ความตายเป็นจุดสูงสุด
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความตายเป็นจุดสูงสุด
ในสายตาของปุถุชนผู้ขาดความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ หรือโลกภายหลังความตาย ย่อมถือว่าความตายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ พยายามกันอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ให้มีความตายเกิดขึ้น หากมีใครกำหนดวันตายไว้ล่วงหน้าโดยไม่มีการป่วยไข้อะไร ก็มักจะสรุปตามความคิดความเข้าใจเอาเองว่าเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้ หลอกลวงหรือเข้าข่ายอวดอุตริมนุสสธรรมไปโน่นเลยก็มี
นี้คือปัญหาใหญ่ของชีวิตพระภิกษุหรือผู้ปฏิบัติธรรม ที่ต้องการตายด้วยความสงบตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีคนมารบกวนร่างกาย คอยปั๊มหัวใจ หรือตายไปพร้อมกับมีสายน้ำเกลือระโยงระยางเพื่อยื้อยุดฉุดชีวิตไว้ตามวิสัยของปุถุชน อันเป็นการรบกวนสมาธิอย่างยิ่ง
สำหรับผู้รู้แจ้งในสัจธรรมหรือในสายตาของพระอริยะ ท่านมักพูดตรงกันอยู่เสมอว่าความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอะไร ความตายคือวันที่จะได้พักผ่อนนอนหลับครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากถึงวันเกษียณอายุของร่างกายที่ใช้งานมาพอสมควรแก่เวลาแล้ว
ท่านบอกว่า...ความตายเป็นจุดสูงสุดของการมีชีวิต เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ที่คนไปคิดว่า ถ้ารักการมีชีวิต พวกเขาจะต้องเกลียดความตาย โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าถ้าพวกเขาเกลียดกลัวความตาย พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถในการใช้ชีวิต กลายเป็นคนไร้ความสามารถในการที่จะมีชีวิตอยู่ ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ย่อมเป็นประเภทนี้ทั้งสิ้น
ความสามารถที่จะดำรงอยู่หรือใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า จะได้มาก็ต่อเมื่อเราพร้อมที่จะตายเท่านั้น ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างล่องลอยหรือผิวเผิน เราก็จะตายอย่างผิวเผินและไร้ค่า ถ้าใช้ชีวิตอยู่อย่างเต็มที่และอย่างมีความเป็นทั้งหมด มีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เราก็จะตายไปกับความเป็นที่สุด ความตายจะเปรียบได้กับเสียงดนตรีที่ค่อยๆดังกระหึ่มขึ้น
สำหรับบุคคลใดที่ดำรงอยู่บนโลกใบนี้ เป็นชีวิตที่บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญอันหนักหนาสาหัสและพากเพียรบากบั่นสร้างกุศลมาอย่างดี ความตายย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวและหวาดหวั่นสำหรับบุคคลเช่นนี้แต่อย่างใด
ความตายย่อมคือการนอนหลับพักผ่อนอันยิ่งใหญ่สำหรับบุคคลประเภทนี้ เขาถือว่าเขาได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างเต็มที่และคุ้มค่าแล้ว กับการได้มาเยี่ยมเยียนและสรรค์สร้างสิ่งดีงามไว้ในโลกนี้อย่างเต็มความสามารถและเต็มกำลัง
