ทางที่เลือกเดินแล้ว

ทางที่เลือกเดินแล้ว

 


                 เมื่อตัดสินใจเลือกแล้วว่าเส้นทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้าเราจะไปขวาหรือซ้าย ก็จงก้าวเดินต่อไปโดยมีจุดหมายที่เราเลือกและตัดสินใจคือสิ่งที่เป็นหลักชัยรออยู่เบื้องหน้า


                  การที่คนๆหนึ่งจะเลือกตัดสินใจกระทำสิ่งใดลงไป   สิ่งที่ทรงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ที่ชักนำให้เกิดความโน้มเอียงและพอใจในการเลือกทำในสิ่งนั้น ก็คือกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบันที่จะดลใจให้ตัดสินใจลงไปเช่นนั้น  นี้คือสิ่งที่เรียกว่า “กมฺมสฺสกตา” (กำ-มัด-สะ-กะ-ตา) คือความที่สัตว์ทั้งหลายล้วนมีกรรมเป็นของๆตน


                   ในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู เรียกสิ่งนี้ว่า “พรหมลิขิต” หากเป็นศาสนาคริสต์หรืออิสลามก็เรียกสิ่งนี้ว่า“พระเจ้า“หรือ“พระผู้เป็นเจ้า”แต่ตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสสอนว่า สิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่สิ่งอื่นใดภายนอก แต่คือ “กฎของธรรมชาติ” ซึ่งกำลังเป็นไป  ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่จะชินหูอยู่เสมอในคำว่า “กฎแห่งกรรม”


                  อะไรชักนำให้หญิงสาวและชายหนุ่มซึ่งต่างพ่อต่างแม่มาพบปะรู้จักกัน  ทั้งๆที่มีหญิงหรือชายในโลกนี้มากมาย  แต่ทำไมไม่ไปสนิทสนมคุ้นเคยกับคนอื่นแต่กลับมาคุ้นเคยสนิทแนบแน่นกับคนนี้  คนอื่นสวยกว่า หล่อกว่า ร่ำรวยกว่า หรือมีคุณธรรมความดีกว่า ก็มีอยู่มากมี  แต่เหตุใดจึงมามีความสัมพันธ์กับบุคคลๆนี้  สิ่งนี้แหละคือกฎแห่งกรรมชักนำให้บุคคลทั้งสองมาพบกัน


                  อะไรทำให้เราตัดสินใจแต่งงานหรือร่มหัวจมท้ายกับบุคคลนี้  ซึ่งเมื่อมองด้วยเหตุผลแล้วบางทีเขาก็มีข้อเสียตั้งหลายอย่างแต่เหตุใดเราจึงรักเขา  มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ช่างแสนขัดใจเราและก็บ่นว่าอยู่แทบทุกวันว่าเขาไม่ดี  แต่ถ้าให้บอกเลิกกันเสียตั้งแต่วันนี้  เราก็ร้องเสียงลั่นไปหลายไมล์ว่าถึงเป็นตายร้ายดียังไงฉันก็ไม่มีวันยอม


                  สิ่งที่อยู่เบื้องหลังในการตัดสินใจแต่งงานหรือไม่แต่งงาน ก็คือเราได้มีวิบากกรรมในอดีตที่ต้องเสวยร่วมกันกับบุคคลนั้นหรือไม่


                 การอกหักหรือผิดหวังแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป  บางทีคือการสะเดาะเคราะห์และหมดกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่เราไม่ต้องร่วมเสวยกับบุคคลนั้นอีกต่อไป  ที่เราแสนจะภูมิใจเมื่อชีวิตผ่านไปไปถึงจุดหนึ่งแล้วย้อนมองทบทวนความหลัง


                มีชีวิตจริงของบางคนที่ในตอนต้นอายุยังน้อย  เขาไปจีบสาวกับเพื่อนตามประสาชายหนุ่มตอนแรกก็ดูเหมือนสาวจะมีใจให้  แต่ภายหลังเธอกลับเปลี่ยนใจไปพอใจผู้ชายอีกคนที่มีคารมดีกว่า  ส่วนตัวเขาพูดไปตรงๆซื่อๆไม่รู้ชั้นเชิงเรื่องผู้หญิงแต่อย่างใด  ต่อมาผู้หญิงที่เขาหวังจะมอบใจกลับไปตกลงปลงใจกับเพื่อนรุ่นเดียวกันและเป็นภรรยาของทหารชั้นประทวน


               ความผิดหวังทำให้เขามุมานะสอบเข้าเรียนเตรียมทหาร เพราะอายุยังอยู่ในเกณฑ์สมัยนั้น  ด้วยคำของเพื่อนที่ให้กำลังใจว่า “ขอให้ทำตามความฝัน  อย่าเพิ่งสนใจความรักเลย”


