ศาสนาคือหลักของใจ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ศาสนาคือหลักของใจ
ในช่วงของชีวิตที่มีแต่ความสุขสนุกสนาน หรือมีแต่ความสมหวังได้ดั่งใจทำอะไรก็สำเร็จ ย่อมมีคนจำนวนน้อยนักที่จะมองเห็นคุณของศาสนาหรือใฝ่ใจในบุญกุศลสร้างความดี
จนกว่าบุญกุศลที่สร้างไว้ในอดีตเริ่มถดถอยหรือหมดไป เกิดความทุกข์และความบีบคั้นในหัวใจ บุคคลนั้นจึงจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของหัวใจว่าชีวิตน่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเห็นคุณค่าของพระศาสนา
จิตใจจะเริ่มแสวงหาสัจธรรมของชีวิต เริ่มมองหาความสุขที่ประณีตยิ่งกว่าวัตถุสิ่งของภายนอกที่ตนเคยได้รับและเสวยสุขตลอดมา การเริ่มสำนึกว่าชีวิตที่ผ่านมาของตนยังไม่ค่อยมีสาระและการเกิดมาในชาตินี้ควรจะทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ นี้คือรุ่งอรุณของจิตใจที่เริ่มใฝ่ในเส้นทางแห่งอริยะ แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่รู้ปริยัติหรือไม่เคยได้บวชเรียนในวัดมาก่อน
มีการโต้เถียงกันในสังคมว่า "ไม่มีศาสนาได้ไหม?" ซึ่งเกิดจากการปะทะกันของแนวคิดของผู้ที่ต้องการทำอะไรตามใจตัวเองอย่างเสรี กับผู้ที่ต้องการให้ผู้คนประพฤติอยู่ในกรอบของศีลธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดี ฝ่ายที่ต้องการความอิสรเสรีก็จึงตั้งคำถามและรุกรานเอากับผู้ที่เคร่งศีลธรรมและประเพณีว่าตนไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้
อันที่จริงแนวความคิดว่า "ไม่ต้องมีศาสนาหรือไม่ต้องไปวัดก็เป็นคนดีได้" นี้ เขามีการต่อสู้กันและเกิดมีมาตั้งแต่สมัยยุโรปเมื่อสามร้อยปีมาแล้ว คือมีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการสลัดตัวเองออกจากการครอบงำและอิทธิพลของศาสนาโดยมีแนวคิดว่า "มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมา สามารถแสวงหาปัญญาและกำหนดชีวิตของตนเองได้ โดยไม่ต้องอาศัยพระเจ้าองค์ใดมาคอยกำหนด" ซึ่งบุคคลเหล่านี้คือผู้มีสติปัญญาเป็นตัวของตัวเองและสามารถพึ่งพาตัวเองได้
บุคคลเหล่านี้คือนักวิทยาศาสตร์รุ่นบุกเบิกในเวลาต่อมา นักวิทยาศาสตร์ที่เราเคยเรียนและรู้จักกันดีก็เช่น กาลิเลโอ ที่พยายามต่อสู้กับคำสอนในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่าโลกแบน แต่กาลิเลโอค้นพบและพิสูจน์ความจริงได้ว่า โลกกลม แต่เขาถูกบังคับให้เลิกความเชื่อนี้ มิฉะนั้นจะต้องตายด้วยการถูกประหารชีวิต เพราะมีความผิดที่มีความเชื่อนอกรีตจากพระคัมภีร์กล่าว เขาจึงยอมเปลี่ยนคำสอนนี้เพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่ในบั้นปลายเขาก็แอบบันทึกไว้ท้ายหนังสือโดยยืนยันว่าแท้ที่จริงแล้วโลกใบนี้กลม ไม่ได้แบนแบบที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์แต่อย่างใด เรื่องนี้นับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่มีผู้มาท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าและพระคัมภีร์ ในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จึงไม่เห็นความสำคัญของศาสนา
