ข้อคิดคติธรรม

ข้อคิดคติธรรม

 


         

            ๑. การพร่ำสอน อบรม หรือการพากเพียรอธิบายชี้นำเพื่อให้เกิดความเข้าใจ  เป็นเพียงความเมตตากรุณาของผู้ที่รู้จักเส้นทางที่เคยเดินมาแล้วชี้ทางให้แก่ผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นเดินทาง


                ส่วนการจะกล้าตัดสินใจออกเดินตามคำพร่ำสอนเหล่านั้นหรือไม่ ย่อมเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้เดินทางนั้นเอง  หากผู้เดินไม่ยอมเดิน  ผู้สอนก็มีหน้าที่ต่อไปเพียงอย่างเดียว คือปล่อยวางด้วยจิตอุเบกขา  หาใช่ความเมตตากรุณาหรือแบกภาระดังตอนแรกไม่

 

             ๒. คำว่า”ศาสนา” คือสิ่งอันเป็นที่พึ่งทางใจ  เป็นเข็มทิศนำทางให้ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติสามารถรอดพ้นจากอันตรายทางจิตใจและความทุกข์ทั้งปวง


                   ตัวศาสนา ไม่ใช่วัตถุหรือวัดวาอารามใหญ่โต  ไม่ใช่การอวดบริวารว่ามีพระมีโยมมากหรือมีโบสถ์ใหญ่โตมีทรัพย์สินมากกว่าคนอื่น ซึ่งเป็นนิสัยของชาวโลก ไม่ใช่การมียศมีศักดิ์มีตำแหน่งแบบข้าราชการขุนนางทั้งหลาย   อันเป็นสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะและพระอริยสาวกของพระองค์ท่านคายทิ้งดุจการบ้วนก้อนเขฬะมาแล้ว  ท่านเหล่านั้นล้วนเดินออกจากปราสาทราชวังมุ่งหน้าสู่ความเป็นผู้ไม่มีอะไร  ดุจนกอิสระที่มีเพียงปีกและขนหางบินไปในนภากาศ


                 แต่เดิมมา วัตถุสิ่งของ ลาภสักการะ ยศตำแหน่งในทางศาสนา เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มารองรับศาสนธรรมอันมีอยู่ในตัวของผู้ที่มีคุณธรรมภายในแล้ว  ดุจเปลือกและกะพี้ของต้นไม้ที่ห่อหุ้มเนื้อและแก่นของต้นไม้ไว้เท่านั้น   หาใช่การไปแสวงหา ยกย่อง สรรเสริญเปลือกและกะพี้ โดยที่ข้างในไม่มีเนื้อและแก่นของต้นไม้เหลืออยู่เลย   ศาสนวัตถุจึงเป็นเพียงตัวรองรับศาสนธรรมและศาสนบุคคล  นี้คือหลักการอันสำคัญยิ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยั่งยืนยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้

 

               ๓.  การยังนิยมยินดีในวัตถุสิ่งของและบุคคลต่างๆ  ย่อมเกิดขึ้นตราบเท่าที่จิตยังยึดติดว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่า  เมื่อใดที่จิตเกิดแสงสว่างแห่งปัญญา  ย่อมมองเห็นได้ด้วยตัวเองว่า แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้น  เปรียบประดุจก้อนเขฬะหรือน้ำลายที่เราหลงอมไว้ในปากไม่ยอมบ้วนทิ้งเสียทีเสียเวลามาตั้งนาน   อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นของวิสัยชาวโลกก็เป็นเช่นนั้นเอง

 

              ๔. การศึกษาและปฏิบัติธรรมะเพียงเพื่อหาความสบายใจ  ย่อมเปรียบเหมือนคนป่วยไข้เปิดทีวีดูละครที่ถูกใจเพื่อลืมความเจ็บป่วยของตนชั่วคราว


                  การป่วยไข้ก็ต้องกินยาหรือไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล และปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์และพยาบาลอย่าเคร่งครัดโรคภัยจึงจะหาย   การจะเข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริง  จึงต้องละพยศ ละทิฐิมานะของตนแล้วเข้าหาครูบาอาจารย์ สละความอวดดีดื้อรั้น และหัดนิสัยให้เป็นคนว่าง่ายอยู่ในโอวาทของท่านอย่างเต็มใจ  ธรรมะที่แท้จริงจึงหลั่งไหลซึมซับเข้าสู่ดวงใจ     การฟัง การอ่าน การคิดพิจารณาธรรมามลำพังตัวเองเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอต่อการจะเข้าถึงและสัมผัสตัวธรรมที่แท้จริง

 

                 ๕. กำลังใจที่ได้รับจากคนอื่น  เป็นเพียงที่พึ่งอันฉาบฉวยเพียงครั้งคราว  แต่กำลังใจที่เราสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเองคือ การพากเพียรอดทนหมั่นบำเพ็ญบารมีสร้างบุญกุศล  จะเป็นกำลังใจอันมั่นคงถาวร ซึ่งจะเป็นที่พึ่งให้แก่ตนและยังเป็นผู้สามารถให้กำลังใจคนอื่นได้ด้วยกำลังใจเช่นนี้คือกำลังใจที่ประเสริฐที่สุด

 

                 ๖.   การเข้าถึงธรรมะ  หาใช่เป็นแบบการเข้าถึงวิชาการทั้งหลายดังที่คนทั่วไปมักเข้าใจไม่ การเรียนวิชาการต้องใช้สมองและการวิเคราะห์แยกแยะด้วยเหตุด้วยผลเพื่อทำความเข้าใจ


                  ส่วนการเข้าถึงธรรม  ต้องอาศัยใจที่บริสุทธิ์ธรรมชาติ  ที่เลยพ้นการวิเคราะห์วิจารณ์วิจัยขึ้นไป  เป็นใจที่ไร้เงื่อนไขหรือข้อแม้ใดๆ เพียงมอบใจให้ซึมซับและสัมผัสความรักความดีงามของโลกและสรรพชีวิต  นั่นคือประตูแห่งการเข้าสู่ธรรมะ  นั่นคือสมาธิภาวนา

 

                
                                                                                                     ฤาษีอินทราทิตย์