ศาสนาคือหลักของใจ

ศาสนาคือหลักของใจ

 


               ในช่วงของชีวิตที่มีแต่ความสุขสนุกสนาน หรือมีแต่ความสมหวังได้ดั่งใจทำอะไรก็สำเร็จ  ย่อมมีคนจำนวนน้อยนักที่จะมองเห็นคุณของศาสนาหรือใฝ่ใจในบุญกุศลสร้างความดี


               จนกว่าบุญกุศลที่สร้างไว้ในอดีตเริ่มถดถอยหรือหมดไป  เกิดความทุกข์และความบีบคั้นในหัวใจ  บุคคลนั้นจึงจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของหัวใจว่าชีวิตน่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้  นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเห็นคุณค่าของพระศาสนา


                จิตใจจะเริ่มแสวงหาสัจธรรมของชีวิต เริ่มมองหาความสุขที่ประณีตยิ่งกว่าวัตถุสิ่งของภายนอกที่ตนเคยได้รับและเสวยสุขตลอดมา  การเริ่มสำนึกว่าชีวิตที่ผ่านมาของตนยังไม่ค่อยมีสาระและการเกิดมาในชาตินี้ควรจะทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ นี้คือรุ่งอรุณของจิตใจที่เริ่มใฝ่ในเส้นทางแห่งอริยะ  แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่รู้ปริยัติหรือไม่เคยได้บวชเรียนในวัดมาก่อน


               มีการโต้เถียงกันในสังคมว่า "ไม่มีศาสนาได้ไหม?" ซึ่งเกิดจากการปะทะกันของแนวคิดของผู้ที่ต้องการทำอะไรตามใจตัวเองอย่างเสรี กับผู้ที่ต้องการให้ผู้คนประพฤติอยู่ในกรอบของศีลธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดี  ฝ่ายที่ต้องการความอิสรเสรีก็จึงตั้งคำถามและรุกรานเอากับผู้ที่เคร่งศีลธรรมและประเพณีว่าตนไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้


              อันที่จริงแนวความคิดว่า "ไม่ต้องมีศาสนาหรือไม่ต้องไปวัดก็เป็นคนดีได้" นี้  เขามีการต่อสู้กันและเกิดมีมาตั้งแต่สมัยยุโรปเมื่อสามร้อยปีมาแล้ว  คือมีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการสลัดตัวเองออกจากการครอบงำและอิทธิพลของศาสนาโดยมีแนวคิดว่า "มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมา สามารถแสวงหาปัญญาและกำหนดชีวิตของตนเองได้ โดยไม่ต้องอาศัยพระเจ้าองค์ใดมาคอยกำหนด" ซึ่งบุคคลเหล่านี้คือผู้มีสติปัญญาเป็นตัวของตัวเองและสามารถพึ่งพาตัวเองได้


            บุคคลเหล่านี้คือนักวิทยาศาสตร์รุ่นบุกเบิกในเวลาต่อมา  นักวิทยาศาสตร์ที่เราเคยเรียนและรู้จักกันดีก็เช่น กาลิเลโอ  ที่พยายามต่อสู้กับคำสอนในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่าโลกแบน  แต่กาลิเลโอค้นพบและพิสูจน์ความจริงได้ว่า โลกกลม  แต่เขาถูกบังคับให้เลิกความเชื่อนี้ มิฉะนั้นจะต้องตายด้วยการถูกประหารชีวิต เพราะมีความผิดที่มีความเชื่อนอกรีตจากพระคัมภีร์กล่าว  เขาจึงยอมเปลี่ยนคำสอนนี้เพื่อรักษาชีวิตไว้  แต่ในบั้นปลายเขาก็แอบบันทึกไว้ท้ายหนังสือโดยยืนยันว่าแท้ที่จริงแล้วโลกใบนี้กลม ไม่ได้แบนแบบที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์แต่อย่างใด  เรื่องนี้นับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่มีผู้มาท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าและพระคัมภีร์ ในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ   ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จึงไม่เห็นความสำคัญของศาสนา


