วัดที่แท้จริง

วัดที่แท้จริง

 


                  คำว่า  “ วัด ”  ที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ที่โบสถ์ วิหาร หรือศาลา ไม่ได้อยู่ที่การมีพระจำนวนมากหรือน้อย ไม่ใช่การบริจาคเงินบ่อยๆ ไม่ใช่การคอยถวายสังฆทานอย่างที่หลายคนมักเข้าใจ แต่วัดที่แท้จริงของพระพุทธองค์ คือ “วัดใจ” ของเราว่า มีความสุข สงบ ร่มเย็นภายในเพียงใดต่างหาก


               เมื่อไปวัด อย่าไปติดความเป็นวัดที่ความใหญ่โตหรูหราทางวัตถุภายนอก ไม่ใช่การคอยสนใจไต่ถามว่า โบสถ์ ศาลา วิหาร สร้างหมดเงินไปกี่ล้าน ไม่ใช่การพยายามมีกิจกรรม การคอยหาโอกาสได้แสดงบทบาทหรือแสดงความสำคัญ และไม่ใช่ไปวัดเพื่อแสวงหาความสนุกสนานชื่นบาน แต่คือ การรู้จักมองเข้ามาดูจิตดูใจของตัวเองภายในว่า  ความโลภ โกรธ หลง ที่สั่งสมมายาวนาน  บัดนี้ ได้ลดน้อยถอยลงไปพอให้รู้สึกอบอุ่นใจบ้างหรือยัง


           เราทั้งหลายเมื่อไปวัด  ส่วนใหญ่มักพากันไปติดภาพลักษณ์หรือความเจริญทางวัตถุและการสรรหากิจกรรมทำในภายนอก เราไปวัด มักไปถึงแค่วัดภายนอกกันเป็นส่วนใหญ่  น้อยนักที่จะคำนึงและใส่ใจกับ “วัดภายใน” คือการมีสติระลึกรู้กายและใจในแต่ละขณะ อันเป็นวัดของพระอริยเจ้าดั้งเดิมและเป็นวัดอันแท้จริง


           ถาวรวัตถุทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นศาลา โบสถ์ วิหาร  สิ่งเหล่านั้นยังหาใช่วัดที่แท้จริงแต่อย่างใดไม่ เพียงเป็นองค์ประกอบที่เปรียบประดุจ “เรือนแหวน”ของเพชรน้ำหนึ่ง คือ วัดภายใน   อันเป็นผลและอานิสงส์ของการฝึกใจ ที่มหาชนได้สร้างไว้เพื่อบูชาปวงเหล่าพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านได้ฝึกฝนจิตใจจนใสสะอาดแล้วตามรอยพระพุทธองค์


          การกตัญญูรู้คุณของผู้ได้ฟังพระธรรมแล้วพบความสว่างในชีวิต ด้วยดวงจิตที่ซาบซึ้งและปรารถนาจะตอบแทนคุณพระศาสนา เขาจึงพากันสร้างวัตถุตามกำลังของตนเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จึงมีผู้สร้างวัตถุไว้ในพระศาสนาเพื่อแสดงการบูชาต่อความบริสุทธิ์ของท่านมาแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน


          กาลเวลาต่อมา ปุถุชนที่บวชเป็นสมมุติสงฆ์ทั้งหลาย ก็อาศัยมรดกของพระอริยเจ้าที่พากเพียรสร้างความเลื่อมใสให้เกิดขึ้นในใจของผู้คนด้วยความยากลำบากเหล่านั้น ต่างก็ได้พากันอาศัยศาสนาและใช้สอยบริโภคลาภสักการะอันเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา  ต่อเนื่องกันมาในภายหลังอย่างสะดวกสบายทุกวันนี้  จนในเวลานี้ต้นโพธิ์ต้นนี้เริ่มทรุดโทรมลงอย่างหนักและน่าใจหายเต็มที


           ไม่ว่าการบิณฑบาต ที่คนทั้งหลายได้มีโอกาสทำทานบำเพ็ญกุศลจิตในยามเช้า และมองเป็นภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นประเพณีในทุกวันนี้ ก็เพราะได้อาศัยบารมีของพระอรหันต์และพระอริยบุคคลที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ได้บากบั่นอุตสาหะสร้างศรัทธาไว้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง อานุภาพแห่งดวงจิตอันบริสุทธิ์ของท่าน จึงทำให้การบิณฑบาตกลายเป็นสิ่งที่ควรเคารพและกลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์


         จากแต่เดิมที่ผู้คนอาจปรามาสพระอริยเจ้าผู้เริ่มบุกเบิกเหล่านั้นว่า “ ขอทานเขากิน “ เพราะเขายังไม่รู้คุณค่าความสูงส่งแห่งดวงจิตของท่าน จนกระทั่งท่านได้เมตตาอบรมสั่งสอนพวกเขาที่ดวงจิตเคยเต็มไปด้วยอวิชชาความมืดมิด จนดวงใจเกิดสติและเกิดปัญญา เกิดความใสสว่าง เขาจึงพากันใส่บาตรถวายอาหารแก่ท่านด้วยความเคารพในเวลาต่อมา


