให้หัวใจมีแต่ชื่นชมคนบ้านอื่นแล้วดูหมิ่นพ่อแม่ตัวเองว่าต่ำต้อย  ทั้งๆที่ตัวเองโตมาได้ก็ด้วยน้ำนมข้าวป้อนแต่ก็ไม่เคยสำนึกในคุณความดีแต่อย่างใด  กลับไปนิยมคนอื่นว่าประเสริฐและยิ่งใหญ่ คนไทยในยุคนี้ก็มองพระพุทธศาสนาและวัดวาอารามด้วยความรู้สึกคล้ายๆกัน  นี้คือผลผลิตทางการศึกษาที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของพวกเราทุกคนโดยไม่รู้ตัว


                ส่วนลูกคนจนที่พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนต่อ หากเป็นชายก็อาศัยการบวชเรียนเพื่อความมีอนาคตวันข้างหน้า  ท่านเหล่านั้นส่วนมากแล้วก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา  แต่บวชเพื่ออาศัยพระศาสนาเพื่อเป็นที่พึ่งและร่มเงา  พระภิกษุและสามเณรที่ช่วยประคองพระศาสนาในยุค ๕๐ ที่ผ่านมานี้ก็คือท่านเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ เราทั้งหลายพึงเห็นใจและเข้าใจไว้อย่างนี้


                 ส่วนใครมีเงินทองหรือเป็นคนหัวดีเรียนเก่งพ่อและแม่ก็ไม่ยอมให้บวช ต้องการเอาไว้เรียนจบเป็นหมอ เป็นวิศวกร จบเป็นดอกเตอร์  เป็นนายพล เป็นนายอำเภอ เป็นนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่  คนที่เหลือเข้ามาบวชในศาสนาก็เหลือแต่คนที่สังคมไม่สนใจ  พวกฆราวาสผู้เรียนเก่งและได้เป็นใหญ่จึงดูหมิ่นพระสงฆ์ข่มท่านอยู่ในทีและมองวัดวาอารามไม่อยู่ในสายตา


                หากเราคือคนหนึ่งที่ยังยินดีพอใจใช้ชีวิตในทางโลก จะอ่านธรรมะมากเพียงใดหรือปฏิบัติกรรมฐานมามากแค่ไหน  ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้ามาบวชในพระศาสนา จะไม่มีทางเข้าใจหัวใจอันแท้จริงของพระภิกษุที่บวชด้วยศรัทธาและหัวใจของของท่านเหล่านี้ว่าเป็นอย่างไร


                มักมีแต่นักวิชาการหรือผู้มีการศึกษา พากันวิพากษ์วิจารณ์บอกว่าพระต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้  ท่านเองก็ไม่มีปัญญาจะไปโต้แย้งหรือหาคำพูดใดเถียงกับเขา ก็ได้แต่ปล่อยให้เขาพูดและอยู่สงบเสงี่ยมเจียมตัวด้วยขันติบารมีต่อไป  เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนจึงจะพูดกับเขาถูก


              สมัยก่อนก็เคยใช้นิสัยแบบนี้ที่ติดตัวมาตั้งแต่ฆราวาสเช่นเดียวกับผู้คนทั้งหลาย เมื่อบวชนานไปหลายพรรษา จึงเริ่มรู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเก่งธรรมะแบบฆราวาสไม่มีทางรู้  โชคดีที่มีพระในป่าท่านเมตตาช่วยอบรมและอุ้มชู และท่านเตือนว่า การที่จะให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองไม่ใช่การโพนทะนาความเลวของพระหรือไล่จับพระสึกอย่างที่เป็นอยู่  แต่คือการที่มีคนมีบุญบารมีและมีความรู้อุทิศตนเข้ามาบวช  แล้วพระศาสนาจะรุ่งเรืองและมั่นคงไปเอง


              ชีวิตของพระภิกษุหรือนักบวชในศาสนาใดๆก็ตาม ก็คือชีวิตที่ผิดไปจากธรรมชาติ  เพราะธรรมดาของชีวิตมนุษย์นั้นไม่ว่าชายหรือหญิงย่อมต้องการกามารมณ์เป็นพื้นฐาน สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผู้คนบวชกันได้น้อยหรือบวชได้ไม่นาน เพราะไม่สามารถใช้การภาวนาจนสามารถเปลี่ยนผ่านความต้องการทางกามารมณ์ตามวิสัยปุถุชนจนกลายเป็นพลังแห่งเมตตา ด้วยเหตุนี้พระภิกษุจึงกราบกันที่พรรษา  เพราะกว่าจะผ่านไปได้แต่ละปีแต่ละเดือนช่างเป็นสิ่งที่ยากนัก