นั่นคือต้นกำเนิดของผู้ที่มีแนวความคิดว่า "ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา" การก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็น "โลกใหม่" ของบรรพบุรุษสมัยนั้น เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็คือ การประกาศอิสรภาพจากอิทธิพลของศาสนา ที่สร้างความทารุณกรรมให้แก่มนุษย์ในยุคสมัยนั้นจำนวนมาก
โดยเฉพาะสตรีที่ใจดีงามและมีความสามารถพิเศษ แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดซึ่งถือว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อศาสนจักร ต้องถูกขึ้นศาลศาสนาและถูกเผาทั้งเป็นนั้น มีจำนวนถึง ๕ ล้านคน นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าส่วนใหญ่จึงพากันหนีตายไปสู่ "โลกใหม่" ที่ไม่ต้องถูกตามล่าจากนักบวชและเจ้าหน้าที่ทางศาสนา
อันเป็นการประกาศอิสรภาพของผู้แสวงหาการรู้แจ้งด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยการมีพระเจ้าเหมือนตอนสมัยในยุโรปอีก โดยใช้สัญลักษณ์ของสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า "เทพีแห่งเสรีภาพ" ชูคบเพลิงอันแสดงถึง "รุ่งอรุณแห่งการแสวงหาการรู้แจ้ง" จนกลายมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
เนื่องจากมีภูมิหลังอันโหดร้ายจากอิทธิพลของศาสนาดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์และคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดก้าวหน้าจึงมีทัศนคติว่า ศาสนาหรือพระเจ้าย่อมไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตของคนเราแต่อย่างใด พวกเขามีความเชื่อมั่นว่าคนเราสามารถดำเนินชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยพระเจ้า
นี้คือประเด็นสำคัญของการไม่เห็นคุณค่าของศาสนาของชาวตะวันตก ซึ่งหลายคนไม่เคยรู้ ที่นักเรียนนอกทั้งหลายได้ซึมซับเอาแนวคิดกลับมาเมืองไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่หลายคนไม่เคยรู้และไม่เคยศึกษามาก่อนเลยว่า พุทธศาสนาในเมืองไทยนั้นมีแต่ถูกครอบงำจากสถาบันอื่นและไม่เคยครอบงำสิ่งใด อันต่างกันราวฟ้ากับดินกับเหตุการณ์ในทวีปยุโรปสมัยก่อน
ปัญญาชนเหล่านั้น เมื่อกลับมาแล้วก็นำเอาความรู้ปริญญาที่รับมาทั้งดุ้นมาใช้กับสังคมไทยโดยมีความรู้สึกดูหมิ่นบรรพบุรุษและวัฒนธรรมของตัวเองอยู่ลึกๆ ทำให้เมื่อหนึ่งร้อยปีผ่านไป เราทั้งหลายจึงมาอยู่ในช่วงของการแตกหักทางวัฒนธรรม และโครงสร้างทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด และกำลังพยายามก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างยากเย็นอยู่ในเวลานี้
