ช่วงหนึ่งของชีวิต

ช่วงหนึ่งของชีวิต

 


                 ความชุ่มฉ่ำเขียวขจี  ย่อมมีอยู่ก็แต่เฉพาะในช่วงฤดูฝนเท่านั้น  เวลาหลังจากนั้นนับเป็นเวลาอันยาวนานข้ามปี ที่ไม่อาจพบกับบรรยากาศที่ชุ่มฉ่ำสดชื่นเขียวขจีอย่างนี้ได้อีก


               ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน  เป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นที่เราจะมีโอกาสพบสิ่งดีๆและมีคุณค่าต่อชีวิตอย่างมาก  หากพลาดโอกาสแห่งช่วงเวลานั้นไปแล้ว  วันเวลาและโอกาสก็ไม่อาจย้อนหวนคืนได้อีก  บางช่วงของชีวิตจึงมีผลอันยิ่งใหญ่ต่ออนาคตและตลอดชีวิตของทุกคน


               ในช่วงวัยรุ่นหนุ่มสาว  บางคนอาจเลือกเอาชีวิตที่มีแต่ความสนุกสนานทำอะไรตามอารมณ์ตามใจ ไม่ต้องการรับผิดชอบต่อชีวิตของใครหรือยอมรับเอาภาระอันใด  มีความสุขเพลิดเพลินไปกับสังคมเพื่อนฝูงและมีคนรัก เต็มไปด้วยความรื่นเริงเบิกบานใจ  พอถึงวัยสี่สิบขึ้นไป  ชีวิตก็จะสอนความมีระเบียบวินัยและความรับผิดชอบหรือภาระอันหนักหน่วงให้ แม้จะพยายามหลีกหนีให้ไกลหรือผลักไสเพียงใดก็ตาม


               ในช่วงวัยอันสดใสนั้น  บางคนถูกพ่อแม่บังคับให้เรียนหนังสือหรือทำงานเพื่อให้มีรายได้มาเลี้ยงครอบครัวค้ำจุนพ่อแม่พี่น้อง  ตัวเองแม้อยากมีความอิสระเที่ยวเตร่มีความรักเหมือนอย่างคนอื่นแต่ก็ทำไม่ได้  ชีวิตได้รับการฝึกฝนให้รู้จักอดทนและความมีระเบียบวินัย เรียนรู้ที่จะไม่ทำอะไรตามใจตามอารมณ์ตั้งแต่อายุยังน้อย แม้จะต้องร้องไห้ด้วยความน้อยใจอยู่บ่อยครั้ง


             ช่วงหนึ่งในชีวิตของบุคคลนั้น  คือการฝึกฝน “วิชาการใช้ชีวิต”ที่สำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันของชีวิตไว้แต่ต้น  หลังจากนั้นแม้จะผ่านอุปสรรคและปัญหามากมายเพียงใด บุคคลนั้นก็จะมีจิตใจที่หนักแน่นและมีความอดทน  พอเข้าถึงวัยสี่สิบไปแล้วเขาจะกลายเป็นคนที่เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้และพบกับความสำเร็จในชีวิตในทุกด้านไม่ว่าปรารถนาจะทำในสิ่งใด


              ช่วงชีวิตหนึ่งของคนจึงสำคัญยิ่งนัก  คนแรกแม้จะจบปริญญาแต่ยังไม่ได้เข้าเรียนใน “มหาลัยชีวิต” หลังจากอายุสามสิบไปแล้ว ชีวิตจึงมักเจอแต่อุปสรรคและติดขัดพบแต่ความยุ่งยาก เพราะไม่ยอมลงให้แก่ใคร ขาดวินัยและขาดการเคารพผู้อื่น จึงมักมีปัญหาชีวิตอยู่เสมอ