              ในที่สุดเขาสอบเข้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ชีวิตของเขาได้รุ่งโรจน์เหนือเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันแทบไม่ติดฝุ่น  ขณะที่เพื่อนหลายคนมีภรรยาและมีลูกไปตามสัญชาตญาณแบบไม่ได้เตรียมใจ  แต่เขามีชีวิตใหม่สอบจบโรงเรียนนายเรืออากาศได้ที่หนึ่งของรุ่นกลายเป็นนักบิน


              เมื่อพบกับเพื่อนผู้กลายเป็นนักกฎหมายที่เคยเป็นผู้ให้กำลังใจมาก่อน  เขาโผเข้ามากอดกลางตลาดในกรุงเทพฯโดยไม่แคร์สายตาใครในยามเย็นของวันนั้น  เพื่อนถามเขาว่าตอนนี้หาผู้หญิงรักจริงได้หรือยัง  เขายิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะตอบว่ามีมากมายหลายคนแต่ตอนนี้กำลังจีบดาวจุฬาฯ และคิดว่าจะเป็นคนนี้แหละที่จะพาออกงานรับพระราชทานกระบี่


             จากชายหนุ่มที่ซื่อบื้อในสายตาของหญิงสาวและเพื่อนรุ่นเดียวกันสมัยนั้น  มาบัดนี้ไม่หลงเหลือภาพนั้นในบุคลิกของเขาอีกแล้ว  เขากลายเป็นทายทหารที่มีอำนาจในกองทัพอากาศไทย  มีหญิงสาวจากรั้วจามจุรีเป็นคู่ชีวิตเป็นขวัญใจ จากดินอันต้อยต่ำกลายเป็นดาวจรัสฟ้า


             อะไรเล่าทำให้เขาต้องกลายเป็นชายหนุ่มที่อกหักเมื่อสามสิบปีก่อน?  ก็ต้องตอบว่าเพราะอำนาจของ “กฎแห่งกรรม”ที่เขาจะไม่เป็นแค่จ่า แต่ต้องกลายเป็นนายทหารคนสำคัญในวันข้างหน้า ในขณะที่สตรีผู้นั้นกฎแห่งกรรมที่ทำไว้เธอจะต้องเป็นภรรยาของจ่าและมีชีวิตพบทั้งสุขและทุกข์อยู่ในภูมิภาคถิ่นนั้นเรื่อยไป     ในขณะที่ดวงชะตาของบุรุษผู้นั้นเขาจะต้องมาเป็นใหญ่และได้ครองคู่กับสตรีที่วิบากกรรมในด้านดีเตรียมไว้ให้และเจริญรุ่งเรืองในเมืองกรุง


               เราทุกคนล้วนมีวิบากกรรมที่สร้างไว้คนละอย่าง  จงอย่าน้อยใจในโชคชะตาหากวันนี้ยังต้อยต่ำหรือผิดหวัง  สุขหรือทุกข์ผ่านเข้ามาจงเข้มแข็งและปลุกใจให้มีพลัง   หากไม่มีทางเลี่ยงอีกแล้วก็จงยอมให้วันนี้เป็นวันที่ผิดหวัง เพื่อเก็บสะสมพลังสำหรับความสมหวังและความรุ่งเรืองในช่วงของชีวิตถัดจากนี้ไป


                จงก้าวไปบนเส้นทางที่เลือกแล้ว  แม้บางครั้งอาจต้องทนต่อขวากหนามและความเจ็บปวดจากผลกระทบที่ตามมาอันเป็นธรรมดาของเส้นทางชีวิต แต่เมื่อเดินไปสักระยะหนึ่งจะมองเห็นเป้าหมายอยู่ข้างหน้าให้ชื่นใจ  แล้วชีวิตจะพบกับหลักชัยในวันหนึ่งอย่างแน่นอน


                แม้ในทางธรรมก็เช่นกัน ในสถานที่บางแห่งต้องเริ่มต้นด้วยความทุกข์ยากดุจการปลูกต้นไม้บนภูเขาหิน  ตั้งสำนักขึ้นมาท่ามกลางอุปสรรคและมรสุมรอบด้าน  พระผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองท่านบอกว่าวัดมีมากแล้วไม่ต้องสร้างอะไรอีก เพราะการสร้างวัดจะต้องมีมวลชนชาวบ้านคอยอุดหนุนเดี๋ยวจะเกิดการแตกแยก  ท่านจึงใช้วิธีอยู่อย่างเงียบๆมีพิธีกีรรมแบบวัดบ้านให้น้อยที่สุด เมื่อมีคนมาหาก็สอนธรรมะและอบรมให้กำลังใจแก่ผู้คนที่เคารพศรัทธาทีละคนสองคนไปตามแต่สติปัญญาและบารมีของตนจะทำได้ ชาวบ้านเขาก็ไปวัดที่เขาเคยไป  แต่เขาก็ใส่บาตรให้และให้ความนับถือตามสมควร