หากเราได้ยินใครกล่าวถึงการ "ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา" หากคำกล่าวนั้นเกิดจากคำพูดหรือข้อเขียนของนักวิชาการหรือผู้มีการศึกษาทั้งหลาย ขอให้เข้าใจว่าแนวความคิดเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากการซึมซับรับเอามาจากต่างประเทศ ที่แทรกซึมอยู่ในความคิดของอาจารย์ทั้งหลายที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งในวันหนึ่ง เมื่อประสบการณ์ในชีวิตมีมากขึ้น หลังจากนั้นความคิดเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปเมื่อเข้าถึงคำสอนของพระอริยเจ้า ที่รู้แจ้งในสัจธรรม
ความจริงแล้ว ศาสนาที่นักวิทยาศาสตร์และปัญญาชนคนมีการศึกษาทั้งหลายปฏิเสธว่าไม่จำเป็นต้องมีตลอดมานั้น ก็คือ "ศาสนาที่ต้องมีพระเจ้า"เท่านั้น แต่ยังมีศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าซึ่งพวกเขายังไม่รู้จักกันในยุโรปสมัยนั้น แต่แพร่หลายอยู่แล้วในชมพูทวีปมานับพันปี
เป็นศาสนาแห่งสติและปัญญา ที่ชาวกรีกนำไปจากอินเดีย แล้วคำสอนนั้นได้แพร่หลายในหมู่คนมีปัญญาจนเข้าไปในยุโรป เป็นศาสนาที่นำแสงสว่างแห่งปัญญาที่พวกเขาแสวงหามาช้านาน ศาสนานั้นก็คือ ศาสนาพุทธ ที่สอนให้ทุกคนแสวงหาการรู้แจ้งสัจธรรมด้วยตนเอง
ศาสนาแห่งการรู้แจ้งนี้ ได้จุดประกายขึ้นในดวงใจของเหล่าผู้มีสติปัญญาทั้งที่เป็นกวี จิตรกร นักปราชญ์ นักคิด นักเขียน และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย แม้ว่าบางคนจะบอกว่าเขาไม่นับถือพระเจ้า แต่ภายในหัวใจกลับยอมรับนับถือ "ศาสนาแห่งการรู้แจ้ง" อย่างเงียบกริบ พวกเขาได้พบกับความสงบสุขอยู่ภายในหัวใจแล้วดำเนินชีวิตประจำวันไปตามปกติ
ย้อนกลับมากล่าวถึงในวงที่แคบเข้า สำหรับสังคมในเมืองไทยของเราหากจะมีผู้ที่ยังมองไม่เห็นคุณค่าของศาสนา ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะคนเหล่านั้นยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้สัมผัสรสแห่งพระธรรมหรือยังไม่ถึงเวลาที่จะหยั่งศรัทธาลงในพระศาสนามากกว่าอย่างอื่น
หญิงสาวที่เรือนร่างสวยงามอิ่มเอิบพรั่งพร้อมด้วยกามคุณเป็นที่น่าทัศนา ยังยินดีพอใจเพลิดเพลินที่มีชายหนุ่มมาชื่นชมและหลงใหลตนอย่างมากหน้าหลายตา ในท่ามกลางแห่งวัยที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงหรรษา เธออาจรู้สึกและพูดว่า ชีวิตของเธอไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้
ชายหนุ่มผู้กำลังเพลิดเพลินในความสุข ยังสนุกสนานเบิกบานดุจราชาอยู่ในท่ามกลางนางฟ้า แต่ละวันมีแต่คนเอาอกเอาใจแสนเพลิดเพลินในอุรา ในช่วงเวลานั้นเขาอาจพูดออกมาอย่างทระนงว่า ชีวิตนี้ศาสนาไม่เห็นมีความจำเป็นอะไร
ต่อเมื่อถึงวันหนึ่งที่สัจธรรมของชีวิตสำแดงเดช เขาและเธอต้องประสบความสังเวชและขื่นขม เมื่อความหนุ่มความสาวเริ่มเหี่ยวเฉาร่วงโรยไป ความผิดหวัง ความเสียใจเริ่มมาเยือนบ่อยขึ้นทุกที หากใครโชคดีที่เริ่มมองเห็นเทวทูตที่มาเตือนใจเหล่านี้ภายในอายุ ๓๕ ปี เขาและเธอย่อมถือว่าเป็นคนโชคดีและมีบุญมากในชาตินี้ ที่ไม่อยู่ในมิจฉาทิฐิและประมาทในชีวิตนานเกินไป เขาหรือเธอผู้มีบุญบารมีเก่าสร้างสมมาดี จะมีเหตุการณ์ทำให้เกิดความสนใจในศาสนา จากที่เคยอยู่แบบเทพบุตรหรือนางฟ้า อาจยินดีที่จะลอยลงมานั่งสงบอยู่กลางพื้นดิน
