การปฏิบัติธรรมที่เหมาะสม

การปฏิบัติธรรมที่เหมาะสม

 


                รูปแบบการปฏิบัติธรรมที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันอยู่นี้  แต่เดิมมาท่านปฏิบัติกันในหมู่บรรพชิตหรือผู้ที่ละจากภาระการงานอาชีพ และตัดปลิโพธความกังวลได้แล้วเป็นส่วนใหญ่  ดังนั้น เมื่อมีใจเด็ดเดี่ยวและทุ่มเทเอาจริงในการปฏิบัติลงไป  ท่านจึงได้รับผลทางการปฏิบัติไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติสมถภาวนาหรือการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา


                สำหรับผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ยุคสมัยนี้   ต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายทางวัตถุและเทคโนโลยี  มีโทรศัพท์มือถือมีอินเทอร์เน็ตสื่อสารกันทั่วไปทุกพื้นที่  ความวิเวก ความสงบสงัดทางจิตใจและสิ่งแวดล้อมจึงหาได้ยากต่างจากสมัยก่อน


               จิตใจของผู้คนจึงรุ่มร้อนและหาโอกาสพักหัวใจไม่ค่อยพบ  พื้นฐานทางอารมณ์ที่มักเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย  จึงเป็นการยากที่จะนั่งสมาธิให้จิตสงบได้โดยง่าย  เพราะหัวใจและอารมณ์ความรู้สึกได้รับความกระทบกระเทือนและวุ่นวายจากเรื่องราวต่างๆแทบจะทั้งวัน


              การปฏิบัติธรรมในสภาพสังคมที่ยุ่งเหยิงสับสนซับซ้อน   ต้องเริ่มต้นที่การแบ่งเวลาพักผ่อนจิตใจและมีเวลาอยู่คนเดียวเงียบๆ  ในช่วงเวลานั้นเราไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมแต่อย่างใด     แต่อาจนั่งดูท้องฟ้า ต้นไม้ ใบหญ้า หรือนั่งหลับตาพร้อมทำความรู้สึกตัว


              ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองว่าต้องนั่งสมาธิ  จนกว่าจิตใจจะเกิดความผ่อนคลายและมีพลังสดชื่นขึ้นมาพอสมควรแล้ว  หากนั่งนิ่งๆแล้วรู้สึกว่าสบายใจ เราจึงค่อยนั่งดูลมหายใจต่อไปหรืออยู่กับความรู้สึกตัวที่ตื่นอยู่ภายในแล้วยิ้มน้อยๆในดวงใจเงียบๆคนเดียว


              ถ้าใจสงบดีและโปร่งเบา  ไม่จำเป็นต้องใช้คำบริกรรมอะไรก็ได้  เพราะจิตเริ่มละเอียดแล้ว จึงควรอยู่กับอาการที่อิสระโปร่งเบานั้นไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะเกิดความรู้สึกว่าพอแล้วและอิ่มใจ  ค่อยลุกไปทำกิจกรรมสิ่งใดตามปกติแล้วมีสติดูใจของตนอย่างเป็นธรรมชาติธรรมดา


             เพียงเท่านี้  ก็ได้ชื่อว่าได้รู้จักการภาวนาหรือเริ่มต้นฝึกจิตของตนแล้ว     ให้หมั่นสังเกตอารมณ์ของตัวเองว่าดีหรือร้ายประการใด  จะสงบหรือวุ่นวาย ก็เพียงตระหนักรู้และเข้าใจ


               นักปฏิบัติจำนวนมากที่พลาดโอกาสการภาวนาไปอย่างน่าเสียดาย  เพราะคอยแต่ไปวิ่งตามผู้คนทั้งหลายที่โฆษณาชวนเชื่อว่าองค์โน้นองค์นี้เป็นพระอรหันต์ ต้องไปปฏิบัติที่นั่นที่นี่จึงจะบรรลุได้รวดเร็ว  จนลืมการเจริญสติและมองข้ามสภาวะความเป็นจริงของตัวเอง


              การอยากได้สมาธิหรืออยากบรรลุอย่างรวดเร็วได้อย่างใจ  จึงวิ่งแสวงหาตรงโน้นตรงนี้เรื่อยไป  สุดท้ายก็กลายเป็นคนหลายครูหลายอาจารย์มากเกินไป  อาจารย์ไหนก็สอนไม่ได้เพราะไม่ยอมละทิฐิมานะของตัวเอง  สู้คนที่มีอาจารย์เพียงองค์เดียวไม่ได้กลับพ้นทุกข์ได้จริง


             ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง “แม่ชียศ”  ที่ท่านเคยดูแลอุปัฏฐากช่วยการงานในวัดตั้งแต่หลวงปู่ดูลย์ อตุโลยังมีชีวิตอยู่  แม้หลวงปู่ดูลย์ท่านละสังขารล่วงลับไปแล้ว ต่อมาแม้จะมีนิตยสารประโคมข่าวเรื่องราวพระอรหันต์และมีผู้คนชวนไปอย่างมากมาย  แต่ท่านแม่ชียศก็ไม่เคยไปไหนหรือแสวงหาอาจารย์อื่นใดอีก ท่านอยู่แต่วัดบูรพารามเจริญสติเรื่อยไป สุดท้ายในบั้นปลายเมื่อท่านสิ้นใจ  สาธุชนนำร่างไปเผา ปรากฏว่าอัฐิของท่านแม่ชียศกลายเป็นพระธาตุ  ได้รับการตั้งไว้ให้ทุกคนกราบไหว้บูชารวมอยู่กับพระธาตุของปวงเหล่าพระอริยสงฆ์จนทุกวันนี้


               การปฏิบัติธรรมที่จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติ  จึงมีหลักอันสำคัญประการหนึ่งว่าต้องปฏิบัติให้เหมาะสมกับเพศและวัยของตนเป็นที่ตั้ง  หากมีเพศเป็นบรรพชิตหรือเป็นผู้ที่ละการงานอาชีพไม่ยินดีในทางโลกแล้วอย่างจริงใจ  การเดินจงกรมและนั่งสมาธิย่อมเป็นข้อวัตรปฏิบัติอันสำคัญที่ผู้ไม่มีภาระหน้าที่ในการประกอบอาชีพ ต้องบำเพ็ญให้สมกับเพศและภาวะของตน  จึงเป็นวิสัยของบรรพชิตที่ต้องเจริญสมาธิอยู่เสมอเพื่ออยู่เหนืออารมณ์ทางโลก


               สำหรับบุคคลที่ยังยินดีในโลกียวิสัยและยังต้องการความรัก  จงรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าเรายังต้องการทรัพย์สินเงินทองหรือความสุข ความสะดวกสบายทางโลก  การเดินจงกรมการนั่งสมาธิส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความอึดอัดเป็นความทุกข์สำหรับเรา ต้องใส่บาตรทำบุญให้ทานแล้วได้เดินห้างแต่งตัวสวยๆได้นอนที่นอนและหมอนนุ่มๆ จึงจะคือความสุขและความสบายใจของเรา ดังนั้น เราต้องเข้าใจแล้วปฏิบัติธรรมให้เหมาะสมกับเพศและภาวะ  การปฏิบัติธรรมจึงจะเป็นความสุขและเป็นที่พึ่งทางจิตใจอย่างแท้จริงสมดังปรารถนา


              ยกตัวอย่างเช่น  บางคนในส่วนลึกทางจิตใจยังต้องการความรักความอบอุ่น หากไปไปพยายามบังคับตัวเองด้วยการนั่งหลับตาทำสมาธิ เพื่อให้จิตสงบไม่ให้คิดถึงใครย่อมเป็นไปไม่ได้  เพราะสิ่งที่ตัวเองปรารถนาที่แท้จริงไม่ใช่สมาธิความสงบแต่ต้องการคนปลอบใจ  ดังนั้นแม้จะนั่งหลับตาหรือเดินจงกรมสักเท่าใด  หัวใจย่อมไร้ความสงบมีแต่ความเก็บกดเกิดขึ้นแทน


                การปฏิบัติที่เหมาะสมและถูกต้องสำหรับในกรณีนี้  ก็คือการระลึกรู้ความรู้สึกขณะนี้ตามความเป็นจริงว่ากำลังคิดถึงเขา   หากเป็นผู้ชายก็จงกล้าโทรศัพท์ไปหา เมื่อได้ยินเสียงเธอแล้วก็รู้สึกสบายใจ แล้วก็ดูอาการความตื่นเต้นของหัวใจในเวลานั้นไปด้วย      ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจสงวนท่าที รอเขาโทรมาหาก่อนไม่ไหวจนนอนร้องไห้ ก็ตระหนักรู้ความหวาดหวั่นของหัวใจ  และเมื่อใดได้พบกันแล้วต่างคนก็ต่างดีใจ ก็ให้สังเกตใจตัวเองไปด้วยตามความเป็นจริง


                 นี้คือการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับคนที่กำลังมีความรัก  การมีสติระลึกรู้ตามความเป็นจริงในแต่ละวันก็คืออย่างนี้   ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิหลับตาแล้วภาวนาบังคับตัวเองให้ลืมเขา  ยิ่งภาวนาก็จะยิ่งคิดถึงเขาเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า  เพราะหัวใจของตัวเองมันจะอุทธรณ์ขึ้นมาว่า “อย่ามาเฉไฉโกหกเรา”   นี้คือตัวอย่างการภาวนาของหนุ่มสาวที่เข้าใจการเจริญสติในชีวิตจริง