               นั่นคือต้นกำเนิดของผู้ที่มีแนวความคิดว่า "ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า  ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา"  การก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็น "โลกใหม่" ของบรรพบุรุษสมัยนั้น เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็คือ การประกาศอิสรภาพจากอิทธิพลของศาสนา ที่สร้างความทารุณกรรมให้แก่มนุษย์ในยุคสมัยนั้นจำนวนมาก


              โดยเฉพาะสตรีที่ใจดีงามและมีความสามารถพิเศษ แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดซึ่งถือว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อศาสนจักร ต้องถูกขึ้นศาลศาสนาและถูกเผาทั้งเป็นนั้น มีจำนวนถึง ๕ ล้านคน  นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าส่วนใหญ่จึงพากันหนีตายไปสู่ "โลกใหม่" ที่ไม่ต้องถูกตามล่าจากนักบวชและเจ้าหน้าที่ทางศาสนา


             อันเป็นการประกาศอิสรภาพของผู้แสวงหาการรู้แจ้งด้วยตนเอง  โดยไม่ต้องอาศัยการมีพระเจ้าเหมือนตอนสมัยในยุโรปอีก โดยใช้สัญลักษณ์ของสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า "เทพีแห่งเสรีภาพ" ชูคบเพลิงอันแสดงถึง "รุ่งอรุณแห่งการแสวงหาการรู้แจ้ง" จนกลายมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาที่เรารู้จักกันทุกวันนี้


              เนื่องจากมีภูมิหลังอันโหดร้ายจากอิทธิพลของศาสนาดังกล่าว  นักวิทยาศาสตร์และคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดก้าวหน้าจึงมีทัศนคติว่า ศาสนาหรือพระเจ้าย่อมไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตของคนเราแต่อย่างใด   พวกเขามีความเชื่อมั่นว่าคนเราสามารถดำเนินชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยพระเจ้า


            นี้คือประเด็นสำคัญของการไม่เห็นคุณค่าของศาสนาของชาวตะวันตก ซึ่งหลายคนไม่เคยรู้  ที่นักเรียนนอกทั้งหลายได้ซึมซับเอาแนวคิดกลับมาเมืองไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่หลายคนไม่เคยรู้และไม่เคยศึกษามาก่อนเลยว่า พุทธศาสนาในเมืองไทยนั้นมีแต่ถูกครอบงำจากสถาบันอื่นและไม่เคยครอบงำสิ่งใด อันต่างกันราวฟ้ากับดินกับเหตุการณ์ในทวีปยุโรปสมัยก่อน


             ปัญญาชนเหล่านั้น เมื่อกลับมาแล้วก็นำเอาความรู้ปริญญาที่รับมาทั้งดุ้นมาใช้กับสังคมไทยโดยมีความรู้สึกดูหมิ่นบรรพบุรุษและวัฒนธรรมของตัวเองอยู่ลึกๆ  ทำให้เมื่อหนึ่งร้อยปีผ่านไป  เราทั้งหลายจึงมาอยู่ในช่วงของการแตกหักทางวัฒนธรรม และโครงสร้างทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด  และกำลังพยายามก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างยากเย็นอยู่ในเวลานี้


            หากเราได้ยินใครกล่าวถึงการ "ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา"  หากคำกล่าวนั้นเกิดจากคำพูดหรือข้อเขียนของนักวิชาการหรือผู้มีการศึกษาทั้งหลาย ขอให้เข้าใจว่าแนวความคิดเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากการซึมซับรับเอามาจากต่างประเทศ ที่แทรกซึมอยู่ในความคิดของอาจารย์ทั้งหลายที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ  ก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งในวันหนึ่ง  เมื่อประสบการณ์ในชีวิตมีมากขึ้น หลังจากนั้นความคิดเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปเมื่อเข้าถึงคำสอนของพระอริยเจ้า ที่รู้แจ้งในสัจธรรม


           ความจริงแล้ว  ศาสนาที่นักวิทยาศาสตร์และปัญญาชนคนมีการศึกษาทั้งหลายปฏิเสธว่าไม่จำเป็นต้องมีตลอดมานั้น  ก็คือ "ศาสนาที่ต้องมีพระเจ้า"เท่านั้น  แต่ยังมีศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าซึ่งพวกเขายังไม่รู้จักกันในยุโรปสมัยนั้น  แต่แพร่หลายอยู่แล้วในชมพูทวีปมานับพันปี