ภายในอายุ ๔๒ ปี ไม่ว่าชีวิตของบุคคลนั้นจะมีความสำเร็จในทางโลกมากน้อยเพียงใด ขอจงเริ่มมองเห็นคุณค่าของศาสนาโดยไม่ต้องลังเลสงสัยอีกต่อไปแล้ว เพราะพลังชีวิตที่เราได้ใช้ไปในการสร้างอนาคตและความสำเร็จในอาชีพการงานมาอย่างยาวนานนั้น เริ่มจะลดน้อยถอยลงไปแล้ว มิฉะนั้น เราจะกลายเป็นคนดีที่เปลี่ยนไป หรือกลายเป็นคนที่อ่อนแอเริ่มป่วยไข้ และเป็นคนขี้หงุดหงิดโกรธง่าย ไม่ค่อยจะเยือกเย็นดูเป็นคนมีศีลธรรมเหมือนแต่ก่อนมา
ศาสนาคือหลักของใจ ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าดวงใจอันมีค่าของเราดวงนี้ ตอนชีวิตมีแต่ความพรั่งพร้อมและความสุข เราอาจพูดได้ว่าไม่จำเป็นต้องไปวัดหรือไม่ต้องมีศาสนาก็ได้
เมื่อถึงวันหนึ่งที่ชีวิตได้พบกับความเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไป วันนั้นหัวใจจะเรียกร้องและแสวงหาสิ่งหนึ่งที่ตลอดชีวิตของหลายคนอาจไม่เคยคิดจะเรียกหา สิ่งนั้นก็คือ "ศาสนา" อันเป็นหลักยึดเหนี่ยวและเป็นที่พึ่งทางจิตใจ
ตราบใดที่หัวใจยังไม่สามารถละสังโยชน์ ๓ จนทำลายสักกายทิฐิ(สัก-กา-ยะ-ทิ-ถิ)คือความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเราได้อย่างเด็ดขาด ยังไม่อาจละความสงสัยในพระรัตนตรัยได้ ยังลูบคลำศีลพรตไปตามพิธีกรรมและตามประเพณีไม่ได้มีศีลอยู่ที่ใจ ตราบนั้น เราทุกคนล้วนยังต้องมีศาสนาไว้เป็นหลักประจำใจประจำชีวิตกันทุกคน
จนกว่าหัวใจของเราจะพ้นแล้วจากสังโยชน์เบื้องต่ำ เมื่อนั้นเราไม่จำต้องมีศาสนาก็ได้ เพราะตัวศาสนาไม่ได้อยู่ข้างนอกอีกแล้วแต่มาสถิตในหัวใจ นั่นแหละคือผู้ที่จะสามารถกล่าวอย่างอาจหาญและเต็มปากได้อย่างภาคภูมิใจ ว่าชีวิตนี้เราไม่ต้องมีศาสนาอีกแล้ว
บุคคลเช่นนี้ ถ้าจะพูดว่าท่านไม่มีศาสนาก็ได้ เพราะหัวใจของท่านอยู่เหนือพิธีกรรมและความงมงายทั้งปวงทั่วไป แต่ถ้าจะพูดว่าท่านมีศาสนา ก็ต้องบอกว่ามีแต่บุคคลเช่นนี้เท่านั้นที่นับถือศาสนาได้อย่างมั่นคงและถูกต้องที่สุด บุคคลเช่นนี้ต่างหากที่เป็นผู้มีศาสนาและเข้าถึงตัวศาสนาอย่างสมบูรณ์
บุคคลผู้ไม่ประมาทในชีวิตและปรารถนาดำเนินชีวิตไปด้วยสติปัญญา จำต้องมีศาสนาไว้เป็นหลักของหัวใจ ชีวิตนี้จึงจะอบอุ่นและมีความหมาย ชีวิตนี้จะเริ่มสัมผัสถึงความเบิกบานและอ่อนโยนนุ่มนวลในหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ความรักแท้อันงดงามที่แห้งหายไปจากหัวใจอันนานแสนนาน จะเริ่มกลับมาบรรเลงและขับขานให้หัวใจที่เคยแห้งผากให้กลับคืนสู่ความชื่นบาน นี้คืออานุภาพของหัวใจที่มีศาสนาสถิตมั่นประจำอยู่คู่กับชีวิตของทุกคน
คุรุอตีศะ
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