ผืนโลกคู่กับท้องฟ้า

 ผืนโลกคู่กับท้องฟ้า

 


                 โลกในสมัยปัจจุบันมีความทุกข์ทรมาน เพราะมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากเกินไป เรามักไปตัดสินคนที่เขามีศรัทธาในบางสิ่งบางอย่าง อันเป็นที่พึ่งทางจิตใจของเขาว่างมงายหรือดูหมิ่นดูแคลนหัวเราะเยาะว่าเป็นความโง่เขลา


                ในขณะที่ตัวเราเองอาจเป็นคนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความรู้สึกที่อ้างว้างไร้ความหมาย เต็มไปด้วยความน่าเบื่อหน่าย ส่วนคนที่เรามองว่าเขาต่ำต้อยดูช่างโง่เขลางมงาย เขากลับมีชีวิตในแต่ละวันด้วยความเบิกบานใจและมีความวิตกกังวลน้อยกว่าเรามากนัก


               คุณยายที่นั่งพับเพียบกับพื้นถนนเพื่อรอใส่บาตรพระในยามเช้า ใบหน้าของคุณยายมีรอยยิ้มและมีความสุขกว่าเราที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีหลายเท่า ในขณะที่คนถ่ายคลิปด้วยจิตอกุศลเพื่อนำไปประจานในสื่อต่างๆ ไม่ได้มีจิตเบิกบานและอาจมีความนึกอิจฉาริษยาพระที่ออกบิณฑบาตแล้วมีคนเคารพกราบไหว้ จิตใจเต็มไปด้วยอกุศลไม่ได้มีความสุขแต่อย่างใด


                แต่คุณยายที่กำลังนั่งคลุกฝุ่นอยู่ริมถนนกลับยิ้มได้สบายใจที่ได้ใส่บาตรสมใจ และคุณยายก็ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือใส่ใจว่าพระที่มารับบาตรจากคุณยายนั่งรถหรูสี่ประตูแต่อย่างใด คุณยายมีแต่ปลื้มใจและดีใจว่า "วันนี้เราได้บริจาคทานสมดั่งใจและได้อุปถัมภ์ค้ำจุนพระศาสนาตามกำลังศรัทธาของเราอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว" แล้วคุณยายก็นั่งนอนสบายใจไปทั้งวัน


               ศรัทธาคือความอบอุ่นใจ นับเป็นอริยทรัพย์สำคัญที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้เป็นข้อแรกในบรรดาอริยทรัพย์ ๗ ประการ พระพุทธองค์ตรัสตักเตือนพวกเราไว้ว่า บุคคลใดมีแต่ปัญญาแต่ขาดศรัทธา จะมีหัวใจที่แห้งแล้งและกลายเป็นคนอวดดีและมักทะนงตัว มักเอาตัวเองเป็นมาตรฐาน ขาดความเคารพผู้อื่นและชอบจับผิดคนอื่นจนหัวใจขาดความสุข


               ส่วนบุคคลที่มีศรัทธาอย่างเดียวแต่ขาดปัญญา จะทำให้กลายเป็นคนงมงายและถูกหลอกลวงชักจูงไปในทางเสียหายได้ง่าย ดังนั้น ศรัทธากับปัญญาจึงต้องมีอย่างสมดุลพอดีกัน จึงจะสำเร็จประโยชน์และทำให้ชีวิตของเรามีความสุขและมีความอบอุ่นเบิกบานใจ


                   มีความเป็นวิทยาศาสตร์หรือทันสมัยมากเกินไป จะทำให้หัวใจแข็งกระด้าง ขาดความอ่อนโยนนิ่มนวล มองมนุษย์ด้วยกันไม่เป็นมนุษย์ จะมุ่งถือเอาผลประโยชน์เป็นใหญ่


                   มีความงมงายในสิ่งลี้ลับ คลั่งไคล้ในศาสนาหรือพิธีกรรมต่างๆมากเกินไป จะทำให้เป็นคนงมงายขาดสติปัญญา สูญเสียสติสัมปชัญญะ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและถูกครอบงำจากผู้ไม่หวังดี จนสูญเสียอิสรภาพขาดความเป็นตัวของตัวเอง งมงายเกินไปก็ให้โทษเช่นนี้