          จึงได้เกิดประเพณีทำบุญตักบาตรด้วยความอิ่มใจและเต็มไปด้วยอาการเคารพบูชา ซึ่งคนธรรมดาที่บวชเป็นสมมุติสงฆ์ทั้งหลาย เพียงผ่านพิธีกรรมอุปสมบทเดินออกจากพระอุโบสถเพียงธรณีประตูเท่านั้น ก็มีสิทธิ์ได้รับมรดก คือสามารถออกบิณฑบาตได้อย่างเต็มภาคภูมิและสง่างามดุจเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลายกลายเป็นประเพณีจนผู้คนเคยชิน


          นี้คือ ผลแห่งการสร้างวัดภายในของปวงเหล่าพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านได้สร้างสำเร็จแล้วกลางป่า ไม่ได้มีโบสถ์ ไม่ได้มีกุฏิ ไม่มีศาลา ต้องตรากตรำและผ่านความเป็นความตายของเหล่าภูตผีปีศาจและสัตว์ร้าย ต้องอดทนต่อความเจ็บไข้อยู่คนเดียวเจียนตาย และผ่านความแร้นแค้นบีบคั้นของความทุกข์ยากและดินฟ้าอากาศมาอย่างมากมาย


          จึงสามารถเกิดพลังแห่งความดีและความสูงส่งบริสุทธิ์แห่งดวงจิต เกิดอานุภาพจนมีผู้คิดเห็นคุณและศรัทธาเลื่อมใส จนเขาสามารถละความตระหนี่และตัดสินใจสละทรัพย์อันแสนหวงแหนของตนออกไปในการบริจาคเพื่อสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลา และถาวรวัตถุ  บูชาคุณธรรมของท่านอย่างใหญ่โตในภายหลัง  นี้คือผลแห่งการสร้างวัดภายในแล้วทำให้วัดภายนอกเกิดขึ้นตามมา ตามแบบอย่างพระอริยเจ้าผู้สืบอายุพระพุทธศาสนามาแต่โบราณกาลอย่างแท้จริง


          ดังนั้น เมื่อไปวัด เราจึงต้องไป “ วัดใจ “ ของเราเป็นอันดับแรก  วัดว่า เราจะทนต่อความลำบาก ความไม่สะดวกสบาย ได้มากเพียงไหน เราจะนอนกับพื้นดินพื้นหญ้า ถูกฝนสาด อย่างรู้สึกว่าช่างเป็นความผาสุกได้อย่างไร  เราจะขอตั้งต้นฝึกฝนจิตใจตามอย่างพระอริยเจ้าทั้งหลาย ได้เพียงเศษเสี้ยว แห่งความบริสุทธิ์สูงส่งของท่านเพียงสักนิดก็ยังดี


          ต่อไปนี้ เมื่อไปวัด เราจงตระหนักและมีสติว่าเราจะมุ่งไปขัดเกลาจิตใจของตัวเองให้มีความองอาจในความดีและมุ่งเจริญสติเพื่อรักษาใจของตนให้มีความผ่องแผ้ว เราจะพยายามลดความสำคัญทางวัตถุและความเคยสะดวกสบายลงไป เราจะพยายามขัดเกลาจิตใจที่ไม่เคยลงให้ใคร แต่ต่อไปนี้จะยอมลงให้แก่พระธรรมเพื่อสร้างสรรค์ที่พึ่งอันประเสริฐและแท้จริงของเรา


          เราจะไม่ไปวัดเพื่อหาความสะดวกสบาย หรือหาความถูกใจเหมือนใครต่อใครอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว  เราจะสร้าง “วัดภายใน” ให้เกิดความร่มเย็นภายในใจของเราทีละน้อยตามอย่างพระอริยเจ้า เราจะมีสติและอดทนอดกลั้นต่อบรรดาสิ่งทั้งหลายที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่เราจะเรียนวิชา “ถูกขัดใจ“ จนทิฏฐิมานะลดน้อยถอยลงไปให้ช่ำชองจนกว่าจะกลายเป็นพระอริยบุคคลในวันหนึ่ง   เพราะนี้คือที่พึ่งอันแท้จริงที่ชาตินี้เรามีวาสนาได้พบแล้ว


           เราจะไปวัดเพื่อ “ วัดใจ “ ของเราตั้งแต่บัดนี้ เราจะไปวัดเพื่อให้ครูบาอาจารย์ท่านอบรมและขัดเกลาเสมือนเป็น “มาตรวัด” หรือ “ไม้บรรทัด” อย่างเต็มที่ เราจะไปวัด เพื่อสร้างพลังแห่งกรรมดี ต่อไปนี้ เราจะไปวัดที่แท้จริงอันยิ่งใหญ่ คือมีหลักสำคัญในการไปวัดเพื่อ “ วัดใจ “ ของเราเอง

 

                                                 ชาวเราเอ๋ย ต่างพา กันมาวัด
                                             เราจะวัด อะไร ตรงไหนหนา
                                             คำว่า “วัด” หาใช่โบสถ์ หรือศาลา
                                             แต่ “วัด” ว่า “ความร่มเย็น” มีเพียงใด ฯ

 

                                                                            คุรุอตีศะ
                                                                     ๑  สิงหาคม  ๒๕๕๗