ความวุ่นวายในชีวิตทั้งหลาย ความรับผิดชอบต่อชีวิตของมนุษย์อันมากหน้าหลายตา ความสับสนอลหม่าน ความตื่นเต้นวุ่นวาย ความกระตือรือร้นความเคร่งเครียดทั้งหลาย ได้อันตรธานหายไปจากจิตวิญญาณไม่มีอะไรเหลือหลอ
เป็นการกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมก่อนจะมามีร่างกายนี้ เป็นการกลับคืนสู่จุดกำเนิดเริ่มต้นของการดำรงอยู่ กลับคืนสู่ดิน ร่างกายนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดิน ลมหายใจได้กลับกายไปเป็นส่วนหนึ่งของอากาศ ธาตุไฟในร่างกายกลับคืนสู่ความเป็นเตโชธาตุและดวงอาทิตย์ น้ำกลับคืนสู่มหาสมุทรอันไพศาล
เหลือเพียงกายทิพย์อันเคยซ้อนอยู่ในกายเนื้อนี้ตลอดระยะเวลาที่ยังมีลมหายใจหรือยังมีชีวิตอยู่ อันวิบากกรรมจะนำไปสู่ภพภูมิอันเหมาะสมแก่ดวงจิตเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ นี้คือความตายของผู้ที่สร้างสมบุญบารมีและความดีไว้ในขณะยังมีชีวิตอยู่ ความตายจึงไม่เป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับท่าน ความตายกลับกลายเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ในโลกภายหลังแห่งความตาย
คนทั้งหลายส่วนมากยังคงเข้าใจผิด ยังติดอยู่กับความคิดที่ว่าความตายคือศัตรู ความจริงแล้วความตายหาใช่ศัตรูไม่ แต่ความตายคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่คอยต้อนรับเรา เหมือนคนที่เปลี่ยนชีวิตใหม่จากบ้านหลังคาสังกะสี ไปอยู่บ้านมุงด้วยกระเบื้องมาตรฐานอย่างดี พร้อมกับมีทั้งน้ำอุ่นและห้องแอร์ที่สะดวกสบายกว่าบ้านหลังเก่า
การที่คนคิดว่าความตายเป็นศัตรู คนส่วนใหญ่จึงตายไปอย่างปวดร้าว การต่อสู้ขัดขืนจะทำให้ต่อสู้ดิ้นรน แทนที่ดวงจิตในขณะนั้นจะตายไปด้วยความสุขเบิกบานประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ จึงกลายเป็นความทรมานใจและทุรนทุราย นี้คือเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ล้วนเกลียดกลัวความตายกันอยู่ทั่วทั้งโลกทุกถ้วนหน้า
ผู้รู้ทางจิตวิญญาณท่านกล่าวไว้ว่า... เก้าสิบเก้าคนในหนึ่งร้อยคนได้ตายไปในสภาพของการไม่มีสติไม่รู้สึกตัว พวกเขาตะเกียกตะกาย ต่อสู้ดิ้นรนจนถึงวาระสุดท้าย เขาได้นำเอาพลังงานที่มีอยู่ทั้งหมดในชีวิตมาวางเป็นเดิมพัน เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นศัตรูคนสำคัญคือความตายด้วยความไม่รู้ จึงทำให้พวกเขาเสียสติไม่สมประดี เขาได้ตายไปในความไม่รู้ตัว
การตายไปโดยไม่รู้ตัวนั้น ถือว่าเป็นหายนะที่ใหญ่มากในสายตาของพระอริยเจ้าและนักปราชญ์ทั่วทั้งโลก เป็นโมฆะของการใช้ชีวิตที่มีมาตลอดชาตินั้น ด้วยเหตุที่มีความลี้ลับในเรื่องความตายเช่นนี้ ผู้ที่มีบุญวาสนาได้มีโอกาสฟังธรรม จึงปรารถนาการประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อดำรงความมีสติไว้ในแต่ละขณะ ยิ่งกว่าการสะสมหรือแสวงหาสิ่งใดในโลก เพื่อเตรียมกายและใจให้พร้อมไว้ ในการที่จะลาจากโลกนี้ไปด้วยความมีสติรู้ตัวเมื่อถึงเวลาสิ้นอายุขัย
