สิ่งสูงค่าที่เราเคยมี

สิ่งสูงค่าที่เราเคยมี

 


             หญิงและชายที่เริ่มรู้จักและรักกันใหม่ๆ  หัวใจของเขาและเธอจะเอิบอิ่มและมีความสุข โดยไม่เลือกว่าในขณะนั้นเขาหรือเธอจะอยู่ในวัยใด  ความรักในขณะนั้นจะงดงาม  สะอาด  และบริสุทธิ์สูงค่าอยู่ในช่วงหนึ่ง  ก่อนที่คนทั้งสองจะเริ่มจับจองและยึดครองอีกฝ่ายว่าคือสมบัติของเรา


            นั่นคือจุดเริ่มต้นที่จินตนาการหรือความงดงามแห่งความรัก เริ่มถูกบดบังหรือโบยบินออกไป  จากหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักที่บริสุทธิ์และเคยมองอีกฝ่ายว่าคือสิ่งสูงค่า  หัวใจของคนทั้งสองเริ่มมีความรักที่ลดระดับต่ำลงมา  เพราะถูกความรักในระดับหยาบคือการหมกมุ่นในความสุขทางเพศและการมุ่งมั่นแสวงหาเงินทองเพื่อสร้างฐานะ ได้มาบดบังความงดงามในหัวใจที่เคยมี  ด้วยเหตุที่ทั้งสองไม่มีความรู้เรื่องการเจริญสติเพื่อรู้เห็นใจตัวเองตามความเป็นจริงมาก่อน


             หากเขาและเธอเริ่มต้นชีวิตรักหรือชีวิตครอบครัว ด้วยการมีสติตามคำสอนของพระอริยเจ้า  จินตนาการอันงดงามที่มีอยู่ในหัวใจของคนทั้งสอง  จะมีโอกาสเจริญเติบโตต่อไป  พลังทางเพศอันหยาบดิบตามสัญชาตญาณของสัตว์โลก  จะมีโอกาสพัฒนากลายเป็นพลังแห่งความรักที่สูงส่งและกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่จะช่วยให้โลกใบนี้อุดมด้วยเมตตาธรรมมากขึ้น


             แต่เนื่องจากเพราะ “อวิชชา” ความไม่รู้  คือไม่รู้ว่าชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมา  เราเกิดมาทำไม  เราไม่มีความรู้ว่าชาติก่อนชาติหน้านั้นมีจริงตามที่พระพุทธองค์และพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาท่านพยายามชี้ทางและพร่ำสอน  เราจึงหลงเอายึดเอาความสุขอันเล็กน้อยว่าเป็นสุขที่ยิ่งใหญ่   เรื่องความสุขทางเพศจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ของปุถุชนคนทั่วไป  จนกลายเป็นสิ่งบดบังหรือทำลายจินตนาการที่เราเคยมีนั้นไปอย่างน่าเสียดาย


            เมื่อถึงจุดหนึ่งทั้งชายและหญิงจะพบว่า ความสุขทางเพศที่เรามองว่าเคยเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่เราพร้อมจะตกเป็นทาสทั้งกายและใจมาตลอดนั้น  ในที่สุดก็ถึงทางตัน เราจะพบแต่ความหดหู่และความว้าเหว่สิ้นหวังในหัวใจอย่างไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับความรู้สึกนี้มาก่อน


           อารมณ์และความรู้สึกเช่นนี้หาใช่มีแต่ในหัวใจของพวกเราเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะเคยประสบมาแล้วเช่นกัน  โดยตอนต้นของชีวิตจนถึงวัย  ๒๙  พรรษา  พระองค์ทรงหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์อย่างเต็มที่ แต่ก็พบทางตัน  ช่วงนั้นคือช่วงแห่งความสุดโต่งไปอีกข้างหนึ่งที่เราเรียกเป็นภาษาบาลีว่า “กามสุขัลลิกานุโยค” (กา-มะ-สุ-ขัน-ลิ-กา-นุ-โยค)


           วันหนึ่งได้ทรงเสด็จประพาสพระอุทยานพบเทวทูตทั้งสี่ ได้ทอดพระเนตรเห็นบรรพชิตผู้มีอินทรียสงบ  จึงมีพระทัยน้อมไปในทางบรรพชา ต่อมาจึงเสด็จออกผนวชทรงเพศเป็นนักพรตด้วยความเคร่งครัดถึงขั้นบำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นเวลาถึง ๖ ปี  ช่วงเวลาที่พระองค์บำเพ็ญปฏิบัติด้วยวิธีแห่งฤาษีโยคีด้วยความทุกข์ยากนี้  เราเรียกกันว่า “อัตตกิลมถานุโยค” (อัด-ตะ-กิ-ละ-มะ-ถา-นุ-โยค) แต่พระองค์ก็ไม่สามารถตรัสรู้อริยสัจสี่ได้  เพราะร่างกายจิตใจทุกข์ยากเคร่งเครียดเกินไป


            จนในที่สุดจึงตัดสินพระทัยกลับมาเสวยพระกระยาหารตามเดิม  ทรงวางจิตอยู่อย่างผ่อนคลาย ด้วยสมาธิที่พระองค์เคยได้สมัยวันพระบิดาพาเสด็จในพระราชพิธีแรกนาขวัญ พละกำลังความสดชื่น สติสัมปชัญญะ และสภาวะแห่งพุทธะคืออาการแห่งความรู้  ตื่น เบิกบานจึงกลับคืนมาและเกิดความสมดุลได้ที่  จนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก


            นั่นคือวิถีของมหาบุรุษผู้เป็นมหาโพธิสัตว์ที่มีพระบารมีเต็มเปี่ยม ถึงกาลจะต้องลงมาตรัสรู้เพื่อโปรดเวไนยสัตว์  จึงจำต้องละจากเพศคฤหัสถ์มาอยู่ในเพศบรรพชิตเพื่อทำหน้าที่อันกว้างไกลที่ความคับแคบแห่งการครองเรือนไม่สามารถรองรับบารมีใหญ่ระดับนั้นได้


             การประพฤติและการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และผู้ที่มีบารมีเต็ม เกิดมาชาตินี้จะต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์  จึงต้องมีวิถีชีวิตที่ต่างจากคนทั่วไป  ซึ่งเราทั้งหลายสมควรที่จะน้อมกายและใจเพื่อบูชากราบไหว้  แต่มิอาจจะไปเลียนแบบท่านผู้มีใจเด็ดเดี่ยวเหล่านั้นได้แม้แต่น้อย  เรากราบไหว้บูชาท่าน  แต่ชีวิตจริงของเราเป็นอีกแบบหนึ่ง


                เราจงทำใจของเราให้ผ่อนคลาย  เอาความรักที่เคยงดงามและเคยเบ่งบานในหัวใจเมื่อเราทั้งสองเคยมีต่อกันกลับคืนมาอีกครั้ง  ดุจเดียวกับพระพุทธองค์ทรงนึกน้อมนำเอาทางสายกลางและสมาธิที่ทรงเคยได้ใต้ต้นหว้าเมื่อตอนอายุ ๗  พรรษาแล้วกำหนดสติด้วยหัวใจที่สงบและผ่อนคลายกลับมาอีกครั้งจนบรรลุพระโพธิญาณ


              เมื่อตอนเริ่มชีวิตคู่เราทั้งสองไม่เคยรู้สึกยากจนในสิ่งใด  เพราะหัวใจของเราทั้งสองเต็มเปี่ยมด้วยความรักและจินตนาการอันสูงส่ง  แต่เพราะไม่มีใครบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งมีค่าที่เราเคยมีมาแล้ว  ต่อมาเราได้ลดคุณค่าของความรักให้ต่ำลงไปและสนใจแต่การสะสมวัตถุทรัพย์สินเงินทอง  จนหลายครั้งที่เราพบแต่ความทุกข์และต้องน้ำตานอง  โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าเพราะเราทั้งสองได้หลงลืมจินตนาการอันเป็นสิ่งสูงค่าจนแทบจำไม่ได้ว่าเคยมีเขาอยู่ในหัวใจ


             ผู้ที่มีคู่ครอง  จงอย่าปล่อยให้ความใฝ่สูงทะเยอทะยานหรือการอยากมีฐานะเท่าเทียมกับคนอื่น มามีอิทธิพลต่อหัวใจและชีวิตของตน จนทอดทิ้งหรือหลงลืมจินตนาการที่เคยเบ่งบานสมัยที่ทั้งสองเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยเลขศูนย์  จงอย่าปล่อยให้สิ่งอื่นภายนอกขึ้นมาเทียบกับความรักที่เคยงดงามอยู่ก่อนในหัวใจดวงนี้ของเราได้


            วันเวลาที่ผ่านมาด้วยความเหนื่อยยากที่ฝ่าฟันร่วมกันมา  ควรเป็นเพียงการเสียสละความสุขและเวลา  เพื่อชีวิตเดินมาถึงจุดหนึ่ง ที่ฐานะความเป็นอยู่ทางวัตถุภายนอกมั่นคงแล้ว   เราจะเอาจินตนาการและความรักอันสูงค่า กลับคืนมาสู่อ้อมอกของเราทั้งสองเหมือนเดิม


           คนเป็นโสดหรือไม่มีคู่  ยิ่งเป็นการง่ายกว่าในการจะเอาจินตนาการกลับคืนมาสู่ชีวิต  เพียงดำรงจิตอยู่กับปัจจุบันขณะและหมั่นประคองจิตอยู่ในกุศลไว้เสมอ  มองเห็นความเปลี่ยนแปลงและความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง มองดูชีวิตของผู้คนที่เราประสบพบเจอในแต่ละวันและมีสติเรื่อยไป   ชีวิตของเราจะสัมผัสกับจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ โดยมีธรรมชาติรอบตัวเป็นคู่ครองที่ซื่อสัตย์  มีความรักที่บริสุทธิ์มอบให้เราเสมอ ทุกครั้งที่เราชายตาแลมอง


             เราทุกคนล้วนเคยมีสิ่งสูงค่าอยู่ในชีวิตมาก่อนแล้ว แต่เพราะไม่มีใครบอกเราให้รู้ถึงคุณค่า   จึงเข้าใจว่าเพชรอันล้ำค่าเป็นเพียงก้อนหินชิ้นหนึ่งตามทางเดิน จึงปล่อยให้หลุดลอยจากมือไป


             เพียงแค่เราตระหนักรู้ว่าสิ่งที่เราเคยปล่อยให้หลุดมือไปนั้นคือเพชรอันล้ำค่า เพชรก็จะกลับคืนมาสู่ชีวิตของเราผู้เคยหลงผิดและได้สำนึกผิดแล้วในวันนี้ การเริ่มรู้จักอาการของตัวสติและเริ่มมีสติ  จึงเปรียบได้กับการสำนึกผิดและคิดไถ่บาปครั้งยิ่งใหญ่


             ในที่สุด จิตเดิมแท้ที่เคยถูกบดบังเลือนหายไป  จะกลับคืนมาส่องประกายที่สุกใส ส่องสว่างประดับเด่นอยู่กลางดวงใจ   จนสัมผัสได้ถึงการมีชีวิตใหม่ ที่ไม่รู้สึกอ้างว้างว้าเหว่หรือโดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไปในชีวิตนี้


                                                                      คุรุอตีศะ
                                                               ๓๐  มิถุนายน  ๒๕๕๗