ความตายเป็นจุดสูงสุด

ความตายเป็นจุดสูงสุด

 


                ในสายตาของปุถุชนผู้ขาดความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ หรือโลกภายหลังความตาย  ย่อมถือว่าความตายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่  พยายามกันอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ให้มีความตายเกิดขึ้น  หากมีใครกำหนดวันตายไว้ล่วงหน้าโดยไม่มีการป่วยไข้อะไร  ก็มักจะสรุปตามความคิดความเข้าใจเอาเองว่าเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้  หลอกลวงหรือเข้าข่ายอวดอุตริมนุสสธรรมไปโน่นเลยก็มี


               นี้คือปัญหาใหญ่ของชีวิตพระภิกษุหรือผู้ปฏิบัติธรรม ที่ต้องการตายด้วยความสงบตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีคนมารบกวนร่างกาย คอยปั๊มหัวใจ หรือตายไปพร้อมกับมีสายน้ำเกลือระโยงระยางเพื่อยื้อยุดฉุดชีวิตไว้ตามวิสัยของปุถุชน  อันเป็นการรบกวนสมาธิอย่างยิ่ง


              สำหรับผู้รู้แจ้งในสัจธรรมหรือในสายตาของพระอริยะ  ท่านมักพูดตรงกันอยู่เสมอว่าความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอะไร  ความตายคือวันที่จะได้พักผ่อนนอนหลับครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากถึงวันเกษียณอายุของร่างกายที่ใช้งานมาพอสมควรแก่เวลาแล้ว


              ท่านบอกว่า...ความตายเป็นจุดสูงสุดของการมีชีวิต  เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ที่คนไปคิดว่า ถ้ารักการมีชีวิต  พวกเขาจะต้องเกลียดความตาย  โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าถ้าพวกเขาเกลียดกลัวความตาย  พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถในการใช้ชีวิต  กลายเป็นคนไร้ความสามารถในการที่จะมีชีวิตอยู่  ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ย่อมเป็นประเภทนี้ทั้งสิ้น


                 ความสามารถที่จะดำรงอยู่หรือใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า  จะได้มาก็ต่อเมื่อเราพร้อมที่จะตายเท่านั้น  ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างล่องลอยหรือผิวเผิน  เราก็จะตายอย่างผิวเผินและไร้ค่า  ถ้าใช้ชีวิตอยู่อย่างเต็มที่และอย่างมีความเป็นทั้งหมด มีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง  เราก็จะตายไปกับความเป็นที่สุด  ความตายจะเปรียบได้กับเสียงดนตรีที่ค่อยๆดังกระหึ่มขึ้น


                สำหรับบุคคลใดที่ดำรงอยู่บนโลกใบนี้ เป็นชีวิตที่บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญอันหนักหนาสาหัสและพากเพียรบากบั่นสร้างกุศลมาอย่างดี  ความตายย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวและหวาดหวั่นสำหรับบุคคลเช่นนี้แต่อย่างใด


               ความตายย่อมคือการนอนหลับพักผ่อนอันยิ่งใหญ่สำหรับบุคคลประเภทนี้  เขาถือว่าเขาได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างเต็มที่และคุ้มค่าแล้ว กับการได้มาเยี่ยมเยียนและสรรค์สร้างสิ่งดีงามไว้ในโลกนี้อย่างเต็มความสามารถและเต็มกำลัง


             ความวุ่นวายในชีวิตทั้งหลาย  ความรับผิดชอบต่อชีวิตของมนุษย์อันมากหน้าหลายตา ความสับสนอลหม่าน  ความตื่นเต้นวุ่นวาย  ความกระตือรือร้นความเคร่งเครียดทั้งหลาย ได้อันตรธานหายไปจากจิตวิญญาณไม่มีอะไรเหลือหลอ


             เป็นการกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมก่อนจะมามีร่างกายนี้  เป็นการกลับคืนสู่จุดกำเนิดเริ่มต้นของการดำรงอยู่  กลับคืนสู่ดิน  ร่างกายนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดิน  ลมหายใจได้กลับกายไปเป็นส่วนหนึ่งของอากาศ  ธาตุไฟในร่างกายกลับคืนสู่ความเป็นเตโชธาตุและดวงอาทิตย์   น้ำกลับคืนสู่มหาสมุทรอันไพศาล