การตายอย่างมีสติรู้ตัว ดวงจิตขณะนั้นย่อมผ่องใส จึงมีสุคติเป็นที่ไปอย่างแน่นอน หากตายไปโดยไม่รู้ตัว ก็จะเกิดใหม่ในสภาพที่ไม่รู้ตัว เพราะจิตเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง วิญญาณที่ออกจากร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้ไปสู่ภพใหม่ จึงไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดี นั่นคือที่มาของคำว่า "ทุคติ"ในทางพระพุทธศาสนา
การได้อยู่ใกล้บุคคลผู้ทรงปัญญาหรือพระอริยเจ้าในเวลาใกล้ตายนั้น คือความงดงามและเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง แต่คนในสมัยนี้ยากนักที่จะได้เห็นการตายเช่นนี้อีกแล้ว ในขณะนั้นจะมีแต่ความสงบอันลึกล้ำ มีแต่การปล่อยวางทางร่างกาย ความเบิกบานได้ผุดขึ้นมาจากส่วนมีอยู่ภายในสุดและแผ่ขยายไปจนทั่วบริเวณดุจการอยู่ในมงคลพิธีอันศักดิ์สิทธิ์
ผู้ทรงปัญญาที่กำลังจะตาย จะต่างจากบุคคลทั่วไป จะมีพลังบางอย่างอันมหาศาลยากที่จะอธิบายแผ่ปกคลุมคนที่อยู่ใกล้ ใบหน้าจะแช่มชื่นเหมือนกับกำลังต้อนรับสิ่งอันวิเศษบางอย่างที่กำลังจะมาถึง ผู้คนจะสัมผัสได้ถึงความเงียบและสงบดื่มด่ำอย่างลึกซึ้ง
เป็นความเงียบที่ปราศจากการยื้อแย่งดิ้นรน ความเงียบที่ปราศจากการต่อต้านขัดขืน จะเป็นบรรยากาศแห่งการลื่นไหล เข้าไปในความตายอย่างช้าๆ ด้วยความสำนึกคุณอันลึกซึ้งต่อสรรพสิ่งที่ชีวิตได้มอบให้ เป็นหัวใจที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและความกตัญญูรู้คุณอันไม่เคยปรากฏในตอนมีชีวิตอยู่ในภาวะปกติทั่วไป เป็นบรรยากาศอันสงบลึกซึ้งเกินคำบรรยายยิ่งนัก
ในซีกโลกตะวันออก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากมาแต่บรรพกาล เป็นวัฒนธรรมที่สูงส่งยิ่งนัก ในภูมิภาคบางแห่ง เช่นในอินเดีย จีน ญี่ปุ่นหรือธิเบต เมื่อใดก็ตามที่ผู้เป็นปรมาจารย์กำลังจะตาย คนเป็นพันๆหมื่นๆ บางครั้งเป็นจำนวนล้านจะมารวมตัวกันเพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์ที่แสนยิ่งใหญ่และอลังการนี้
เพียงแค่คอยดูอยู่ใกล้ๆ บางทีในบริเวณนั้นจะมีกลิ่นหอมที่ลอยออกมา บางทีจะได้ยินบทเพลงแห่งธรรมะเพลงสุดท้ายหรือคำสำคัญที่ท่านจะเปล่งออกมาเป็นคำสุดท้าย หรืออาจจะได้เห็นลำแสงที่สาดส่องตอนที่ร่างกายและวิญญาณแยกออกจากกัน เป็นบรรยากาศที่สดใสและเป็นสิริมงคลต่างจากการตายของปุถุชนหรือคนทั่วไปยิ่งนักราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของบุคคลใดมีความงดงาม ความตายของบุคคลนั้นจะยิ่งทำให้รัศมีแห่งบารมีเปล่งออกมาอย่างเต็มที่ ชีวิตของบุคคลผู้เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา ความตายก็จะให้สิ่งอันล้ำค่าและมอบประสบการณ์อันถือว่าเป็นความสูงสุดในเรื่องความรัก
ชีวิตใดเป็นชีวิตแห่งการภาวนา ท่านกล่าวว่าความตายจะนำเราไปสู่การรู้ตื่นเบิกบานอย่างที่สุด ความตายของบุคคลเช่นนี้ จึงเป็นจุดสูงสุดของชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบอีกแล้ว
คุรุอตีศะ
๑๑ กันยายน ๒๕๕๗