                 หรือบางคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ห่วงใยกังวลคิดถึงลูก  ก็ระลึกรู้ความรู้สึกที่กังวลในขณะนั้น  เมื่อเห็นหน้าลูกแล้วดีใจก็มีสติระลึกรู้กำกับด้วยอีกเช่นกัน  หมั่นทำอย่างนี้บ่อยๆทีละน้อยไปแต่ละวัน  จิตใจจะมีสติและร่มเย็นขึ้นมากกว่าคนบางคนที่คร่ำเคร่งเอาแต่นั่งสมาธิเสียอีก  คนเราทุกข์เพราะชอบคิดในทางร้าย ดังนั้นเมื่อสติระลึกได้ครั้งใด ความเบาใจก็จะเกิดขึ้น


                หากชีวิตในความเป็นจริง  เรายังมีห่วงมีความกังวลและยังมีภาระความรับผิดชอบ  จึงเป็นไปได้ยากที่จิตจะสงบได้โดยง่ายด้วยการเดินจงกรมนั่งสมาธิ  สิ่งที่เหมาะสมในการเจริญภาวนาของเรา  คือหมั่นบำเพ็ญทานสละความตระหนี่ออกไปจากหัวใจไว้เรื่อยๆ  หมั่นหาโอกาสบำเพ็ญศีลเพื่อบำเพ็ญตบะสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ  หมั่นคิดแต่สิ่งดีๆไว้และมีสติระลึกรู้กับทุกปรากฏการณ์ตามความเป็นจริง  เมื่อโอกาสอันเหมาะสมมาถึงวันใด จิตจะพบความสงบนิ่งและเกิดสมาธิอย่างเป็นไปเองโดยไร้เจตนา  นี้คือสมาธิแห่งพุทธะที่รู้ตื่นเบิกบาน


              หากเป็นวัยรุ่น  ก็เจริญสติภาวนาไปตามธรรมชาติของวัยรุ่น  มีการสรวลเสเฮฮาสนุกสนานไปตามวัยก็มีสติระลึกรู้อาการในขณะนั้น  เป็นหนุ่มสาวมีความรัก ก็สังเกตหัวใจที่กำลังเป็นสีชมพู หรือเมื่ออกหักก็ระลึกรู้ความว้าเหว่เศร้าสร้อยหมดอาลัยตายอยากในชีวิต


             เป็นผู้ใหญ่มีภาระครอบครัวหรืออาชีพการงานต้องรับผิดชอบ  ก็ใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องทดสอบจิตใจพร้อมกับมีสติระลึกรู้  จะสุขหรือทุกข์ก็ยังมีสติตัวนี้คอยเป็นเพื่อนคอยเฝ้าดู  นี้คือหลักการเจริญภาวนาของผู้ที่ยังยินดีอยู่ในชีวิตฆราวาส ยังไม่อาจละทางโลกได้อย่างเด็ดขาดเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในอาราม อันเป็นสถานที่เหมาะสำหรับผู้ที่ปล่อยวางการงานอาชีพได้ ต้องการชีวิตที่ว่าง อิสระและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่อย่างเงียบๆในดินแดนแห่งพระศาสนา


             หากชีวิตของบุคคลใดทำได้อย่างนี้  ไม่ว่าชีวิตจะดับลงในวันไหน ไม่ว่าจะแตกดับสิ้นใจบนบก ในน้ำ หรือกลางอากาศ  ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมมีสุคติเป็นที่ไปอย่างแน่นอน


             ชีวิตของบุคคลนั้นจะเกิดความเจริญเติบโตแห่งจิตวิญญาณภายในตามลำดับ จะทำให้ได้พบกับที่พึ่งอันแท้จริงที่ไม่มีที่พึ่งใดเสมอเหมือนหรือยิ่งกว่า


              ดวงจิตจะพัฒนาไปสู่ความสูงส่งและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นตามวันเวลา โดยไร้กังวลไม่ต้องมีการคอยนับว่าเจ็ดวัน เจ็ดเดือนหรือเจ็ดปี มีสติอยู่กับความรู้ตื่นเบิกบานนี้ตามภูมิชั้นของจิต โดยไม่มีการแสวงหาที่พึ่งและวิธีปฏิบัติอื่นใดอีกแล้วตราบชั่วชีวิต

 

                                                                                        คุรุอตีศะ
                                                                                 ๕  กันยายน  ๒๕๕๗