             คนหลังแม้อาจไม่มีโอกาสเรียนหนังสือหรือมีปริญญา  แต่ว่าเขาหรือเธอคือคนหนึ่งที่ได้รับการศึกษาและได้รับการฝึกฝนอบรมจนสำเร็จมหาวิทยาลัยชีวิตมาแล้ว เขาผ่านการหล่อหลอมเคี่ยวกรำจากความทุกข์ยากและปัญหาสารพัน ผ่านการอดทนอดกลั้นมาอย่างดี

 

            เขาหรือเธอบางคนอาจไม่มีปริญญาบัตรดูด้อยศักดิ์ศรี แต่เขามีในสิ่งที่หลายคนไม่มีนั้นคือปริญญาชีวิตที่ติดตัวเขาตลอดเวลา  ชีวิตของเขาจึงกลายเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและเป็นที่พึ่งให้แก่สังคมและคนอื่น  เราควรคารวะต่อมนุษย์ชนิดนี้ในสังคม   เคารพในความอดทนและทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยากยิ่งของเขาและเธอ


            ช่วงหนึ่งในวัยสาวของสตรีผู้หนึ่งเมื่อสี่สิบปีก่อน  หลังจากรับปริญญา เธอหนีความสับสนวุ่นวายทางการเมืองขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่วัดเล็กๆแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ  อาศัยบารมีหลวงปู่อายุเจ็ดสิบเศษแล้วมีพระอยู่ด้วยเพียงสองรูปและสามเณรหนึ่งรูปเท่านั้น  แต่เธอซึ่งเป็นคนมีถิ่นกำเนิดแถวเจริญกรุงในกรุงเทพแท้ๆ ไปอาศัยในกระต๊อบเล็กๆอยู่ได้อย่างผาสุกตลอดหนึ่งพรรษา


            ต่อมาเธอได้ทำงานที่เกี่ยวกับองค์การสหประชาชาติ  ได้พบรักกับชาวต่างชาติและแต่งงานไปใช้ชีวิตในต่างแดน  ในสายตาของชาวไทยดูเป็นสิ่งโก้หรู  แต่เพื่อนฝูงญาติพี่น้องไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องได้รับความทุกข์ความบีบคั้นทางจิตใจเพียงใด ในการใช้ชีวิตคู่กับคนต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรมประเพณี


            สิ่งที่ทำให้เธอประคองชีวิตคู่อยู่ได้ก็คือธรรมะที่เธอได้ใช้เวลา “ช่วงหนึ่งของชีวิต” ในการแสวงหาทางพ้นทุกข์ตั้งแต่ในวัยสาว  เธอคิดถึงวัดบ้านนอกเล็กๆแห่งนั้นและหลวงปู่ซึ่งมีลักษณะสงบลึกซึ้งและพูดน้อย  จากแต่ก่อนที่ตลอดมาเธอไม่คิดจะภาวนาจริงจังอะไร  แต่เมื่อเผชิญกับความทุกข์ในครอบครัว เธอก็เริ่มเจริญสติตามที่เคยฝึกไว้ตั้งแต่ตอนเป็นสาวอย่างตั้งใจและเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมีสติทีละน้อย


            หลังจากเธอเจริญสติภาวนาอยู่เป็นเวลาสิบปี  ท่ามกลางชีวิตการเป็นแม่บ้านและมีบุตรชายสองคน   ความอดทนอดกลั้นด้วยการมีสติระลึกรู้ตามความเป็นจริงที่พากเพียรทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ  บัดนี้เธอกลายเป็นสตรีผู้สามารถเป็นที่พึ่งทางจิตใจของทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศไปแล้ว


           นี้คืออานิสงส์แห่งการทุ่มเทเวลาในช่วงหนึ่งในวัยสาวอันล้ำค่า เพื่อการศึกษาและเรียนรู้การปฏิบัติภาวนาตามความเลื่อมใสศรัทธาที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ในขณะที่ชีวิตยังไม่มีพันธะใดๆ  แม้ต่อมาไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนวัดแห่งนั้นและไม่ได้พบกับหลวงปู่รูปนั้นอีกแล้ว แต่การบำเพ็ญภาวนาที่เคยฝึกไว้ ก็ส่งผลอันยิ่งใหญ่ให้กลายเป็นคนสอนการภาวนาในต่างประเทศได้โดยไม่เคยคาดคิดมาก่อน  พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจึงอัศจรรย์เช่นนี้


