เส้นทางชีวิต

เส้นทางชีวิต

 


                นักปราชญ์ทางจิตวิญญาณ หรือผู้รู้แจ้งในสัจธรรมของชีวิตทั่วทั้งโลก  ต่างกล่าวในทำนองเดียวกันว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของมนุษย์  หาใช่การแสวงหาทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจเกียรติยศใดๆ อย่างที่ชาวโลกทั้งหลายต่างพากันนิยมยินดี ในการดิ้นรนแสวงหาอย่างที่เห็นกันอยู่ทั่วไปแต่อย่างใดไม่


               สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต คือการเจริญสติสมาธิภาวนา เพื่ออยู่กับความรู้ ตื่น เบิกบานภายในต่างหาก คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด  สิ่งอื่นนอกจากนั้นล้วนเป็นสิ่งสำคัญรองลงไปทั้งสิ้น


              แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ ล้วนทำในสิ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้รู้แจ้งหรือนักปราชญ์กล่าวไว้  ด้วยเหตุนี้การที่จะมีผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ หรือที่จะยินดีในการดำเนินไปตามมรรคาแห่งอริยะ จึงหาได้ยากนักดุจเขาโค  ส่วนผู้คนที่มุ่งมั่นแสวงหาทรัพย์สินเงินทองและอำนาจเกียรติยศกลับหาได้ง่ายและมีอย่างมากมายอยู่ทั่วไป ดุจเดียวกับจำนวนของขนโคซึ่งมีอยู่ทั่วทั้งตัวโค


              การที่จะมีใครสักคนหนึ่ง  เริ่มเกิดมีสติและสำนึกถึงความลึกซึ้งของชีวิต  จนกระทั่งเริ่มสำนึกถึงความจริงว่า  ชีวิตที่ผ่านมาที่เคยมุ่งมั่นในบางสิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายช่างดูกลวงเปล่ากลายเป็นโมฆะแทบหาสาระอันใดมิได้  แล้วดวงจิตเกิดความสำนึกอันสูงส่งขึ้นภายในหัวใจ  เหมือนกับการหงายของที่คว่ำไว้มาเป็นเวลานาน

 

              เกิดแสงสว่างในดวงใจ  ที่ไม่อาจอธิบายหรือบอกให้ใครเข้าใจความรู้สึกที่สว่างในดวงใจเช่นนี้ได้ แม้แก่สามีภรรยา พ่อแม่ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงคนสนิทของตัวเอง   จิตสำนึกอันสูงส่งเช่นนี้จะเกิดขึ้นมาได้ก็ด้วยอาศัยอานิสงส์แห่งการฟังธรรมแล้วเข้าใจในชีวิตเป็นการเริ่มต้นจุดประกาย


                 ผู้คนมากมายล้วนมีจุดมุ่งหมายคล้ายกันอย่างหนึ่ง นั่นคือการแสวงหาหลักประกันความมั่นคงของชีวิต  การที่อดทนพากเพียรเรียนหนังสือเพื่อให้จบตามขั้นตอนแม้ไม่อยากเรียน การพยายามทำงานอย่างหนักสายตัวแทบขาดแม้ไม่อยากทำ  การแต่งงานเพื่อผูกมัดชีวิตของตัวเองไว้กับใครคนหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแม้หัวใจที่แท้จริงส่วนหนึ่งก็ต้องการอิสระ ฯลฯ


               สิ่งเหล่านี้ก็คือ การยอมแลกเอาบางสิ่งเพื่อให้ได้ในสิ่งที่คาดหวังว่าชีวิตของเราจะได้มีหลักประกันความมั่นคง แม้สิ่งนั้นเราจะรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองต้องถูกจำกัดอิสรภาพหรือต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองอย่างแท้จริง  นี้ก็เพราะว่าเราต้องการความมั่นคงหรือต้องการหลักประกันในชีวิตนั่นเอง


             เส้นทางชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่จึงเดินอยู่ระนาบเดียวกัน  คือการดำรงชีวิตหรือดิ้นรนไปตาม "สัญชาตญาณ" ซึ่งมีเพียงการเจริญเติบโตทางร่างกายตามอายุและตามวัย