                  ใช้ประโยชน์จากความเจริญทางวัตถุด้วยความมีสติแต่พอดี ในขณะเดียวกันก็มีหัวใจที่อบอุ่นด้วยศรัทธาความเลื่อมใสอันประกอบด้วยปัญญาความเข้าใจในสิ่งนั้น มีทั้งศรัทธาและปัญญาอยู่ในตัว นั่นคือ "พุทธะ" คือความรู้ ตื่น เบิกบาน ตัวพุทธศาสนาที่แท้จริงจึงไม่ใช่ความงมงาย แต่คือศาสนาแห่งความรู้ตื่นเบิกบาน


                  ศาสนาที่นำพาดวงจิตสู่ความอิสระเบิกบานเปรียบดังท้องฟ้า วิทยาศาสตร์หรือความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีอันเกิดขึ้นจากสติปัญญาของมนุษย์ เปรียบดังผืนโลกที่รองรับทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตตามความเป็นจริงและเป็นสถานที่ที่พวกเราได้พึ่งพิงอาศัยอยู่


                  ผู้ที่อยู่ในวิถีทางโลกหรือวัตถุนิยมมากเกินไป มักจะเลือกฟังเสียงของความต้องการทางร่างกายและทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินความเป็นจริงจากเสียงแห่งจิตสำนึกภายใน ผลที่สุดก็คือท่ามกลางสังคมที่เจริญทางวัตถุและร่ำรวยไปด้วยสิ่งต่างๆ มนุษย์กลับเป็นผู้น่าสงสารอ้างว้างไร้ชีวิตชีวา ไร้จิตวิญญาณและหลงทางจนถึงกับไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน และรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญหรือเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติไปเสียแล้ว


               หากสติหรือความตระหนักรู้ ไม่ได้มีการพัฒนาเติบโตควบคู่ไปกับความเจริญทางวัตถุ ร่างกายของเราก็จะอ่อนล้าหรือเจ็บป่วย หัวใจของเราก็จะอ่อนแอขาดกำลังใจ เพราะเราจะถูกครอบงำทับถมด้วยสิ่งประดิษฐ์และสิ่งที่ถูกค้นพบมากมาย แต่สติปัญญาของเราจะรับมันไม่ไหว แทนที่สิ่งเหล่านั้นจะสร้างชีวิตที่งดงามเบิกบานใจ กลับทำให้ชีวิตของเราตายด้านคล้ายหุ่นยนต์ไร้ชีวิตจิตใจ อันเป็นชีวิตที่พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้สึกว่านั่นคือชีวิตที่ไร้ค่าและไร้ความสุข


               วิถีแห่งจิตเดิมแท้ จึงไม่ใช่การนับถือศาสนาแบบคลั่งไคล้งมงาย และไม่ใช่การปฏิเสธความเจริญทางวิทยาศาสตร์ออกไป แล้วอยู่แต่กับการนั่งสมาธิแบบฤาษีชีไพร


               ต้นไม้จำเป็นต้องมีรากเพื่อหยั่งลึกลงในผืนดินฉันใด มนุษย์ก็ต้องการความเจริญทางวัตถุตามความจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตตามความเป็นจริงฉันนั้น


              ต้นไม้ต้องการท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เพื่อที่จะเจริญเติบโตขึ้นไปและผลิดอกออกใบให้ผลอย่างมากมาย มนุษย์ก็ต้องการศาสนาหรือที่พึ่งทางจิตใจ อันจะทำให้จิตวิญญาณภายในเจริญงอกงามและกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์


             ขอให้คนเราสมัยนี้ อย่ามีความเป็นวิทยาศาสตร์และกลัวจะเป็นคนงมงายมากเกินไป จนแพ้คุณยายผู้ไม่หวั่นไหวในศรัทธาที่หยั่งรากลงลึกในพระศาสนาแล้วตั้งแต่ยังอยู่ในวัยสาว


             อย่าปล่อยให้หัวใจของเราไร้ศรัทธา จนเกิดความอ้างว้างและมีชีวิตไปวันๆเหมือนไร้อนาคตและไร้ความหมาย อย่าเอาความมีเกียรติ มียศตำแหน่ง หรือความร่ำรวยในทางโลก ไปยกตัวอยู่เหนือผู้ที่เขามีใจอบอุ่นด้วยศรัทธาในศาสนาเป็นอันขาด


