สมาธิภาวนาคือปล่อยวาง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
สมาธิภาวนาคือปล่อยวาง
จงหลากไหลไปกับสายน้ำ ร่วมทางไปกับสายน้ำอย่างไร้เงื่อนไข มอบตนเองอย่างสิ้นเชิงให้แก่สายน้ำที่กำลังไหลไป ไม่จำเป็นแม้แต่จะออกแรงแหวกว่าย เพราะสายน้ำทุกสายล้วนกำลังมุ่งไปสู่มหาสมุทรสีทันดร
มหาสมุทรนั้นหมายถึงโลกุตรธรรมอันเยี่ยมยอด เราจะปลอดโปร่งเบาใจก็ต่อเมื่อได้บรรลุถึงมหาสมุทรแล้วเท่านั้น หาไม่เราก็ไม่อาจอิ่มเอิบหัวอย่างแท้จริงได้เลยในแต่ละวัน ด้วยเหตุที่เรายังคงมีขอบเขตและข้อจำกัดเป็นกรงขังให้แก่ตัวเอง
ขอบเขตและกฎเกณฑ์ทั้งมวล แท้จริงแล้วล้วนเป็นพันธนาการให้จิตดวงนี้ไร้อิสระทั้งสิ้น เหมือนดั่งนกที่อยู่ในกรงทองไม่ต้องลำบากในการหากิน แต่ก็ทำให้ไร้อิสรภาพในการที่จะโบยบินไปในโลกกว้างได้อย่างอิสระและสง่างาม
เมื่อใดก็ตามที่สายน้ำไหลลงสู่มหาสมุทร เมื่อนั้นมันย่อมกลับกลายเป็นความยิ่งใหญ่ไพศาล นั่นคือจุดมุ่งหมายปลายทางแห่งการปฏิบัติหรือสมาธิภาวนา
คือการช่วยเหลือเพื่อให้เธอบรรลุถึง อาณาจักรแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ภายในหัวใจของเธอ ให้เธอบรรลุถึงความความเมตตาอันไพศาลไร้ขอบเขต บรรลุถึงสิ่งที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเรียกขานได้ ซึ่งธุลีแห่งความทุกข์ทั้งหลายจะไม่มาแผ้วพานเธอ
มนุษย์สร้างชีวิตของตนขึ้นมาบนผืนทรายแห่งความฝัน แท้จริงแล้วเราต่างเหมือนเด็กเล่นบ้านน้อยที่อีกสักพักก็เลิกราแล้วไปเล่นอย่างอื่นกัน เราต่างสร้างบ้านในความฝันบนหาดทราย ครู่เดียวคลื่นก็ซัดพังทลายและจมหายไปกับน้ำทะเล
ด้วยเหตุนี้หลายสิ่งหลายอย่าง ที่เรามุ่งมั่นบากบั่นสร้างขึ้นมาซึ่งดูเหมือนช่างยิ่งใหญ่ พอไม่นานก็รู้สึกว่ากลวงเปล่าและดูไร้ความหมายไปสิ้น สิ่งต่างๆช่างเหมือนกับปราสาททรายที่เพียงชั่วยามก็พังทลายลง ไม่มีสิ่งใดจีรังมั่นคง ทุกสิ้นล้วนตั้งอยู่ชั่วคราวแล้วหายวับไปกับตา
เราเป็นเด็กเล่นสร้างบ้านบนหาดทรายมามากแล้ว แม้จะพากเพียรก่อเจดีย์ทรายสักกี่ครั้งหรือกี่หน สุดท้ายแล้วเจดีย์ทรายบนชายหาดก็ไม่เหลือความคงทน เพียงสายลมสายฝนพัดมาหรือคลื่นซัดก็พังทลาย
บัดนี้ เราจงเริ่มตระหนักถึงสัจธรรมของชีวิต จงตระหนักว่าเรามิได้อยู่แยกต่างหากจากสรรพสิ่ง ทว่าเรากลับมีชีวิตด้วยความคิดที่ว่าเรามีตัวตนแยกขาดออกมาจริงๆ ความคิดแบบแบ่งแยกเช่นนี้เองคืออัตตา อันเป็นต้นเค้าแห่งความทุกข์ที่แท้จริง เพราะจิตนี้แยกตัวออกจากสรรพสิ่ง ไม่ยอมหลอมรวมเป็นหนึ่งกับมหาสมุทรอันเป็นจิตเดิมแท้
เพราะเราไม่เข้าใจว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งทั้งมวล เราจึงรู้สึกหวาดกลัวในการดำรงชีวิตอยู่ในแต่ละวัน กลัวอนาคต กลัวว่าวันหนึ่งเราจะต้องสิ้นชีวิตลง สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดแต่ความคิดอันมีมูลมาจากอัตตาทั้งสิ้น
เมื่อใดดวงจิตพบกับความว่างอันสงบลึกซึ้ง จิตเดิมแท้มีความเป็นหนึ่งเดียวกับความเป็นทั้งหมด เมื่อนั้นย่อมไม่มีอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต มีแต่ความสว่าง สงบ และรู้ ตื่น เบิกบาน ที่ไม่ต้องการคำอธิบาย และรู้ได้เฉพาะตนอยู่ภายใน
นี้คือสุญญตาสมาธิภาวนา ที่ปล่อยวางอดีต อนาคตและสรรพสิ่งโดยไร้การกำหนด ไร้การมั่นหมาย จิตดวงนี้ไม่ใส่ใจแม้คำว่าปัจจุบันให้วุ่นวาย เพราะรวมเอาความหมายของทุกสิ่งอยู่ในนั้นพร้อมสรรพ โดยไม่ต้องอาศัยอักษรหรือเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นวาจาให้ต้องมีมลทิน
ดุจดั่งระลอกคลื่นในท้องทะเล มันดำรงอยู่ในทะเลก่อนที่จะผุดขึ้นมาเพราะแรงลมเสียอีก เมื่อมันสงบราบเรียบลงเพื่อกลับไปพักผ่อน มันก็ยังคงอยู่ที่นั่นไม่ได้ไปไหน ทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเป็นเพียงภาพลวง ดุจเดียวกับคลื่นที่ยังคงดำรงอยู่เสมอ เพียงบางครั้งก็สงบกายเพื่อพักผ่อน บางครั้งก็สำแดงตนออกซึ่งพลังอำนาจและวาดลวดลายลีลา
เราต้องเรียนรู้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งมวล เราคือคลื่นในมหาสมุทรที่เป็นหนึ่งเดียวกับท้องทะเล เราไม่อาจมีความมุ่งหมายหรือแยกขาดจากสรพสิ่งได้ นี้คือรหัสนัยแห่งการภาวนา
เมื่อใดที่ประจักษ์ถึงความจริงข้อนี้ ความวิตกกังวลที่เคยมีมากมายก็จะสูญสิ้นไป หามีสิ่งใดให้ต้องกังวลไม่ เพราะนี่คือบ้านของเรา เราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
สมาธิภาวนา หมายถึงการได้เรียนรู้ว่าเรามิได้มีชีวิตหรือดำรงอยู่แยกขาดจากชีวิตอื่นและสรรพสิ่ง เราหาใช่เกาะแก่งอันโดดเดี่ยวกลางทะเลแต่อย่างใด หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของผืนทวีปอันกว้างใหญ่ ที่อุดมด้วยความรักและความอบอุ่นตลอดมา
คุรุอตีศะ
๔ สิงหาคม ๒๕๕๗