          ช่วงเวลาที่ดีๆของชีวิตไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก  ในช่วงใดที่เราอยากไปวัด อยากสร้างกุศล สร้างความดี จงหมั่นกระทำให้เต็มที่ในช่วงเวลานั้น  เพราะพลาดจากโอกาสครั้งนั้นแล้ว อาจไม่มีวันที่จะเป็นเช่นนั้นอีก  เพราะเวลาและวารีไม่เคยที่จะรอผู้ใด  เมื่อรู้สัจธรรมความจริงของชีวิตเช่นนี้แล้วไซร้  เราจะได้ไม่ประมาทในชีวิตและวันเวลา


           หากช่วงชีวิตของเราในเวลานี้คือช่วงเวลาแห่งพายุและมรสุม  จงเผชิญหน้ากับมันแล้วคุมสติไว้ให้มั่น  ให้หมั่นรักษาศีล ฟังธรรมแม้ไม่ค่อยเข้าใจและหมั่นภาวนาทุกๆวัน  จะทำให้จิตใจเข้มแข็งและมีกำลังในการฟันฝ่ามรสุมจนรอดปลอดภัยและถึงจุดหมายปลายทาง


          อย่าดูหมิ่นการทำความดีว่าไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น  จงทำดีด้วยใจซื่อและอย่าหวังผลสิ่งใดไว้ล่วงหน้า  การปลูกข้าวกว่าจะได้เมล็ดข้าวยังต้องอาศัยเวลา  การสร้างกุศลไม่ใช่การแลกเปลี่ยนแบบเอาเงินไปซื้อของในร้านค้า  แต่คือการลดละกิเลสและทิฐิมานะของเราเอง จึงได้พบความเย็นใจ


          โอกาสที่จะได้ทำบุญ  โอกาสที่จะได้รักษาศีล  โอกาสจะที่ได้บำเพ็ญภาวนา  นี้คือโอกาสอันล้ำค่าที่มิใช่จะเกิดขึ้นโดยง่าย  เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว  ไม่ควรปล่อยโอกาสผ่านเลยไป  เพราะหากรอโอกาสใหม่  โอกาสในวันหน้าแม้จะมีแต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนเดิม


         โอกาสของคนเรามีไม่เท่ากัน  บางคนมีความสามารถแต่ไม่มีโอกาส  บางคนมีโอกาสแต่ขาดความสามารถ ในการที่จะหยิบฉวยเอาโอกาสนั้นมาเป็นพลังสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของตน

 

             ความชุ่มฉ่ำสดชื่นเขียวขจีย่อมมีแต่ในฤดูฝนเท่านั้น ฉันใด   ช่วงเวลาที่จะได้สร้างความดีซึ่งจะส่งผลอันใหญ่หลวงต่อชีวิตในอนาคตวันข้างหน้าให้ได้พบกับความสงบร่มเย็นของคนเรา  ย่อมไม่มีบ่อยครั้ง ฉันนั้น

 

           หากช่วงใดช่วงหนึ่งอันล้ำค่าของชีวิตมาถึงแล้ว  จงใช้ชีวิตในช่วงนั้นอย่างเต็มที่เหมือนกับว่ากลัวโอกาสอันล้ำค่าจะหลุดลอยไป

 

           ช่วงหนึ่งของชีวิตอันสำคัญที่เราคว้าเอาไว้ได้  จะส่งผลอันล้ำค่าและยิ่งใหญ่  นำมาซึ่งความปลื้มปีติและความภาคภูมิใจ  ตราตรึงและประทับไว้ในดวงใจของเราตลอดไป ตราบนานเท่านาน

 

                                                                        คุรุอตีศะ
                                                               ๑๙  กันยายน  ๒๕๕๗