กำลังใจท่ามกลางพายุ

กำลังใจท่ามกลางพายุ

 


              ได้ทราบข่าวการบินไทยปลดพนักงานจำนวน ๙๐๐ คน  และอาจจะมีการปลดพนักงานในระยะต่อไปอีกไม่ทราบจำนวนเท่าไหร่ เพื่อเดินเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการที่กำลังประสบปัญหาการขาดทุนอย่างหนัก เพราะพิษเศรษฐกิจที่กำลังลุกลามไปทั่วทุกวงการ


              ทำให้นึกถึงเพื่อนฝูงที่เคยรู้จักในสมัยเป็นฆราวาส ที่ลาออกจากราชการไปทำงานการบินไทยบ้าง การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยบ้าง วิทยุการบินแห่งประเทศไทยบ้าง  หรือบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยบ้าง ว่าบัดนี้แต่ละคนจะยังคงร่ำรวยอยู่ดีมีสุขหรือมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานและครอบครัวประการใดบ้าง


             การได้ลาออกจากราชการที่เงินเดือนเพียง ๒,๐๐๐ บาท  แล้วได้มีโอกาสสอบผ่านเข้าไปทำงานในบริษัทการบินไทยได้  โดยมีเงินเดือนขั้นต้น ๘,๐๐๐ บาท พร้อมยังมีโอกาสทำล่วงเวลาและมีสวัสดิการสิทธิพิเศษหลายอย่างในสมัยนั้น  ถือว่าผู้นั้นโชคดีมากและเป็นที่อิจฉาของผู้คนทั้งหลายยิ่งนัก


               เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็มีสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้ สิ่งที่เคยมั่นใจว่ามีความมั่นคง กลับต้องมาเผชิญกับความไม่มั่นคงขึ้นมาจนได้ นี้แหละคือสัจธรรมความจริง ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านพยายามชี้บอกให้เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่งตลอดมา


             ขนาดรัฐวิสาหกิจที่รัฐต้องอุดหนุนค้ำชูโดยตรงยังต้องประสบชะตากรรมอย่างนั้น  แล้วผู้คนอีกมายในสังคมที่ชีวิตความเป็นอยู่มีหลักประกันอันง่อนแง่น หรือไร้หลักประกันตลอดมา เขาเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก และพบกับความกดดันเคร่งเครียดในชีวิตสักเพียงใดหนอ  ทำให้อดรู้สึกเป็นห่วงผู้คนทั้งหลายที่กำลังว่ายน้ำต้านกระแสคลื่นมรสุมชีวิตอยู่ในขณะนี้มิได้


            ในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งที่ชีวิตมีหลักประกันอันง่อนแง่นมาแต่เด็ก เรียนหนังสือแม้จะเรียนเก่งสอบได้ที่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รีดชุดนักเรียนและไม่มีเงินไปซื้อขนมกินตอนกลางวันเหมือนคนอื่นเขา  แม่เคยห่อข้าวกับปลาร้าให้ไปกินโรงเรียน ต้องรอให้เพื่อนไปโรงอาหารหมดเสียก่อน ค่อยแอบเอาปลาร้าออกมากินกับข้าวด้วยความระมัดระวังอยู่หลังห้อง  พอดีมีเพื่อนมาเจอกำลังฉีกปลาร้าอย่างมีสมาธิและเอร็ดอร่อย จึงถูกเพื่อนล้อและตะโกนบอกคนอื่นว่า “เฮ้ย มาดูคนกินข้าวกับปลาร้า” ก็เลยวิ่งไล่เตะเพื่อนจนทั่วห้อง เพราะความโกรธและอับอายก็เคยทำมาแล้ว

 
             พอมาบวชก็ยิ่งได้พบกับชีวิตที่ไร้หลักประกันใดๆ  เคยอดข้าวจนตาลายอยู่ในป่าเพียงคนเดียวอยู่หลายครั้ง พอมาตั้งสำนักก็ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว มีแต่ “บาตร”ใบเดียว ที่เที่ยวขอทานเขากินในตอนเช้าและคอยเป็นเพื่อนแท้ยามยากตอนกลัวผีเมื่อธุดงค์ไปอยู่ป่าช้าตามลำพัง


            ชีวิตที่หาหลักประกันและความมั่นคงมิได้ ยังตามหลอนหลอกต่อไป เมื่อต้องนั่งและนอนอยู่ในแคร่ภายใต้หลังคาหญ้าคาและเสาไม้ไผ่สี่ต้น  เมื่อจะเดินออกมาก็ต้องก้มลงเหมือนตาแก่หลังโกง  เขาทำให้แต่หลังคา แต่ไม่ได้ทำฝาให้ เพราะเขาคาดว่าอยู่ไม่นานเดี๋ยวก็คงสึกไป เวลาฝนสาดก็มีคนวิ่งหาสังกะสีมาแปะให้พอกันฝนตลอดพรรษา แต่ก็แสนสุขอุราอย่าบอกใคร