                 เมื่อเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่ไม่ต้องตั้งเป็นวัดตามรูปแบบที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ก็ต้องมีใจมั่นคงหากกลางพรรษาหรือวันใดที่คนไม่มาวัดและอดข้าว  เมื่อไม่ได้เป็นวัดของชาวบ้านเหมือนที่ผู้คนคุ้นเคยโดยทั่วไป สถานที่แห่งนั้นก็กลายเป็นองค์กรสาธารณกุศลในยุคใหม่ ที่คอยให้กำลังใจซับน้ำตาให้แก่ผู้คนที่มาหาและมุ่งจรรโลงรักษาพระพุทธศาสนาไปตามฐานะอันพึงกระทำ

 

                  ในขณะที่วัดทั่วไปเขามีกฐินผ้าป่าอึกทึกครึกโครม เพื่อสร้างโบสถ์ศาลาที่ชาวบ้านเขาชอบและสนุกสนานเบิกบานใจ  ท่านก็ต้องนั่งภาวนาดูลมหายใจพร้อมกับมองดูงูใหญ่เลื้อยผ่านไปตรงหน้า นั่งอยู่ในป่ารูปเดียว


                 นั่นคือวิถีแห่งการเดินบนเส้นทางที่เลือกแล้ว  จึงต้องพยายามพึ่งตัวเองให้ได้และต้องเจียมตัวเจียมใจแม้ใครจะไม่เข้าใจหรือนินทาว่าร้าย  เมื่อตัวเองต้องการทำตามปณิธานที่มั่นใจว่าเป็นสิ่งดีงาม ก็ต้องยอมสูญเสียบางสิ่งบางอย่างหรือปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไป   เพราะนี้คือกฎเกณฑ์ความเป็นธรรมดาในการเริ่มต้นบุกเบิกในบางสิ่งอันเป็นของใหม่ ในขณะที่บารมีและความเคารพศรัทธาของผู้คนต่อสถานที่แห่งนั้นยังมีน้อย


                 ในที่สุดเมื่อวันเวลาผ่านไปตามกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง จากท้องฟ้าอันมืดมนได้เริ่มมีแสงสว่างที่สดใส  ก่อนที่พระผู้ใหญ่ท่านจะมรณภาพล่วงลับไป  ท่านได้เมตตากล่าวถึงสถานที่แห่งนั้นและบอกกับลูกศิษย์คนใกล้ชิดว่า “ต่อไปภายหน้าผู้คนจะพากันไปที่นั่น  ที่แห่งนั้นจะเจริญรุ่งเรืองและเป็นที่พึ่งทางจิตใจของผู้คนต่อไป” นี้คือตัวอย่างของคุณธรรมและน้ำใจอันกว้างขวางของพระมหาเถระผู้ใหญ่ ที่มีพรหมวิหารสมกับเป็นนักปกครอง


                ขอให้ท่านทั้งหลายจงก้าวเดินไปบนเส้นทางที่เลือกแล้ว  อย่าหวั่นไหวหากต้องเผชิญกับอุปสรรคและขวากหนาม  จงหนักแน่นและมั่นคงยามมรสุมของชีวิตที่พัดผ่านในบางครั้ง


               จงยืดอกเชิดหน้าและเดินไปอย่างทรงพลัง  จงเคารพในการตัดสินใจของตัวเอง พร้อมจะรับผิดชอบในการเลือกและการตัดสินใจของตนอย่างมีสติและสงบ

 
               จงเคารพในกฎแห่งกรรมทั้งของตัวเราและของบุคคลอื่น  จงมีศรัทธาเชื่อมั่นในกรรมดี  จงมั่นคงในพระรัตนตรัยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อันร้ายแรงเพียงใด


               หนทางที่เราเลือกแล้วและกำลังก้าวเดินไป  จะเต็มเปี่ยมด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ   ชีวิตจะก้าวสู่หลักชัย โดยไม่มีวันต้องนึกเสียใจในภายหลังแม้แต่นิดเดียว

  

                                                                                                              คุรุอตีศะ
                                                                                                      ๒๒  ตุลาคม  ๒๕๕๗