ที่พึ่งทางใจ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ที่พึ่งทางใจ
โดยทั่วไปแล้วพลังชีวิตของคนเราจะถึงจุดสูงสุดตอนอายุสามสิบห้า เปรียบเหมือนจุดที่อยู่บนสุดของรูปครึ่งวงกลมที่คว่ำลง พอถึงตอนนี้คนเราจะไม่สนใจแต่การสร้างฐานะความมั่นคงหรือการแสวงหาความสะดวกสบายทางวัตถุ แต่จะเริ่มต้องการความยอมรับหรือเป็นส่วนหนึ่งทางสังคม เริ่มสนใจวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามและสนใจในศาสนา
หากออกบวชตั้งแต่เป็นหนุ่ม ตัดความกังวลปลีกตัวเข้าป่าหลีกเร้นออกจากสังคม เป็นผู้ว่าง่าย อดทนต่อโอวาทของครูบาอาจารย์และตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน การอบรมจิตที่ถูกบ่มมานาน ท่านเหล่านั้นก็มักมีโอกาสจะบรรลุสมาธิหรือบรรลุมรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่งในช่วงนี้
ช่วงใกล้อายุสี่สิบสอง ศาสนาจะเริ่มมีความหมายสำหรับชีวิต แม้บุคคลนั้นจะไม่เคยคิดว่าตนเองจะสนใจในศาสนามาก่อน ก่อนหน้านั้นอาจสนใจบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้เขาจะเริ่มรับเอาศาสนาเข้ามาอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก แรงปรารถนาเรื่องศาสนาหรือที่พึ่งทางใจจะปรากฏในตัวบุคคลนั้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่าตัวบุคคลนั้นจะสังเกตตัวเองหรือไม่เท่านั้น
คนที่อายุเข้าสู่วัยสี่สิบปี หากยังไม่มีที่พึ่งทางใจหรือยังไม่เห็นความสำคัญของศาสนา จะเริ่มมีอาการทางจิตหรือเป็นโรคประสาทโดยเฉพาะผู้หญิง เนื่องจากหัวใจเริ่มแบกภาระไม่ไหว เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมีแต่เรื่องมาบีบคั้น กดดันและมีแต่ความวิตกกังวลในหัวใจ
คนที่หัวใจไม่มีหลักให้ยึดเหนี่ยวหรือขาดที่พึ่งทางใจ ศีลธรรมภายในจิตใจที่เคยท่องไว้จะเริ่มอ่อนแรงและเริ่มต้านกระแสกิเลสไม่ค่อยไหวเหมือนเมื่อก่อน บางคนจิตก็จะเกิดการพลิกกลับ หวนไปสู่ช่วงชีวิตของวัยรุ่น คือกลายเป็นคนหมกมุ่นในทางเพศหรือแสวงหาความรักไม่ว่าหญิงหรือชาย
เพราะจิตใจภายในแสวงหาที่พึ่งและความอบอุ่นใจบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร จึงทำให้แทนที่จิตวิญญาณจะได้รับการพัฒนาให้งอกงามขึ้นไป จะวกกลับลงไปหมกมุ่นกับความสุขพื้นฐานตามสัญชาตญาณรอบใหม่โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
บางคนที่ต้องคำครหาว่าเป็นเฒ่าหัวงู โคแก่ชอบกินหญ้าอ่อนอะไรทำนองนั้น ส่วนใหญ่ก็คือคนดีมีศีลธรรมมาก่อน แต่พอถึงวัยกลางคนพลังชีวิตเริ่มอ่อนแรงลงไป แรงกดทับที่เคยควบคุมไว้ได้ด้วยการ"พยายามเป็นคนดี"จึงอาจควบคุมต่อไปไม่ไหวแล้วระเบิดออกมา
หากเขาได้มีโอกาสฟังธรรมจนจิตปลงศรัทธาในศาสนา เขาจะพบทางออกและมีวิธีจัดการตัวเองให้มีการเปลี่ยนผ่านอย่างถูกต้องได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะติดอยู่เพียงแค่ระดับเป็นคนชอบทำบุญตามพิธีกรรมหรือตามประเพณี น้อยคนนักจะก้าวหน้าทางจิตไปถึงขั้นปลงศรัทธาหยั่งลงในพระศาสนาและเกิดสติปัญญา จนจิตมีความเป็นธรรมชาติในการเจริญสติโดยไม่ต้องมีการบังคับควบคุมอารมณ์