           เหลือเพียงกายทิพย์อันเคยซ้อนอยู่ในกายเนื้อนี้ตลอดระยะเวลาที่ยังมีลมหายใจหรือยังมีชีวิตอยู่ อันวิบากกรรมจะนำไปสู่ภพภูมิอันเหมาะสมแก่ดวงจิตเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์   นี้คือความตายของผู้ที่สร้างสมบุญบารมีและความดีไว้ในขณะยังมีชีวิตอยู่ ความตายจึงไม่เป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับท่าน   ความตายกลับกลายเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ในโลกภายหลังแห่งความตาย


            คนทั้งหลายส่วนมากยังคงเข้าใจผิด  ยังติดอยู่กับความคิดที่ว่าความตายคือศัตรู  ความจริงแล้วความตายหาใช่ศัตรูไม่  แต่ความตายคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่คอยต้อนรับเรา เหมือนคนที่เปลี่ยนชีวิตใหม่จากบ้านหลังคาสังกะสี ไปอยู่บ้านมุงด้วยกระเบื้องมาตรฐานอย่างดี พร้อมกับมีทั้งน้ำอุ่นและห้องแอร์ที่สะดวกสบายกว่าบ้านหลังเก่า


             การที่คนคิดว่าความตายเป็นศัตรู  คนส่วนใหญ่จึงตายไปอย่างปวดร้าว  การต่อสู้ขัดขืนจะทำให้ต่อสู้ดิ้นรน  แทนที่ดวงจิตในขณะนั้นจะตายไปด้วยความสุขเบิกบานประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ  จึงกลายเป็นความทรมานใจและทุรนทุราย  นี้คือเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ล้วนเกลียดกลัวความตายกันอยู่ทั่วทั้งโลกทุกถ้วนหน้า


             ผู้รู้ทางจิตวิญญาณท่านกล่าวไว้ว่า... เก้าสิบเก้าคนในหนึ่งร้อยคนได้ตายไปในสภาพของการไม่มีสติไม่รู้สึกตัว  พวกเขาตะเกียกตะกาย  ต่อสู้ดิ้นรนจนถึงวาระสุดท้าย  เขาได้นำเอาพลังงานที่มีอยู่ทั้งหมดในชีวิตมาวางเป็นเดิมพัน เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นศัตรูคนสำคัญคือความตายด้วยความไม่รู้  จึงทำให้พวกเขาเสียสติไม่สมประดี  เขาได้ตายไปในความไม่รู้ตัว


             การตายไปโดยไม่รู้ตัวนั้น ถือว่าเป็นหายนะที่ใหญ่มากในสายตาของพระอริยเจ้าและนักปราชญ์ทั่วทั้งโลก  เป็นโมฆะของการใช้ชีวิตที่มีมาตลอดชาตินั้น  ด้วยเหตุที่มีความลี้ลับในเรื่องความตายเช่นนี้  ผู้ที่มีบุญวาสนาได้มีโอกาสฟังธรรม จึงปรารถนาการประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อดำรงความมีสติไว้ในแต่ละขณะ ยิ่งกว่าการสะสมหรือแสวงหาสิ่งใดในโลก เพื่อเตรียมกายและใจให้พร้อมไว้ ในการที่จะลาจากโลกนี้ไปด้วยความมีสติรู้ตัวเมื่อถึงเวลาสิ้นอายุขัย


            การตายอย่างมีสติรู้ตัว  ดวงจิตขณะนั้นย่อมผ่องใส  จึงมีสุคติเป็นที่ไปอย่างแน่นอน   หากตายไปโดยไม่รู้ตัว  ก็จะเกิดใหม่ในสภาพที่ไม่รู้ตัว เพราะจิตเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง  วิญญาณที่ออกจากร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้ไปสู่ภพใหม่ จึงไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดี นั่นคือที่มาของคำว่า "ทุคติ"ในทางพระพุทธศาสนา