             น้อยนักจึงจะปรากฏชีวิตของใครสักคนหนึ่งที่เกิดการพัฒนาในแนวดิ่ง อันเป็นเส้นทางชีวิตที่เกิดการพัฒนาทางจิตวิญญาณ  เป็นการเจริญเติบโตแห่งความบริสุทธิ์ทางจิตใจ  การเจริญเติบโตในแนวดิ่งเช่นนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ฟังพระสัทธรรมแล้วเกิดสติหรือการตระหนักรู้ในความจริง  จนเกิด "เชาวน์ปัญญา" และพัฒนาไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรมอันเป็นขั้นตอนของ "ปัญญาญาณ" อันเป็นการเจริญเติบโตของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ขั้นสูงสุด


            การแสวงหาความมั่นคงหรือหลักประกันในชีวิต ด้วยการมีวุฒิการศึกษา  การมีอาชีพการงาน  การมีฐานะทางการเงินหรือทรัพย์สิน  การแต่งงาน ฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการแสวงหาหลักประกันหรือความมั่นคงในชีวิตในแนวราบ คือการเดินบนเส้นทางชีวิตในระดับที่เป็นไปตาม "สัญชาตญาณ"เท่านั้น


          ด้วยเหตุนี้ผู้คนส่วนใหญ่แม้จะมีอะไร ได้อะไร เป็นอะไรมากมาย แต่ก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาชีวิตและความกลัดกลุ้มใจไม่เว้นแต่ละวัน  เพราะสิ่งที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจลงไปทั้งหมดตลอดมานั้น  เป็นเพียงการเดินอยู่บนเส้นทางแห่ง "สัญชาตญาณ"  ยังไม่ได้เกิดการพัฒนาการขึ้นสู่ไปขั้นของ "เชาว์ปัญญา" และ "ปัญญาญาณ" อันเป็นความเจริญเติบโตและเป็นความสุขอันแท้จริงของมนุษย์แต่อย่างใด


          เพียงได้ตระหนักรู้ความจริงในข้อนี้  อันเกิดจากการได้ฟังพระสัทธรรมอันประเสริฐ  ชีวิตของผู้นั้นจะเริ่มเกิดการตระหนักและเริ่มมองเห็นแสงสว่างประดุจการหงายภาชนะที่คว่ำ นี้คือจุดเริ่มต้นแห่งการพัฒนา "เชาวน์ปัญญา"ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในหัวใจของเขา


          เขาจะเริ่มมองเห็นความจริงของชีวิตที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน  บางสิ่งที่เขาไม่เคยตระหนัก เขาจะเริ่มมองเห็นและรู้สึกตกใจยิ่งนักว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านตัวเองทำอะไรอยู่หนอ จึงไม่เคยมองเห็นความจริงในข้อนี้


         เขาจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าแสงสว่างบางอย่างได้เริ่มสาดส่องเข้ามาในหัวใจ  เขาจะรู้สึกขึ้นมาตามลำพังภายในใจว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาแสงสว่างทางปัญญาเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  ช่างเป็นโชค ช่างเป็นบุญ เป็นวาสนาอะไรเช่นนี้ ที่เราได้รู้จักและได้สัมผัสสิ่งนี้


        ในหัวใจของเขาจะเริ่มกลายเป็นดอกบัวที่แย้มกลีบและเต็มไปด้วยความปลื้มปีติและยินดี แม้ในสายตาของผู้คนในภายนอก เขาจะดูเหมือนยากไร้หรือไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไร  แต่เขาจะบอกกับตัวเองได้อย่างหนักแน่นและมั่นใจ โดยไม่มีความลังเลสงสัยอีกต่อไปว่าชีวิตของเขาจะไม่รู้สึกยากจนในสิ่งใดอีกแล้วไปจนตลอดชีวิต


         อย่าปล่อยให้ชีวิตจมปลักอยู่เพียงแค่ในระดับ "สัญชาตญาณ" ตามแนวราบ  จงหมั่นสดับพระสัทธรรมและเรียนรู้ในการพัฒนาจิตวิญญาณของเราในแนวดิ่ง  เส้นทางชีวิตจึงจะสมบูรณ์และได้รับคุณค่าแห่งการได้เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง


           เส้นทางชีวิตที่จะเกิดการเจริญเติบโตพัฒนาในแนวดิ่ง ย่อมเกิดจากการเจริญสติสมาธิภาวนา ตามที่นักปราชญ์หรือผู้รู้แจ้งในสัจธรรมความจริง ได้พากเพียรพยายามชี้ชวน พร่ำสอน ตักเตือนด้วยความรักความเมตตาอันสูงยิ่งตลอดมานั่นเอง

 


                                                                      คุรุอตีศะ
                                                             ๒๗  กรกฎาคม  ๒๕๕๗