             อย่ารุกรานดูหมิ่นคนมีศรัทธาในศาสนามากเกินไป อย่าพยายามกดเขาลงไปว่าเป็นคนโง่เขลางมงาย เพื่อให้ตัวเราดูประเสริฐสูงส่งกว่า


             อย่าไปถึงขั้นต้องลงทุนสร้างภาพยนตร์ ด้วยการอธิบายวิธีทางวิทยาศาสตร์มากเกินไป เพื่อหวังทำลายศรัทธาหรือความเชื่อของคนอีสานเรื่องบั้งไฟพญานาค อย่าไปคิดว่าคนบ้านนอกหรือคุณยายนั่งกับพื้นฟังธรรมจะโง่กว่าเราเสมอไป บางเรื่องนักวิชาการหรือผู้มีการศึกษาทั้งหลายอาจขาดคุณสมบัติและสู้คุณยายบ้านนอกไม่ได้


             มนุษย์สมัยใหม่ท่านจึงไม่ให้ลบล้างความเชื่อของชาวบ้าน และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอันเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ในเมื่อเขายังไม่เข้าใจตัวสติแห่งพุทธะและศรัทธาในพระรัตนตรัยได้อย่างมั่นคง


             ผืนโลกย่อมคู่กับท้องฟ้า มิเคยว่าต้องเลือกเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อมีความเจริญทางวิทยาศาสตร์ทางเทคโนโลยีมีความสะดวกสบายทางร่างกาย ก็ต้องมีที่พึ่งทางจิตใจคือศาสนาเพื่อบำรุงศรัทธาให้ตั้งมั่นอบอุ่น ชีวิตนี้จึงจะได้ชื่อว่ามีความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์


             มีความเป็นวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีศรัทธาในพระศาสนา หัวใจจึงจะมีความร่มเย็นและอบอุ่น ซึ่งพระพุทธศาสนามีความสมบูรณ์พร้อมด้วยเหตุและผล ที่จะให้บุคคลผู้มีสติปัญญาและเป็นคนสมัยใหม่ทำการพิสูจน์คำสอนด้วยการปฏิบัติอยู่เสมอ


             คุณยายผู้นั่งพับเพียบกับพื้นรอใส่บาตรโดยไม่แคร์ต่อสายตาของผู้ใด คือสัญลักษณ์ตัวแทนแห่งศรัทธาอันมั่นคงไม่หวั่นไหว ความเคารพอ่อนน้อมต่อพระรัตนตรัยและเคารพต่อผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยพระอรหันต์ของคุณยาย บางทีแม้แต่พระที่ออกรับอาหารบิณฑบาตจากคุณยาย อาจมีความซาบซึ้งในพระรัตนตรัยได้ไม่ถึงครึ่งของคุณยายด้วยซ้ำ


             ศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระศาสนาแบบคุณยาย นับวันแต่จะลบเลือนหายไปจากสังคมไทย ดังนั้น ประเทศไทยที่เคยมีสมญานามว่า "สยามเมืองยิ้ม" จึงเริ่มค่อยๆหายไป เพราะหัวใจของผู้คนในสังคมไม่ได้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาและมีใจบุญแบบคุณยายอีกแล้ว


              ภาพอันงดงามซาบซึ้งแบบนี้นับวันแต่จะหายไปจากสังคมไทย อยากบอกว่าภาพเช่นนี้แหละ ที่ทำให้ครูบาอาจารย์หลายรูปสมัยยังเป็นพระหนุ่มเดินจาริกธุดงค์เกิดกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติและซาบซึ้งมั่นคงต่อพระศาสนามาได้จนทุกวันนี้


             ภาพแห่งความเคารพอ่อนน้อมที่ได้พบขณะออกเดินบิณฑบาต เมื่อสมัยยี่สิบปีก่อน นอกจากได้อาหารพอได้ยาท้องคลายความหิวไปแต่ละวัน ยังเกิดความกตัญญูต่อพระพุทธองค์และเหล่าอริยสงฆ์ เกิดความซาบซึ้งสำนึกคุณต่อญาติโยมและคุณยายจำนวนมากมายที่ได้พบกันเพียงวันเดียวในตอนเช้าของวันนั้น แล้วก็ไม่ได้พบกันและรู้จักกันอีกเลยตราบจนทุกวันนี้