           การได้อยู่ใกล้บุคคลผู้ทรงปัญญาหรือพระอริยเจ้าในเวลาใกล้ตายนั้น คือความงดงามและเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง  แต่คนในสมัยนี้ยากนักที่จะได้เห็นการตายเช่นนี้อีกแล้ว  ในขณะนั้นจะมีแต่ความสงบอันลึกล้ำ มีแต่การปล่อยวางทางร่างกาย  ความเบิกบานได้ผุดขึ้นมาจากส่วนมีอยู่ภายในสุดและแผ่ขยายไปจนทั่วบริเวณดุจการอยู่ในมงคลพิธีอันศักดิ์สิทธิ์


            ผู้ทรงปัญญาที่กำลังจะตาย  จะต่างจากบุคคลทั่วไป จะมีพลังบางอย่างอันมหาศาลยากที่จะอธิบายแผ่ปกคลุมคนที่อยู่ใกล้  ใบหน้าจะแช่มชื่นเหมือนกับกำลังต้อนรับสิ่งอันวิเศษบางอย่างที่กำลังจะมาถึง  ผู้คนจะสัมผัสได้ถึงความเงียบและสงบดื่มด่ำอย่างลึกซึ้ง


          เป็นความเงียบที่ปราศจากการยื้อแย่งดิ้นรน  ความเงียบที่ปราศจากการต่อต้านขัดขืน  จะเป็นบรรยากาศแห่งการลื่นไหล  เข้าไปในความตายอย่างช้าๆ  ด้วยความสำนึกคุณอันลึกซึ้งต่อสรรพสิ่งที่ชีวิตได้มอบให้  เป็นหัวใจที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและความกตัญญูรู้คุณอันไม่เคยปรากฏในตอนมีชีวิตอยู่ในภาวะปกติทั่วไป  เป็นบรรยากาศอันสงบลึกซึ้งเกินคำบรรยายยิ่งนัก


              ในซีกโลกตะวันออก  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากมาแต่บรรพกาล  เป็นวัฒนธรรมที่สูงส่งยิ่งนัก  ในภูมิภาคบางแห่ง เช่นในอินเดีย จีน ญี่ปุ่นหรือธิเบต  เมื่อใดก็ตามที่ผู้เป็นปรมาจารย์กำลังจะตาย  คนเป็นพันๆหมื่นๆ บางครั้งเป็นจำนวนล้านจะมารวมตัวกันเพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์ที่แสนยิ่งใหญ่และอลังการนี้


             เพียงแค่คอยดูอยู่ใกล้ๆ  บางทีในบริเวณนั้นจะมีกลิ่นหอมที่ลอยออกมา  บางทีจะได้ยินบทเพลงแห่งธรรมะเพลงสุดท้ายหรือคำสำคัญที่ท่านจะเปล่งออกมาเป็นคำสุดท้าย  หรืออาจจะได้เห็นลำแสงที่สาดส่องตอนที่ร่างกายและวิญญาณแยกออกจากกัน  เป็นบรรยากาศที่สดใสและเป็นสิริมงคลต่างจากการตายของปุถุชนหรือคนทั่วไปยิ่งนักราวฟ้ากับดิน


             ชีวิตของบุคคลใดมีความงดงาม  ความตายของบุคคลนั้นจะยิ่งทำให้รัศมีแห่งบารมีเปล่งออกมาอย่างเต็มที่   ชีวิตของบุคคลผู้เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา  ความตายก็จะให้สิ่งอันล้ำค่าและมอบประสบการณ์อันถือว่าเป็นความสูงสุดในเรื่องความรัก


            ชีวิตใดเป็นชีวิตแห่งการภาวนา  ท่านกล่าวว่าความตายจะนำเราไปสู่การรู้ตื่นเบิกบานอย่างที่สุด       ความตายของบุคคลเช่นนี้  จึงเป็นจุดสูงสุดของชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบอีกแล้ว

 

                                                                                                    คุรุอตีศะ
                                                                                           ๑๑  กันยายน  ๒๕๕๗