ชีวิตที่เรียบง่าย

ชีวิตที่เรียบง่าย

 


               หากชีวิตมีความเคร่งเครียดสับสนจนทำอะไรไม่ถูก  ขอให้เริ่มต้นดำเนินชีวิตให้ช้าลง  ตัดบางสิ่งบางอย่างออกไป  อย่าพยายามหอบอะไรมาสุมตัวเองไว้จนเงยหน้าหายใจไม่ได้


             ตัดคำว่า "ไม่มีเวลา"ออกไป แล้วเอาเวลาจริงๆสำหรับชีวิตอันเป็นส่วนที่ขาดหาย เพราะมัววุ่นวายกับสังคมและสิ่งไร้สาระจนลืมหัวใจตัวเองนั้นกลับคืนมา  บางทีสิ่งสำคัญในชีวิตที่แท้จริงจะเด่นชัดขึ้น


            ในชีวิตอันทันสมัยที่พวกเราทั้งหลายกำลังพากันดำเนินอยู่นี้  ทุกคนล้วนแล้วแต่ได้รับความตึงเครียดจากแรงกดดันรอบตัว  จนบางครั้งอยากจะเก็บของใส่ห่อหรือกระเป๋าแบกขึ้นหลังแล้วเดินจากไป  ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง


            แต่ดูเหมือนว่า การเดินดุ่มๆเข้าไปในป่าอาศัยกระท่อมน้อยเชิงเขา หุงข้าวด้วยฟืนหรือเตาถ่านนั้น  ช่างเป็นการก้าวกระโดดอันหนักหนาสาหัสเอาการ สำหรับผู้ที่เคยมีชีวิตปกตินอนห้องแอร์ เดินห้างแทบทุกวัน และเกิดมาไม่เคยทำกับข้าวหรือซักผ้าในชีวิตมาก่อน


            การจะไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายตามความฝันเช่นนั้น จึงต้องมีการ "เตรียมการ"  เหมือนกับคนที่จะเรียนนายร้อยก็ต้องผ่านโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย จิตใจและทัศนคติในการใช้ชีวิตการเป็นนักเรียนทหารก่อนจะเข้าสู่เหล่าบก เรือ อากาศต่อไป


           ชีวิตของการเป็นนักบวชหรือการใช้ชีวิตในวัด  ก็คือการฝึกหัดใช้ชีวิตอย่างมีความเรียบง่าย  โดยตัดสิ่งที่เป็นภาระเป็นกังวลหรือความพะรุงพะรังที่กดทับหัวใจตลอดมานั้นออกไป  ทำชีวิตของตนให้โปร่งเบาและเรียบง่าย  โดยมีแค่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย ยารักษาโรคในยามจำเป็น  เพียงเท่านี้ชีวิตก็ดำรงอยู่ได้แล้ว นี้คือชีวิตของคนวัดหรือนักบวชโดยทั่วไป


           การทำชีวิตให้เรียบง่าย  ก็เพื่อแลกเอา "ความสงบวิเวกอันเป็นความสุขอันประณีตอยู่ภายใน" โดยยอมสละเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ทรัพย์สิน บริวาร ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงทั้งปวง มุ่งสู่เส้นทางอันสงบปราศจากเวรภัย  การบวชจึงมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่เพราะการสละได้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อันเป็นการสละในสิ่งที่คนทั่วไปสละได้ยาก


         ในสายตาของชาวโลกอาจมองดูว่าเป็นชีวิตที่ต่ำต้อยยากไร้  แต่ภายในหัวใจของผู้นั้นเขาคือผู้มีความสุขที่อธิบายไม่ได้  เขาคือจักรพรรดิหรือจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่ที่มีเพชรอยู่ในกำมือ ความสุขของฆราวาสคือการได้ การเป็น การมีอะไรอย่างมากมาย แต่ความสุขของชีวิตในอารามหรือนักบวช คือความสุขทางใจ อันเกิดจากความสันโดษและเรียบง่าย นี้คือความสูงส่งและยิ่งใหญ่ของเพศนักบวชที่ผู้คนกราบไหว้บูชามาแต่บรรพกาล


           สำหรับบุคคลที่ยังไม่อาจสละเพศฆราวาส หรือสามารถมาดำรงชีวิตอันเรียบง่ายในรูปแบบของนักบวชตามอุดมคติได้  เราอาจเป็น "นักเรียนเตรียมแห่งความเรียบง่าย" ไปพลางก่อนคือเตรียมใจ อย่างน้อยต้องไม่เห็นแก่กินแก่นอน  การใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยแต่ละวันที่เคยเอาแต่ตะรอนๆ ก็ค่อยๆเริ่มผ่อนลงมาและลดความฟุ่มเฟือยอันเกินความจำเป็นลงไป นี้คือ "การบวชใจ" ที่มีความสำคัญยิ่งนักก่อนที่จะบวชกายเมื่อมีเหตุพร้อมมูล


            การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เป็นคนละอย่างกับการตระหนี่ถี่เหนียว  ทั้งไม่ใช่การเห็นแก่ตัวและการรักสบาย  เพราะคนที่จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเรียบง่าย  จะต้องมีความแยบคาย มีความคมชัดของสติและปัญญากำกับ รู้ว่าอะไรคือความจำเป็นและอะไรคือสิ่งเกินความจำเป็น