ตรงนี้จะเป็นเครื่องวัดที่สำคัญว่าเขาสามารถเข้าถึงศาสนาอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังอยู่เพียงขั้นของการสะกดกลั้นอารมณ์ด้วยสมาธิเพื่อกดทับอารมณ์ที่แท้จริงไว้ หรือเกิดสติธรรมชาติสามารถเปลี่ยนผ่านทางจิตใจ จากพลังทางเพศสามัญก้าวเข้าสู่ความรักอันสูงส่งประณีตแบบพระโสดาบันบุคคล
การดำรงความเป็นคนดีมีศีลธรรมอย่างแท้จริง จึงไม่ใช่การท่องไว้ในใจหรือการพยายามสร้างภาพเพื่อให้ใครมองว่าเราเป็นคนดี แต่คือการเข้าใจชีวิตตามที่ว่ามานี้และดำรงสติไปกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงในขณะนี้อยู่เสมอ นี้คือศีลธรรมตัวจริง
ตอนอายุประมาณสิบสี่ปี เด็กทุกคนจะรู้สึกว่าความต้องการพื้นฐานอันสำคัญและยิ่งใหญ่ของเขาคือเรื่องทางเพศ แต่พอคนอายุสี่สิบสองปี เขาจะรู้สึกขึ้นมาในทิศทางตรงกันข้าม คือรู้สึกว่าความต้องการพื้นฐานของพวกเขาคือศาสนา หากสังคมนั้นๆไม่สอนอะไรเลยเกี่ยวกับศาสนาหรือไม่สอนให้เขาเข้าใจชีวิตตามที่ควรจะเป็น ความยุ่งยากสับสนและปัญหาสังคมจะตามมาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
ในโลกทางตะวันตก เนื่องจากมีความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจนเกิดความสำคัญตนและหลงผิดว่ามนุษย์จะอยู่เหนือธรรมชาติได้ ศาสนาไม่ได้ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอีกต่อไป ดังนั้น พอใกล้ๆอายุสี่สิบสอง ชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงมักจะเคยผ่านปัญหาทางจิตมาแล้ว มีโรคทางจิตนับพันชนิดเกิดขึ้นจนวินิจฉัยไม่ไหว ซึ่งสังคมไทยก็กำลังเดินตามตะวันตกในเรื่องนี้พอๆกับการเจริญทางเทคโนโลยีเช่นกัน
คนที่มีความเครียดและทะเยอทะยาน มีแนวโน้มที่จะเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ง่าย เพราะเมื่อเราเครียด กระเพาะอาหารก็จะเครียดตามเราไปด้วย โรคกระเพาะนี้เป็นตัวบ่งชี้ประการหนึ่งว่าบุคคลนั้นคือผู้ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งมาแล้ว
หากใครเป็นโรคหัวใจตอนอายุประมาณสี่สิบสอง แสดงว่าบุคคลนั้นประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง คนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายมักเป็นโรคหัวใจ เพราะระบบต่างๆในร่างกายเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นพิษ ไม่ว่าจะเป็นความทะเยอทะยาน ความต้องการอย่างใจจดใจจ่อในการเฝ้ารอความสำเร็จ ความคิดความกังวลเกี่ยวกับอนาคตและวันพรุ่งนี้ ร่างกายจึงไม่อาจทนทานได้อีกต่อไป โรคภัยต่างๆจึงมาเยือนเสมือนคำตักเตือนของธรรมชาติผู้หวังดี
