ชีวิตนี้ไม่มีการเกษียณ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ชีวิตนี้ไม่มีการเกษียณ
วันที่ ๓๐ กันยายนของทุกปี ชีวิตของคนอีกหลายคน คือวันแห่งการเปลี่ยนแปลงในชีวิตอันใหญ่หลวง สำหรับบางคนวันนี้คงรู้สึกใจหาย ที่วันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิตการทำงาน หลังจากที่ใช้ชีวิตรับราชการหรือหน่วยงานองค์กรมาเป็นเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่วัยหนุ่มวัยสาวจบการศึกษาออกมาใหม่ๆ จนบัดนี้วันเวลาและวัยได้ล่วงไป ชีวิตนี้ก็ยังคงมีลมหายใจและอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงวันเกษียณอายุ
ขอให้ผู้ที่มีวันนี้คือวันสุดท้ายสำหรับการทำงาน จงอย่ายึดติดกับตำแหน่งหน้าที่ทางราชการหรือหน่วยงานนั้นๆต่อไปอีก จงคิดย้อนไปเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน ตัวเรานั้นดั้งเดิมก็ไม่เคยมีอนาคตอะไร มีปริญญาบัตรเพียงหนึ่งใบแล้วเพียรสอบเข้ารับราชการ หวังเพียงแค่ว่าขอให้ได้เข้าทำงานมีอาชีพเลี้ยงตัวเองก็ภูมิใจที่สุดแล้ว
จากเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ไม่เคยรู้ชะตากรรมในภายหน้าและไม่เคยรู้อนาคต ในขณะที่คนรุ่นเดียวกันหรือเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคน บัดนี้เขาเหล่านั้นต่างหามีชีวิตไม่แล้ว ส่วนตัวเรานั้นต้องถือว่าแสนโชคดี ที่ยังมีชีวิตอยู่และมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมาได้จนถึงเพียงนี้
เราไม่มีสิ่งใดจะต้องน้อยใจหรือเสียใจอะไร เพราะเรายังคงเหลือสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งใด คือยังมีลมหายใจเพื่อทำประโยชน์ต่อโลกใบนี้และสร้างสรรค์คุณงามความดีได้ต่อไปอีก
อย่าเอาชีวิตและจิตใจอันแสนมีค่า ไปผูกไว้กับเพียงความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งและอาชีพการงานว่าคือชีวิตของเราทั้งหมด สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงข้อกำหนดให้เราได้รับการยอมรับในสังคมและได้มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตนและครอบครัวเท่านั้น
การเกษียณอายุราชการเป็นเพียงกฎเกณฑ์ของสังคมหนึ่งๆหรือยุคสมัยหนึ่งๆ ซึ่งเป็นค่านิยมและยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในยุคสมัยปัจจุบัน เพื่อให้คนที่ตามเรามาภายหลังนั้น จะได้มีโอกาสก้าวหน้าและได้มีเกียรติมีตำแหน่งมีความภาคูมิใจ เช่นเดียวกับที่ตัวเราเคยได้เสวยผลแห่งความภาคภูมิใจ ที่ได้มีเกียรติและมีความก้าวหน้าตลอดมานั้นเอง
จงถือโอกาสเอาช่วงเวลานับจากนี้ที่ไม่ต้องมีภาระอีกแล้ว เป็นเวลาสำหรับค้นหาดวงแก้วอันประเสริฐคือการได้มีเวลาและมีความอิสระในการเข้าถึงพระรัตนตรัยให้มากขึ้น
เช้าวันที่ ๑ ตุลาคม แทนที่จะเหม่อลอยเผลอไปหยิบชุดทำงานเหมือนทุกวัน จงเปลี่ยนเป็นตื่นแต่เช้ามืด ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเข้าห้องพระ สวดอิติปิโสสัก ๙ ครั้งแล้วนั่งสมาธิดูลมหายใจสัก ๑๐ นาที
หลังจากนั้นก็จับไม้กวาดบริหารปลายประสาทให้จิตใจเกิดความแช่มชื่น อาจจัดห้อง จัดหนังสือ จัดฮวงจุ๊ยของบ้านใหม่ ให้เหงื่อซึมสักหน่อย พอทานข้าวเช้าแล้ว ก็ลองค้นหาหนังสือบางเล่มที่เคยอยากจะอ่านแต่ไม่มีเวลาอ่านเลยที่มันตั้งตารอคอย พอบ่ายคล้อยอาจชวนคู่ทุกข์คู่ยากที่ยังอุตส่าห์ทนทายาดอยู่ด้วยกันมาได้ ขับรถชมวิวแล้วหัวเราะเบาๆในยามเย็น