           เป็นศาสนาแห่งสติและปัญญา ที่ชาวกรีกนำไปจากอินเดีย แล้วคำสอนนั้นได้แพร่หลายในหมู่คนมีปัญญาจนเข้าไปในยุโรป  เป็นศาสนาที่นำแสงสว่างแห่งปัญญาที่พวกเขาแสวงหามาช้านาน  ศาสนานั้นก็คือ ศาสนาพุทธ  ที่สอนให้ทุกคนแสวงหาการรู้แจ้งสัจธรรมด้วยตนเอง

 
           ศาสนาแห่งการรู้แจ้งนี้  ได้จุดประกายขึ้นในดวงใจของเหล่าผู้มีสติปัญญาทั้งที่เป็นกวี จิตรกร นักปราชญ์  นักคิด นักเขียน และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย แม้ว่าบางคนจะบอกว่าเขาไม่นับถือพระเจ้า  แต่ภายในหัวใจกลับยอมรับนับถือ "ศาสนาแห่งการรู้แจ้ง" อย่างเงียบกริบ  พวกเขาได้พบกับความสงบสุขอยู่ภายในหัวใจแล้วดำเนินชีวิตประจำวันไปตามปกติ


            ย้อนกลับมากล่าวถึงในวงที่แคบเข้า  สำหรับสังคมในเมืองไทยของเราหากจะมีผู้ที่ยังมองไม่เห็นคุณค่าของศาสนา  ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะคนเหล่านั้นยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้สัมผัสรสแห่งพระธรรมหรือยังไม่ถึงเวลาที่จะหยั่งศรัทธาลงในพระศาสนามากกว่าอย่างอื่น


           หญิงสาวที่เรือนร่างสวยงามอิ่มเอิบพรั่งพร้อมด้วยกามคุณเป็นที่น่าทัศนา  ยังยินดีพอใจเพลิดเพลินที่มีชายหนุ่มมาชื่นชมและหลงใหลตนอย่างมากหน้าหลายตา  ในท่ามกลางแห่งวัยที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงหรรษา  เธออาจรู้สึกและพูดว่า ชีวิตของเธอไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้


           ชายหนุ่มผู้กำลังเพลิดเพลินในความสุข  ยังสนุกสนานเบิกบานดุจราชาอยู่ในท่ามกลางนางฟ้า  แต่ละวันมีแต่คนเอาอกเอาใจแสนเพลิดเพลินในอุรา  ในช่วงเวลานั้นเขาอาจพูดออกมาอย่างทระนงว่า ชีวิตนี้ศาสนาไม่เห็นมีความจำเป็นอะไร


         ต่อเมื่อถึงวันหนึ่งที่สัจธรรมของชีวิตสำแดงเดช  เขาและเธอต้องประสบความสังเวชและขื่นขม  เมื่อความหนุ่มความสาวเริ่มเหี่ยวเฉาร่วงโรยไป  ความผิดหวัง ความเสียใจเริ่มมาเยือนบ่อยขึ้นทุกที  หากใครโชคดีที่เริ่มมองเห็นเทวทูตที่มาเตือนใจเหล่านี้ภายในอายุ ๓๕ ปี เขาและเธอย่อมถือว่าเป็นคนโชคดีและมีบุญมากในชาตินี้  ที่ไม่อยู่ในมิจฉาทิฐิและประมาทในชีวิตนานเกินไป   เขาหรือเธอผู้มีบุญบารมีเก่าสร้างสมมาดี  จะมีเหตุการณ์ทำให้เกิดความสนใจในศาสนา   จากที่เคยอยู่แบบเทพบุตรหรือนางฟ้า  อาจยินดีที่จะลอยลงมานั่งสงบอยู่กลางพื้นดิน