                ส่วนท่านใดที่สั่งสมบารมีไว้แต่ในอดีตชาติ  ท่านสามารถเจริญสติจนได้โสดาปัตติมรรคเป็นพื้นฐาน  ท่านก็จะมีดวงจิตที่มั่นคงเพราะมีพลังเมตตาที่เหนือกว่าความต้องการทางกามารมณ์  ท่านจึงไม่ต้องคอยลำบากในการกดข่มเหมือนพระภิกษุที่เป็นปุถุชนอีกต่อไป


                ท่านใดที่มีอินทรีย์บารมีสูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ท่านบรรลุความเป็นพระสกิทาคามี จิตของท่านก็ยิ่งปลอดโปร่งยิ่งขึ้น  น้อยครั้งนักจะเกิดความกำหนัดยินดีมีความต้องการ  ส่วนท่านใดมีภูมิธรรมอันประเสริฐถึงขั้นพระอนาคามีนั้น  จิตของท่านไม่มีความเป็นหญิงเป็นชาย ท่านจึงสบายและปลอดภัยเหมือนบุคลที่ยืนในน้ำตื้นเตรียมเดินขึ้นสู่ฝั่งอันเกษมต่อไป


              ถามว่าแล้วจะมีพระสักกี่รูปที่บวชเข้ามาในพระศาสนา ที่ท่านมีบารมีสั่งสมมาจนทำได้เช่นนี้? จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้มีแต่พระดีๆ  สมมุติว่าไม่มีพระอริยบุคคลเลยสักองค์ในยุคนี้ เราตายลงวันใดกลายเป็นผี  แล้วยังมีพระช่วยสวด “กุสลา ธัมมา”ก็ยังดีกว่าไม่มีเป็นแน่แท้


              ดังนั้น  จึงใคร่วิงวอนและขอร้องผู้มีความรู้ ผู้มีอำนาจ ขอจงตั้งสติหาทางแก้ปัญหาพระศาสนาอย่างแคบคาย อย่าพากันบีบคั้นพระสงฆ์กันมากนัก  อย่าพากันออกกฎหมายลงโทษพระอย่างนั้นอย่างนี้โดยที่ตนมิได้เข้ามาบวช  พระเถระก็โปรดอย่าหลงกลชาวโลกไปส่งเสริมเขาในทางที่พระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติไว้     มิฉะนั้นศาสนาพุทธก็จะกลายเป็นฮินดูหรืออิสลามไป  อันมิใช่ทางสายกลางตามที่พระพุทธองค์ทรงพาดำเนิน


                 ในยุคสมัยต่อไป จะเป็นยุคที่คนมีความรู้มีการศึกษาเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนากันมากทั้งชายและหญิง  จะไม่ใช่คนต่ำต้อยหรือบวชเพราะความยากจนแบบที่เป็นมาอีกแล้ว


                คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ จะเป็นผู้มีปัญญาไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆหรือมีศรัทธาแบบงมงาย จะเป็นผู้ที่ศึกษาจนมีความรู้ในหลักของพระพุทธศาสนามาก่อน พร้อมทั้งมีหิริโอตตัปปะ เป็นผู้มีความสามารถสูงและเป็นผู้มีความประพฤติดี   เขาจะพากันสละทางโลกออกบวชเพื่อสร้างบารมีและช่วยค้ำจุนจรรโลงดำรงพระศาสนาในยุคต่อไป


                สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้  จงพากันตั้งใจหันมาตั้งสติหมั่นบำเพ็ญภาวนาอย่าหวั่นไหว จงกล้าหาญและฟันฝ่าอุปสรรคทั้งมวลเพื่อผ่านพ้นไปให้จงได้  โดยยึดมั่นในพระศรีรัตนตรัยไว้เป็นหลักชัย  เราจะพากันผ่านปัญหาและวิกฤติทั้งปวงไปได้อย่างแน่นอน


                อย่าสาละวนกับความผิดของคนอื่นให้หัวใจของเราต้องเศร้าหมอง จงมองแสงสีทองแห่งอรุณที่ฉายฉานสว่างไสว  แล้วรวบรวมความเข้มแข็งลุกขึ้นสู้กับชีวิตต่อไป หัวใจดวงนี้จะเดินเข้าสู่ประตูแห่งชีวิตใหม่  สู่ความเป็นพระอริยบุคคลในวันหนึ่งอีกไม่ไกลในชาตินี้อย่างแน่นอน

 

                                                                                                   คุรุอตีศะ
                                                                                          ๒๖  ตุลาคม  ๒๕๕๗