             ผู้เคยมีชีวิตอยู่ในทางโลกและมีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก่อน จึงได้เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์มีชีวิตในพระศาสนา จึงจะสามารถสื่อความรู้สึกนึกคิดแทนคุณยายว่าเหตุใดจึงนั่งพับเพียบข้างถนนเพื่อรอใส่บาตรได้ ซึ่งท่านเหล่านั้นไม่สามารถมานั่งอธิบายให้เราเข้าใจความรู้สึกของท่าน เพราะมีช่องว่างทางความคิดและช่องว่างแห่งความเลื่อมใสศรัทธาห่างไกลกัน


            คุณยายผู้นั่งกับพื้นรอใส่บาตรด้วยศรัทธาอันมั่นคง ใจมีความสุขอยู่ทุกวันและมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป แต่คนที่ถ่ายคลิปด้วยจิตอันเป็นอกุศลออกไป หากไม่กลับใจขอขมาพระรัตนตรัย ชีวิตนี้อาจจะต้องตกต่ำลงไปและครอบครัวจะล่มสลายเมื่อวิบากกรรมมาถึงในวันหนึ่ง จึงควรพึงระวังอย่างยิ่งต่อความละเอียดอ่อนของศรัทธาทางศาสนา


            ต้นไม้ต้องมีรากหยั่งลึกลงไปในดิน และในขณะเดียวกัน ต้นไม้ก็ต้องการเจริญเติบโตผลิใบและชูดอกขึ้นไปในท้องฟ้า


            มนุษย์ต้องการวิทยาศาสตร์ เพื่อความสะดวกสบายทางร่างกายและชีวิตความเป็นอยู่ แต่มนุษย์ก็ต้องการความสุขและที่พึ่งทางใจเพื่อความงอกงามทางจิตวิญญาณอันได้แก่ศาสนา


             หากชีวิตมีแต่วิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว ชีวิตก็จะแห้งแล้ง ขาดความอบอุ่นและไร้ความสุขทางจิตใจ ดุจเดียวกับต้นไม้ที่มีแต่ราก แต่ไม่มีการผลิใบหรือผลิดอกออกผลเจริญเติบโตขึ้นไป ต้นไม้นั้นก็ไม่มีคุณค่าอันใดและย่อมเหมือนกับตอไม้ มิใช่ต้นไม้ที่มีดอกใบมีชีวิตชีวา


             เมื่อมีความฉลาดทางสติปัญญา จงอย่าลืมมีศรัทธาเพื่อความอบอุ่นของชีวิต จนกว่าจะมีการพัฒนาของสติปัญญาแบบวิทยาศาสตร์แบบทางโลก จนก้าวขึ้นสู่สติปัญญาแบบของพระอริยเจ้าได้


              เมื่อถึงขั้นนั้น ปัญญาแห่งความเป็นพุทธะย่อมไร้ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนาอีกต่อไป เป็นปัญญาที่มองเห็นผืนโลกเป็นหนึ่งเดียวคู่กับท้องฟ้า ซึ่งมีความสอดคล้องกลมกลืนและงดงามอยู่ในตัว


              ผืนโลกย่อมอยู่คู่กับท้องฟ้า มีความเจริญในทางวิทยาศาสตร์ ก็ต้องมีศรัทธาในศาสนาเพื่อเจริญสติภาวนา มีปัญญาเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จำต้องมีความเลื่อมใสศรัทธากำกับ ชีวิตนี้จึงจะอยู่ในอาณาจักรแห่งความรักความเมตตาและมีความอบอุ่น


              ต้นไม้ต้นนี้จึงจะหยั่งรากลึกและเจริญเติบโตขึ้นไปสู่ท้องฟ้า นั่นแหละคือวิถีแห่งความถึงพร้อมด้วยศรัทธาและปัญญา อันจะนำพาชีวิตของเราไปสู่ภาวะแห่งความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

 

                                                                                      คุรุอตีศะ
                                                                              ๒๘ กันยายน ๒๕๕๗