          ภายในอายุ ๔๒ ปี ไม่ว่าชีวิตของบุคคลนั้นจะมีความสำเร็จในทางโลกมากน้อยเพียงใด  ขอจงเริ่มมองเห็นคุณค่าของศาสนาโดยไม่ต้องลังเลสงสัยอีกต่อไปแล้ว  เพราะพลังชีวิตที่เราได้ใช้ไปในการสร้างอนาคตและความสำเร็จในอาชีพการงานมาอย่างยาวนานนั้น เริ่มจะลดน้อยถอยลงไปแล้ว  มิฉะนั้น เราจะกลายเป็นคนดีที่เปลี่ยนไป หรือกลายเป็นคนที่อ่อนแอเริ่มป่วยไข้ และเป็นคนขี้หงุดหงิดโกรธง่าย  ไม่ค่อยจะเยือกเย็นดูเป็นคนมีศีลธรรมเหมือนแต่ก่อนมา


          ศาสนาคือหลักของใจ  ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าดวงใจอันมีค่าของเราดวงนี้  ตอนชีวิตมีแต่ความพรั่งพร้อมและความสุข  เราอาจพูดได้ว่าไม่จำเป็นต้องไปวัดหรือไม่ต้องมีศาสนาก็ได้


          เมื่อถึงวันหนึ่งที่ชีวิตได้พบกับความเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไป  วันนั้นหัวใจจะเรียกร้องและแสวงหาสิ่งหนึ่งที่ตลอดชีวิตของหลายคนอาจไม่เคยคิดจะเรียกหา  สิ่งนั้นก็คือ "ศาสนา" อันเป็นหลักยึดเหนี่ยวและเป็นที่พึ่งทางจิตใจ


            ตราบใดที่หัวใจยังไม่สามารถละสังโยชน์ ๓ จนทำลายสักกายทิฐิ(สัก-กา-ยะ-ทิ-ถิ)คือความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเราได้อย่างเด็ดขาด  ยังไม่อาจละความสงสัยในพระรัตนตรัยได้  ยังลูบคลำศีลพรตไปตามพิธีกรรมและตามประเพณีไม่ได้มีศีลอยู่ที่ใจ  ตราบนั้น  เราทุกคนล้วนยังต้องมีศาสนาไว้เป็นหลักประจำใจประจำชีวิตกันทุกคน


              จนกว่าหัวใจของเราจะพ้นแล้วจากสังโยชน์เบื้องต่ำ  เมื่อนั้นเราไม่จำต้องมีศาสนาก็ได้  เพราะตัวศาสนาไม่ได้อยู่ข้างนอกอีกแล้วแต่มาสถิตในหัวใจ  นั่นแหละคือผู้ที่จะสามารถกล่าวอย่างอาจหาญและเต็มปากได้อย่างภาคภูมิใจ  ว่าชีวิตนี้เราไม่ต้องมีศาสนาอีกแล้ว


             บุคคลเช่นนี้  ถ้าจะพูดว่าท่านไม่มีศาสนาก็ได้  เพราะหัวใจของท่านอยู่เหนือพิธีกรรมและความงมงายทั้งปวงทั่วไป  แต่ถ้าจะพูดว่าท่านมีศาสนา  ก็ต้องบอกว่ามีแต่บุคคลเช่นนี้เท่านั้นที่นับถือศาสนาได้อย่างมั่นคงและถูกต้องที่สุด  บุคคลเช่นนี้ต่างหากที่เป็นผู้มีศาสนาและเข้าถึงตัวศาสนาอย่างสมบูรณ์


             บุคคลผู้ไม่ประมาทในชีวิตและปรารถนาดำเนินชีวิตไปด้วยสติปัญญา  จำต้องมีศาสนาไว้เป็นหลักของหัวใจ  ชีวิตนี้จึงจะอบอุ่นและมีความหมาย  ชีวิตนี้จะเริ่มสัมผัสถึงความเบิกบานและอ่อนโยนนุ่มนวลในหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


           ความรักแท้อันงดงามที่แห้งหายไปจากหัวใจอันนานแสนนาน  จะเริ่มกลับมาบรรเลงและขับขานให้หัวใจที่เคยแห้งผากให้กลับคืนสู่ความชื่นบาน    นี้คืออานุภาพของหัวใจที่มีศาสนาสถิตมั่นประจำอยู่คู่กับชีวิตของทุกคน

 

                                                                                         คุรุอตีศะ
                                                                                 ๑๖  กรกฎาคม  ๒๕๕๗