ไม่ว่าบุคคลนั้นชีวิตที่ผ่านมาจะสรวลเสเฮฮามีความสุขสนุกสนานสักปานใด แม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญหรือสนใจในศาสนามาก่อนหรือไม่ แต่พออายุสี่สิบสองปีจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างให้บุคคลเริ่มมีความคิดเกี่ยวกับศาสนา
ก่อนหน้านั้นเขาอาจมีความคิดอย่างคึกคะนองไปตามประสา หรือนึกเยาะเย้ยคนที่ไปวัดว่าช่างคร่ำครึและงมงาย แต่สุดท้ายเขาจะเป็นคนหนึ่งที่เริ่มมีคำถามในใจว่าชีวิตนี้เกิดมาทำไม โลกหน้าภายหลังจากความตายนั้นมีจริงหรือไม่ แล้วจะกลายเป็นคนที่แสวงหาที่พึ่งทางจิตใจ หรือไม่บางคนก็กลายเป็นผู้หนึ่งที่มีศรัทธาในศาสนาอย่างมั่นคง
ที่พึ่งทางใจนี้ หากบุคคลนั้นไม่ได้ฟังธรรมจนเข้าใจและเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงแล้ว เขาอาจอาจแสวงหาที่พึ่งทางใจอย่างอื่นเช่น การทรงเจ้าเข้าผี การสะเดาะเคราะห์ การแก้กรรมตัดกรรม การพึ่งหมอดู ซินแส โหราศาสตร์ให้ช่วยทำนายทายทักอนาคตเพื่อคลายความกังวล การพึ่งเครื่องรางของขลังหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็ติดผู้วิเศษและทึ่งในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นต้น
การมีความเชื่อศรัทธาในสิ่งเหล่านี้ ล้วนเกิดจากการแสวงหา "ที่พึ่งทางใจ" ของบุคคลนั้น จนกว่าจะถึงวันหนึ่งที่เขามีโอกาสได้ฟังธรรมและปฏิบัติธรรมจนกระแสจิตปลงศรัทธาหยั่งลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างมั่นคง การคิดพึ่งการทรงเจ้า การแก้กรรมตัดกรรม การสะเดาะเคราะห์ หรือการพึ่งซินแสหมอดูโหราศาสตร์เหล่านั้น จึงจะหมดความสำคัญลงไป
สติและปัญญาที่อุบัติขึ้นภายใน จะเป็นแสงสว่างหรือเป็นตัวนำทางในการดำเนินชีวิตแทนสิ่งเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้พระโสดาบันบุคคล จึงละความเป็นมงคลตื่นข่าวได้
จิตของท่านผู้ทรงภูมิจิตระดับนั้นจะยืนอยู่เหนือกับความมียศ มีเกียรติ หรือความร่ำรวยในทางโลก อันเป็นสิ่งไม่มีแก่นสารที่จะนำติดตัวไปได้เมื่อความตายมาถึง จะไม่ให้ความสำคัญหรือไม่ทึ่งจนเกินเหตุกับผู้วิเศษหรืออิทธิปาฏิหาริย์อันเป็นสิ่งปรุงแต่งที่ผิดความเป็นธรรมชาติ แต่จะวางใจในวิถีของกฎแห่งกรรมที่อยู่เหนือชีวิตมนุษย์ทุกคน เป็นผู้มีชีวิตอยู่กับความจริงที่เผชิญไปในแต่ละวัน
ที่พึ่งทางใจของแต่ละบุคคลย่อมมีได้ต่างๆกันตามโอกาสและบุญวาสนา แต่ที่พึ่งทางจิตใจอันปลอดภัย ย่อมไม่มีสิ่งใดยิ่งไปกว่าที่พึ่งอันเกษมคือ "พระรัตนตรัย" อันประเสริฐและสูงสุด พระพุทธเจ้าคือที่พึ่งของเรา พระธรรมคือที่พึ่งของเรา พระสงฆ์คือที่พึ่งของเรา
เพราะได้อาศัยแก้ววิเศษสามประการนี้ จึงมีอานุภาพหล่อหลอมดวงใจของเรา จากหัวใจที่เคยอนาถาไร้ที่พึ่งแต่ก่อนมา กลายเป็นหัวใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและมีสติปัญญา ทำให้ในวันนี้เราได้เข้าถึงเนื้อแท้ของตัวศาสนาและมีที่พึ่งทางจิตใจอย่างแท้จริง
คุรุอตีศะ
๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๗