           คนที่มีความเรียบง่าย จะมีความสุขความร่มเย็นในจิตใจ จะมีความเสียสละและมีความเมตตาต่อผู้อื่นอยู่ในตัว  อันเป็นคุณสมบัติอันสำคัญข้อหนึ่งของความเข้าใจในชีวิตอันลึกซึ้งว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นและสำคัญสำหรับชีวิต  และรู้ชัดว่าแท้จริงแล้วชีวิตนี้ต้องการอะไร


          การทำชีวิตให้เรียบง่าย หมายถึงการเริ่มลงมือตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งอันทำให้เรามีความเครียดหรือสร้างปัญหาในชีวิตออกไปเสีย  อย่ามัวโลเลหรือลังเลที่จะเอาทุกอย่างโดยไม่ยอมสละหรือยอมเสียสิ่งใด  เพราะปัญหาจะยิ่งพอกพูนและท่วมทับตัวเองมากยิ่งขึ้นไป  อันเกิดจากความไม่กล้าที่จะยอมเสียอะไรและความโลภที่จะเอาให้ได้ในทุกสิ่ง


           ชีวิตที่เรียบง่ายในเพศฆราวาส หมายถึงว่า  การเรียนรู้ที่จะรู้จักปฏิเสธงานสังคมที่รู้สึกพิอักพิอ่วนออกไป  เริ่มเอาเวลาที่หายไปกลับคืนสู่ครอบครัวให้มากขึ้น เริ่มให้ความสำคัญกับความรักความอบอุ่นมากกว่าความก้าวหน้าหรือความสำเร็จที่เคยมุ่งมั่นตลอดมา เริ่มรู้จักที่จะหัดทำสวนดายหญ้า ปลูกต้นไม้  หัดทำกับข้าว หรือหัดซักผ้าด้วยตัวเอง แล้วเกิดความสุขและความภาคภูมิใจ ที่ได้ทำอะไรด้วยมือตนเอง เพียงเท่านี้ชีวิตก็จะเริ่มช้าลงและเรียบง่ายแล้ว


              การทำงานด้วยมือของตนเองอย่างมีสติ  เป็นการฝึกสมาธิตามแบบธรรมชาติที่คนสมัยนี้ส่วนใหญ่มองข้ามไป


             แทนที่จะมัวแต่นั่งสมาธิหรือกำหนดการเดินไปเดินมาอย่างช้าๆโดยไม่ทำอะไร เราอาจฝึกสติในรูปแบบใหม่  โดยการทำงานอย่างมีสติ ไม่ใส่ใจเรื่องของใครหรือเรื่องราวอื่นใดในภายนอก  นี้คือการฝึกสมาธิแบบธรรมชาติ  ไม่ต้องอาศัยรูปแบบ  เป็นสมาธิที่ใช้ในการทำงาน


            สมาธิเช่นนี้จะตั้งมั่นอยู่ได้นานและมั่นคงยิ่งนัก  จะช่วยคุ้มครองรักษาใจของเราให้สงบและแจ่มใสได้ตลอดทั้งวัน  เป็นสมาธิที่สามารถทำการงานไปพร้อมกับการรู้ตื่นเบิกบานอย่างเป็นธรรมชาติและอิสระในทุกอิริยาบถ


           จงจำไว้ว่า  มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเรายุ่งยากวุ่นวาย  คือการที่เราไม่ยอมฟัง "เสียงในใจของเรา" ที่คอยบอกคอยเตือนเราว่าเราควรทำอย่างไรที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น  เรามักพยายามหลอกตัวเองและพยายามจะไม่ได้ยินมัน  ทั้งๆที่เสียงที่ส่งออกมาจากภายในนั้นซื่อสัตย์และซื่อตรงยิ่งนัก ไม่เคยทรยศหักหลังเราเหมือนเสียงของมนุษย์ด้วยกัน


            จงทำชีวิตของเราให้เรียบง่าย  กล้าสละสิ่งทั้งปวงที่สุมเราอยู่จนหายใจแทบไม่ออกในเวลานี้ออกไป  ค่อยๆประกาศอิสรภาพจากความพะรุงพะรังทั้งหลาย  หากกำลังใจเข้มแข็งพอก็จงกล้าสละสิ่งอันหนักหน่วงบนสองบ่าทิ้งลงไป  แล้วไปนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้อย่างสบายใจคอยมองพระอาทิตย์ยามตกดิน


            อย่าสำคัญตัวจนเกินความเป็นจริงว่าโลกทั้งโลกจะขาดเราไม่ได้  เป็นเพียงอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นด้วยโมหะบางประการต่างหากที่เป็นกับดักและพันธนาการเราไว้   เพียงกล้าเป็นตัวของตัวเองเพื่อแลกเอาอิสรภาพและความสบายใจ  ธรรมชาติย่อมให้พรและอวยชัยแก่ผู้รักอิสรภาพภายในอย่างแน่นอน  ธรรมชาติย่อมโปรดปรานมนุษย์ผู้มีความเป็นธรรมชาติ


              เพียงทำชีวิตให้เรียบง่าย  ความสบายกาย ความสบายใจก็หลั่งไหลเข้าสู่ชีวิตของเราแล้ว   นี้คือทางออกและทางรอดของชีวิตที่พระอริยเจ้าทั้งหลายพยายามชี้ทางให้เราเดิน จนไปสู่ความรู้ตื่นเบิกบานและอิสระเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง

 

                                                                         คุรุอตีศะ
                                                                ๒๒  สิงหาคม  ๒๕๕๗