อิสรภาพทางจิตวิญญาณ

อิสรภาพทางจิตวิญญาณ

 


                การฉลองวันชาติของสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ชาวสหรัฐได้สะท้อนความภาคภูมิใจในประเทศของตน และเสมือนประกาศต่อสายตาของชาวโลกให้รับรู้ถึงความเป็นมหาอำนาจและความยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าประเทศใดในศตวรรษที่ผ่านมา


                วันชาติของสหรัฐคือวันประกาศอิสรภาพจากการปกครองของอังกฤษ เมื่อวันที่  ๔  กรกฎาคม  ค.ศ. ๑๗๗๖  ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๑๙  อันเป็นปีที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้เอกราชของชาติไทยและครองกรุงธนบุรีเป็นปีที่ ๙ ซึ่งทรงกำลังสร้างความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองอย่างขนานใหญ่และอาณาจักรของชาติไทยได้แผ่ไปทั่วดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ


               ประชาชนคนในชาติเมื่อแรกเริ่มก่อตั้งประเทศสหรัฐ  เป็นปัญญาชนผู้มีการศึกษาที่หลบหนีภัยทางศาสนาและอิทธิพลของกษัตริย์จากอังกฤษและยุโรปสมัยนั้น  จึงพากันสถาปนาระบอบการปกครองสมัยใหม่ เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยหรือ “ดินแดนแห่งดุลยภาพ” ตามคำทำนายของนอสตราดามุส ซึ่งใช้เรียกดินแดนแห่งใหม่ที่เขามองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตและพูดไว้ล่วงหน้าถึง ๒๐๐ ปี  ว่าจะมีดินแดนแห่งใหม่ที่ใช้ระบบการปกครองที่ต่างออกไปจากการปกครองของยุคสมัยนั้น ที่ไม่ว่าที่ใดทั่วทั้งโลกล้วนปกครองด้วยระบบกษัตริย์


              ข้อความตอนหนึ่งในคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐระบุว่า


                  “เราถือความจริงอันประจักษ์แจ้งแก่ตนว่า  มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน  และพระผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์  ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต  เสรีภาพ  และการเสาะแสวงหาความสุข”


                   เมื่อ ๒๓๘ ปีมาแล้ว มนุษย์กลุ่มหนึ่งมุ่งแสวงหาสิทธิเสรีภาพ   ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน  และภราดรภาพคือความรู้สึกแบบเป็นพี่เป็นน้องกัน    ไม่ใช่ความรู้สึกแบบผู้ดีกับไพร่  หรือแบบนายกับทาส  พวกเขาจึงเรียกดินแดนในความฝันแห่งใหม่ว่า “ดินแดนแห่งดุลยภาพ” อันหมายความว่า “ดินแดนแห่งความเท่าเทียมกัน” จนกลายมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา  อันเป็นดินแดนที่คนไทยต่างชื่นชมยินดีและใฝ่ฝันกันยิ่งนัก  โดยดินแดนแห่งนั้นก่อตั้งขึ้นก่อนกรุงรัตนโกสินทร์เพียง ๖ ปี  นี้คือที่มาของวันนี้ อันเป็นวันชาติของสหรัฐอเมริกา


                   ผู้คนทั้งหลายในโลกล้วนดิ้นรนแสวงหาอิสรภาพ  และส่วนใหญ่ก็รู้จักแต่อิสรภาพทางกาย ที่ไม่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่ในคุกตะรางหรือจำกัดขอบเขตด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด  แต่ทุกคนก็ยังไม่อาจเป็นอิสรภาพทางใจ  ยังตกเป็นทาสการเมือง สังคม  ครอบครัว ขนบธรรมเนียมประเพณี  พิธีกรรมทางศาสนา ตกเป็นทาสความรัก  ตกเป็นทาสความโกรธ และเป็นทาสอีกหลายสิ่งมากมาย ไม่เคยได้รับอิสรภาพทางใจหรือพบกับความปลอดโปร่งโล่งใจอย่างแท้จริง


                การอยู่ในบริบทของสังคมอันยุ่งเหยิงอย่างสมัยปัจจุบัน  จิตใจของพวกเราต่างถูกรุมเร้าจากสิ่งยั่วยุและแรงกดดันรอบด้าน   จึงยากนักที่หัวใจจะมีภูมิคุ้มกันและพลังต้านทาน จนสามารถมีชีวิตอยู่อย่างรอดพ้นจากกระแสการครอบงำ ของอำนาจทุนนิยมและบริโภคนิยมที่มักบีบคั้นและมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเราตลอดเวลา


               เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่มีอะไรดีไปกว่า การพยายามมีสติและทำความเข้าใจตัวเองให้ถ่องแท้ และกล้าประกาศอิสรภาพให้ตัวเองอย่างเข้มแข็ง  โดยเป็นอิสรภาพที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสิ่งรอบข้ามอย่างเต็มเปี่ยมและทรงพลังอยู่ในตัว  นี้คือประตูก้าวสู่อิสรภาพทางใจ


                ต่อจากนั้นจึงเกิดการพัฒนาเข้าสู่มิติที่สามซึ่งเป็นอิสรภาพในระดับสูงสุด คือ การเกิดญาณหยั่งรู้จนแทงตลอดถึงความจริงของสรรพสิ่ง  ว่าทั้งส่วนที่เป็นร่างกายและส่วนที่เป็นจิตใจไม่มีส่วนใดที่เป็นตัวเราหรือของเราอย่างแท้จริง ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาตามเหตุตามปัจจัย ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว แล้วก็เสื่อมสลายไปเป็นอนัตตาไม่มีสิ่งใดหมายมั่นได้ ในที่สุดจะเข้าถึงสภาวะความเป็นหนึ่งที่มีแต่ความรับรู้และตื่นรู้อันบริสุทธิ์เท่านั้น นี้คืออิสรภาพทางจิตวิญญาณ


                การแสวงหาอิสรภาพในทางการเมือง  ยังเป็นการแสวงหาอิสรภาพทางกายตามสมมุติของชาวโลก  อิสรภาพเช่นนั้นยังเต็มไปด้วยความทุกข์โศก การต่อสู้แย่งชิงเพื่อได้อำนาจความเป็นใหญ่ และเต็มไปด้วยการก่อกรรมทำเข็ญและสร้างเวรภัยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


               อย่างน้อยเมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนาในชาตินี้  เราควรรู้จักแสวงหาสัจธรรมของชีวิต จนได้สัมผัส “อิสรภาพทางใจ” ที่จิตดวงนี้ได้พักผ่อนอย่างสงบและปลอดโปร่งใจเมื่อได้ให้ทาน  รักษาศีล  เจริญสติบำเพ็ญภาวนา  เมื่อใดสติเกิดขึ้น  อิสรภาพทางใจย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น  เราจะรู้สึกได้เองว่า  อิสรภาพทางใจเช่นนี้ช่างอัศจรรย์  แม้แต่บุคคลที่อยู่ในคุกตะรางหรือร่างกายพิกลพิการก็สามารถมีอิสรภาพทางใจอันประเสริฐนี้ได้


             จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมีการเจริญเติบโตขึ้นทีละน้อยของอิสรภาพทางใจ  ดวงจิตของบุคคลย่อมก้าวขึ้นสู่อิสรภาพอันสูงสุดและยิ่งใหญ่คืออิสรภาพทางจิตวิญญาณในวันหนึ่ง


            อิสรภาพทางจิตวิญญาณนี้คืออิสรภาพภายในของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ซึ่งไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จะเป็นที่ลุ่มที่ดอน บนบกในน้ำ  ในขุนเขากลางป่าหรือต้องมาอยู่ใกล้บ้านต้องพบเจอกับผู้คนท่านก็ยังคงมีอิสรภาพ  เพราะอิสรภาพทางจิตวิญญาณนี้ไม่ขึ้นกับสถานที่และเวลา


           ที่พระอรหันต์ทั้งปวงท่านสืบอายุพระศาสนาให้ยืนนานมาจนถึงพวกเราทุกวันนี้  หลักใหญ่ใจความสำคัญที่สุด ก็เพื่อสืบทอดมรดกของพระพุทธองค์ข้อนี้ไว้ เพื่อให้เวไนยสัตว์ผู้มีวาสนาบารมีและมีธุลีในดวงตาน้อย  ได้มีโอกาสรู้จักและเข้าถึง “อิสรภาพทางจิตวิญญาณ” นี้นั่นเอง


          การประกาศอิสรภาพในทางการเมืองหรือในทางโลก  ยังเป็นเพียงการประกาศอิสรภาพทางกายเท่านั้น  แต่การประกาศอิสรภาพของพระพุทธองค์ในคืนวันเพ็ญที่ทรงตรัสรู้และของปวงเหล่าพระอรหันต์  คือการประกาศอิสรภาพจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง


          นับเป็นการประกาศอิสรภาพที่ยิ่งใหญ่และประเสริฐสูงสุดแห่งมวลมนุษยชาติ  เนื่องจากพระองค์ทรงประกาศอิสรภาพทั้งทางกายทางใจและทางจิตวิญญาณอย่างเต็มพร้อมบริบูรณ์

 

                                                                                                     คุรุอตีศะ
                                                                                             ๔  กรกฎาคม  ๒๕๕๗