อย่าไปอาลัยอาวรณ์หรือนั่งเศร้าโหยหาวันเวลาในอดีต บางทีอาจจะพบชีวิตที่มีความสุขและแสนดีเอาตอนเกษียณอายุนี้ก็ได้ อดีตผ่านไปแล้วก็จงปล่อยให้มันผ่านเลยไป เราจะได้มีความสุขกับชีวิตใหม่ ที่มีความอิสระ ได้อยู่กับความจริงที่ไม่ต้องสวมหน้ากากมารยาและมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างปลอดโปร่งหัวใจเสียที
อย่าเอาชีวิตอันมีค่าไปสรุปลงแค่วัยหกสิบ นั่นเป็นเพียงการรับราชการหรือการทำงานในตำแหน่งอันเป็นของสมมุติเท่านั้น เป็นโอกาสอย่างดีเยี่ยมอันหาไม่ได้แล้วที่เราจะได้มีโอกาสเข้าวัดฟังธรรม เป็นวาสนาที่เราจะมีโอกาสศึกษาพระสัจธรรม น้อมใจสู่พลังความสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ แห่งบารมีของพระพุทธองค์และเหล่าพระอริยสงฆ์ทั้งปวง
สำหรับบางท่านถ้าสามารถทำได้ เราไม่จำเป็นต้องแสวงหาตำแหน่งหน้าที่การงานใดทำ เพราะกลัวตัวเองจะไม่มีค่าหรือกลัวความเหงาในระหว่างนี้ แต่ให้เก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆมุ่งบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาจนกว่าจะพ้นสามปี เมื่อถึงเวลาหนึ่งบุญบารมีจะเกิดแล้วอาจมีคนเชิญไปรับตำแหน่งอันเหมาะสมโดยไม่ต้องดิ้นรนแต่อย่างใดก็ได้ ทางที่ดีช่วงเวลานี้ควรอยู่อย่างอิสระปลอดโปร่งสบายใจ ให้มีเวลาพักกายพักใจอย่างเต็มที่ หลังจากชีวิตตรากตรำมาช้านาน
ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ มีหน้ามีตา มีค่าในสายตาของวงสังคมมามากแล้ว ต่อไปนี้จงหัดเรียนรู้ “วิชาอยู่เหมือนคนไร้ค่าแต่สูงค่า”ดูบ้างเ พื่อพบเคล็ดลับในการใช้ชีวิตที่ผาสุกและร่มเย็น
วิชาการต่อสู้แข่งขันกับคนอื่นเพื่อความสำเร็จและความก้าวหน้า ไปตามความอยากได้อยากมีอยากเป็นและแรงทะเยอทะยาน เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญมามากแล้วในทุกด้านรับรองไม่มีน้อยหน้าใคร ต่อไปนี้ลองหันมาฝึกใจในเส้นทางของพระอริยเจ้าอันเป็นความสงบสุขร่มเย็นภายใน อันเป็นรางวัลชีวิตที่ยิ่งใหญ่ เป็นวิชาอันสูงสุดของพระพุทธเจ้า
ขอให้ผู้ที่เกษียณอายุราชการในวันนี้ จงเกษียณแต่อายุราชการหรือหน่วยงานที่เคยทำอยู่เท่านั้น แต่สำหรับสัจธรรมความจริง ชีวิตนี้ของเราไม่มีวันเกษียณอายุแต่อย่างใด ชีวิตของเรายังคงต้องดำเนินต่อไป เพื่อการประพฤติธรรมและสร้างสรรค์ประโยชน์บุญกุศลคุณความดี
เอาวันเวลาของชีวิตเราที่เหลืออยู่นี้ บำเพ็ญบุญกุศลและคุณงามความดีต่อไปขออย่าได้ท้อแท้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนอายุครบหกสิบเราจะเห็นว่าชีวิตของมนุษย์และโลกใบนี้ช่างเต็มไปด้วยความยอกย้อนและผันแปร สิ่งใดที่เคยว่าแน่ก็ไม่แน่ บางสิ่งที่เคยคิดยึดมั่นว่าเป็นความจริงเที่ยงแท้ มาถึงเวลาหนึ่งกลับกลายเป็นสิ่งไม่แท้ นี่แหละคือความเป็นอนิจจัง
วันเกษียณอายุ แท้จริงแล้วหาใช่วันแห่งความหงอยเหงาซึมเศร้า แต่คือวันอันยิ่งใหญ่ของเรา ที่ชีวิตจะได้ปล่อยวางภาระและเป็นอิสระต่างหาก
การเกษียณอายุก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ต้องเป็นไปตามสมมุติ ตามกฎเกณฑ์ที่สังคมหรือกฎหมายกำหนดไว้ แต่ชีวิตอันแท้จริงและหัวใจของเรา ยังคงดำรงอยู่และสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีคุณค่า ไม่มีการจำกัดด้วยอายุหรือกาลเวลา อย่างอิสระและเบิกบานอยู่ภายในไปแต่ละวัน
มีสติระลึกรู้กายและใจในขณะนี้ไปแต่ละขณะ พร้อมกับตระหนักในสัจธรรมความเป็นจริงไว้เสมอว่า ชีวิตคือความเป็นทั้งหมดของทุกสรรพสิ่ง ที่มีแต่ความสอดคล้องลื่นไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ชีวิตนี้ไม่มีการเกษียณอายุใดๆ อยู่เหนือการกำหนดหมายของมนุษย์ เป็นธรรมชาติแห่งความรู้ตื่นเบิกบานอันจริงแท้บริสุทธิ์ และเหนือการสมมุติใดๆตลอดมา
คุรุอตีศะ
๓๐ กันยายน ๒๕๕๗