          ในฐานะที่เคยมีชีวิตอยู่กับหลักประกันอันง่อนแง่น และแทบไม่มีความมั่นคงมาก่อนจนเคยชินอยู่เป็นนิจ แม้บวชแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่มีเงินฝากในบัญชีส่วนตัวพอจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์ นอกจากเงินนิตยภัตที่ทางสำนักพุทธฯเขาอำนวยความสะดวกจัดการให้  ชีวิตที่เผชิญอยู่แต่กับความไม่มั่นคงและไร้หลักประกันใดๆตามที่พรรณนามา  ก็อยากปลอบขวัญและให้กำลังใจต่อทุกคนที่บัดนี้เริ่มรู้สึกว่าความมั่นคงและหลักประกันในชีวิตของตนเริ่มสั่นคลอน


          ขอให้ทุกคนอย่าหมกจมอยู่แต่กับความทุกข์ของตัวเอง  ผลกระทบที่เราแต่ละคนต่างเริ่มได้รับผลกระทบอยู่นี้  คือความทุกข์ยากที่เริ่มได้รับผลอย่างทั่วถึงกันไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน หลังจากเดือนสิงหาคมไปแล้วยิ่งจะเห็นผลกระทบที่เด่นชัดขึ้นไป  ดังนั้น  จงเหลียวมองผู้คนเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมชะตากรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้กว้างออกไป  จะมองเห็นแววตาแห่งความวิตกกังวลของทุกคนที่ต่างพยายามซ่อนไว้ แต่เผลอฉายแววเศร้าๆคล้ายๆกับตัวเราออกมา


            ขอให้คิดว่าพายุร้ายที่กำลังถาโถมโหมกระหน่ำอยู่ในเวลานี้  คือสิ่งที่เราทุกคนไม่อาจหลีกหนีเพราะคือนี้ความจริงที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า  ตามที่เคยพูดไว้หลายเดือนแล้วว่าเมื่อวิบากกรรมของบ้านเมืองถึงคราวจะเสวยผลแห่งกรรม ที่คนในชาติส่วนใหญ่ได้กระทำร่วมกันมา วิบากกรรมนั้นจะดลบันดาลให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองตัดสินใจผิดพลาด เห็นกงจักรเป็นดอกบัวแล้วกระทำในสิ่งที่นำผลร้ายมาสู่บ้านเมืองอย่างไม่คาดคิด นี้คือกฎแห่งกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง


            คนที่เสวยสุขสนุกสนานตลอดสิบปียี่สิบปีที่ผ่านมา  เคยท่องเที่ยวไปทั่วประเทศไทยหรือเคยไปเดินห้างถึงต่างประเทศ  จงคิดว่าบัดนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องใช้ชีวิตให้สมถะและเรียบง่ายให้ต่างจากเดิมและลดความสุรุ่ยสุร่ายลงไป  ส่วนคนที่อยู่ในชั้นรากหญ้าที่อาจตกงานก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังหมดกำลังใจ  จากเคยกินหมูกินไก่  ก็จงยอมลดการกินการอยู่ลงไป แล้วหันมากินปลาเค็มหรือปลาร้าตามที่เคยกินดูบ้างก็อร่อยดีเหมือนกัน


            สิ่งสำคัญไม่ว่าคนเคยรวยหรือคนเคยจน  ต้องอย่าเอาฐานะ รายได้ ความเป็นอยู่ในปัจจุบันของตนไปเปรียบเทียบกับสมัยที่เศรษฐกิจของบ้านเมืองยังสดใส  ต้องอดทนและเจียมเนื้อเจียมตัวให้ได้จนถึงวันที่  ๒๑  เมษายน  ๒๕๕๘ ความอึดอัดฝืดเคืองก็จะเริ่มผ่อนคลาย ถ้าว่าตามโหราศาสตร์ บ้านเมืองจะเริ่มเข้าสู่กระแสของยุคใหม่ ในวันที่  ๑๒  กรกฎาคม  ๒๕๕๘ และจะก้าวสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ตามคำทำนายอย่างชัดเจนในปี ๒๕๖๐ นี้คือดวงชะตาของบ้านเมืองตามที่ผู้รู้ท่านกล่าวไว้


             พายุจะพัดกล้าสักเพียงใด  มรสุมจะโหมกระหน่ำสักเพียงไหน  คลื่นลมจะถาโถมเกรี้ยวกราดสักปานใด  พายุ มรสุม และคลื่นลมเหล่านั้น  มิอาจมาโยกโคลงหรือทำลายนาวาคือหัวใจดวงนี้ ที่มั่นคงด้วยสติและคุณธรรมซึ่งไม่เคยหวั่นไปตามพายุหรือแรงลม


           ในท่ามกลางพายุกล้าที่โหมกระหน่ำ ในขณะนั้นเราอาจมองไม่เห็นช่องทางที่จะเดินไป  จงอยู่นิ่งๆด้วยความมีสติมั่นคงไม่หวั่นไหว  สุดท้ายพายุร้ายก็จะพัดผ่านเราไปและสงบลงเอง

 

                                                                   คุรุอตีศะ
                                                         ๓๐  กรกฎาคม  ๒๕๕๗