การเจริญสติกับการนั่งสมาธิ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
การเจริญสติกับการนั่งสมาธิ
นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า การเจริญสติเป็นเรื่องเดียวกันกับการนั่งสมาธิหรือการหลับตาภาวนา ซึ่งหากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว การเจริญสติย่อมต่างจากการนั่งหลับตาทำสมาธิอย่างที่เรามักติดภาพลักษณ์เช่นนั้นว่าคือการปฏิบัติธรรมโดยทั่วไป
การเจริญสติคือการระลึกรู้ไปที่อาการทางกาย อาการทางความรู้สึก อาการที่จิตกำลังคิด โดยใช้ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่เพ่งจิตให้แนบแน่น ณ จุดใดจุดหนึ่ง แต่ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ไม่มีการควบคุมหรือปรุงแต่งสิ่งใด แต่คือการปล่อยให้สติระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางกาย สิ่งที่ปรากฏทางใจ ตามแต่สติจะเกิดขึ้นและระลึกได้ตามความเป็นจริง การเจริญสติคือการเผชิญอารมณ์รอบตัวตามความเป็นจริงไปทุกขณะ
การทำสมาธิคือการเพ่งจิตให้แนบแน่นเป็นหนึ่ง โดยอาศัยวัตถุภายนอกหรือคำบริกรรมเป็นตัวควบคุมจิตไม่ให้วอกแวกไปรับรู้อารมณ์ภายนอก การทำสมาธิต้องใช้การบริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งจนเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต จนจิตหยุดความคิดทั้งปวงหยั่งลงสู่อัปปนา
การทำสมาธิต้องใช้กสิณหรือคำบริกรรม จิตจึงจะรวมได้ง่าย และต้องอาศัยสถานที่เงียบสงบปราศจากเสียงมนุษย์และเทคโนโลยีทั้งปวง จิตจึงจะเข้าถึงอัปปนาสมาธิได้ง่าย การทำสมาธิต้องนั่งเพ่งกสิณจนภาพติดตา หรือไม่ก็ต้องอยู่กับคำบริกรรมภาวนา จนกว่าจิตจะเข้าถึงเอกัคคตารวมเป็นหนึ่ง ที่ไม่รับรู้อารมณ์ใดๆที่เป็นวิสัยของชาวโลก จิตจะสงบลอยเด่นอยู่อย่างนั้นไม่รับรู้อารมณ์และความเป็นไปของชาวโลก จนกว่าพลังของฌานจะเสื่อมลงไป
การอธิบายแบบที่กล่าวมา คือคำอธิบายแบบครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านอธิบายไว้ แต่สำหรับพวกเราซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกหัวสมัยใหม่ ฟังแล้วอาจไม่ค่อยเข้าใจเพราะเต็มไปด้วยศัพท์แสงทางภาษาบาลีจำนวนมาก จึงต้องอาศัยวิชาการร่วมยุคสมัยมาช่วยอธิบาย ซึ่งอาจทำให้เข้าใจและมองเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น
พูดอธิบายแบบสมัยใหม่ ก็ต้องบอกว่า การเจริญสติต่างจาการนั่งสมาธิหลับตา เพราะการเจริญสติเป็นการรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดสติไปที่อาการทางกายทางใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่การเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่การบริกรรมเพื่อให้จิตหยุดคิด ไม่ใช่การพยายามทำให้จิตนิ่งสงบไม่คิดอะไร
ในทางการแพทย์ การกำหนดสติไปที่อาการ จะทำให้สมองหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา คือสารโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้เกิดสติปัญญา ไหวพริบ ปฏิภาณ และความเฉลียวฉลาด นอกจากนั้นโดพามีนยังทำให้เกิดความกระฉับกระเฉงและความมีชีวิตชีวา นี้คือผลจากการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ซึ่งบุคคลนั้นไม่จำต้องนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมก็ได้ หากมิได้ใช้ชีวิตเป็นนักบวชผู้ไม่มีการงานอาชีพภายนอก มีแต่งานภายในคือการฝึกอบรมจิต เพราะทุกอารมณ์ไม่ว่าดีหรือร้าย อารมณ์ถูกใจหรืออารมณ์ไม่ถูกใจ ล้วนเป็นกรรมฐานของผู้รู้วิธีเจริญสติทั้งหมด
ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่กำหนดสมาธิไปที่รูปภายนอกจนสมาธิแนบแน่น เช่นเพ่งกสิณ เพ่งดวงแก้ว ใช้คำบริกรรมให้จิตนิ่ง ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม มีความสุข แต่ขาดปัญญา
คนทำสมาธิจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการงาน ไม่อยากสมาคมกับใคร และไม่อยากทำการงานเกื้อกูลผู้คนรอบข้าง เพราะติดอยู่ในความสุขและความสงบจึงอยากจะประคองจิตให้อยู่กับความสงบนั้นไว้ตลอดเวลา
เพราะเหตุผลดังกล่าว การเจริญสติกับการนั่งสมาธิจึงต่างกันถึงในระดับการผลิตฮอร์โมนของสมองเลยทีเดียว
ที่สำคัญคนที่เจริญสติกับคนที่ทำสมาธิยังต่างกันทางบุคลิกภาพอีกด้วย คือ คนที่มุ่งทำสมาธิจะมีบุคลิกสงบเชื่องช้าอันเป็นบุคลิกของนักบวช ไม่ค่อยมีไหวพริบปฏิภาณแววไวในการทำงานหรือการดำเนินชีวิตในทางโลกตามความเป็นจริง
ด้วยเหตุนี้ จึงมุ่งสอนธรรมะโดยมุ่งให้พวกเราทั้งหลายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีชีวิตในความเป็นจริง ยังต้องวิ่งไปตามเพลงชีวิตของชาวโลก ให้รู้จักการเจริญสติเพื่อดับทุกข์ดับโศกที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไปทีละน้อย เพื่อเราจะได้มีดาบที่คมในการฟันฝ่าอุปสรรคและปัญหาโดยไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด พร้อมกันนั้นเราก็ยังได้ปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติภาวนาในชีวิตจริงของเราอีกด้วย
การเจริญสติในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง เราจะไม่เป็นคนศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งใดจนงมงายและสุดโต่ง แต่สติที่เจริญงอกงามในแต่ละวัน จะทำให้จิตที่เคยอ่อนแอกลายเป็นหัวใจที่เกิดความเชื่อมั่นและเกิดแรงบันดาลใจ เกิดพลังสร้างสรรค์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
พลังแห่งสตินั้น จะทำให้สมองตื่นตัว มีพลัง กระฉับกระเฉง มีสมาธิมากขึ้น ไวต่อความรู้สึกรอบตัว หัวใจจะสัมผัสกับความรักและความงดงาม นี้คือต้นลำธารของความรักแห่งพุทธะคือ ความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่ทำให้เสมือนหนึ่งว่าชีวิตของเราได้เกิดใหม่
ขอให้เจริญสติไปเถิดไม่ว่าชีวิตของเราจะอยู่ในเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เพราะผู้ที่มุ่งมั่นเอาแต่ทำสมาธิ อาจติดในความสงบหรือติดสมาธิ จนยากที่ถอนจิตออกมาเจริญสติตามความเป็นจริงก็ได้
ส่วนผู้ที่พากเพียรเรียนรู้อาการของสติและเจริญสติในแต่ละขณะเรื่อยไป สุดท้ายสมาธิที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ที่ท่านบรรยายไว้ อาจลอยมาทางหน้าต่างพร้อมกับสายลมอันสดชื่นในวันหนึ่ง โดยไร้การกำหนดหมายและไร้การพยายามใดๆ
คุรุอตีศะ
๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