ความรู้มิอาจสู้จินตนาการ

ความรู้มิอาจสู้จินตนาการ

 


              ความรู้หรือวุฒิการศึกษาตามระบบ  ไม่อาจทำให้คนเราพบกับความสำเร็จเสมอไป  ขณะเดียวกันในทางกลับกัน  บุคคลบางคนที่ไม่ได้เรียนจบหรือมีวุฒิการศึกษาตามระบบที่คนส่วนใหญ่จบออกมา  กลับเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตสูงกว่าคนที่เรียนจบปริญญาหลายเท่า  ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมายในสังคม


              สิ่งที่ทำให้คนมีความรู้เท่ากัน  แต่ประสบความสำเร็จในชีวิตต่างกัน  หรือคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือในระบบมากมายอะไรนัก  แต่กลับมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณ สามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง  จนทำให้ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ  ก็เป็นเพราะบุคคลนั้นมีจินตนาการสูงกว่าบุคคลธรรมดา


             นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก ล้วนเป็นผู้มีจินตนาการสูงเป็นพิเศษกว่าคนทั่วไป  การค้นพบทฤษฎีสำคัญและมีอิทธิพลต่อโลกอย่างมากมายในเวลาต่อมานั้น  สิ่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการค้นพบสิ่งเหล่านั้น ก็คือพลังสมาธิและพลังแห่งจินตนาการ


           แต่ว่านักเรียนนักศึกษาที่เรียนเพื่อเข้าใจในทฤษฎีของเขาในภายหลังแทบทั้งหมด จะใช้แต่สมองฝั่งซ้ายคือความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลแบบตรรกวิทยา  โดยแทบจะไม่ได้ใช้สมองฝั่งขวาอันเป็นส่วนที่เป็นพลังแห่งจินตนาการ  นี้คือความต่างกันของนักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบสูตรหรือทฤษฎีสำคัญคนแรก  กับนักเรียนนักศึกษาผู้เรียนหรือพยายามทำความเข้าใจในตัวทฤษฎีนั้นในภายหลัง


           ครูบาอาจารย์ในทางธรรมบางรูปหรือบางคน  ท่านมีการศึกษาเพียงแค่ ป. ๔ แต่กลับมีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนทั้งหลาย  จนกระทั่งมีปัญญาชนที่จบปริญญาหรือคนอยู่ในสังคมชั้นสูงไปขอเป็นศิษย์อย่างมากมาย  ก็เพราะอานุภาพแห่งจินตนาการที่ท่านมีมากเป็นพิเศษ  บางท่านอาจทรงฌานอภิญญา  บางท่านอาจมีทั้งอภิญญาและทรงภูมิจิตเป็นอริยะ


           เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่า "บุญบารมี" บางทีก็เรียกว่า "พรสวรรค์"  แต่เมื่อจะสื่อสารให้ผู้คนสมัยนี้เข้าใจในเรื่องนี้นั้น  เราเรียกสิ่งนี้ว่า "จินตนาการ" อันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล


               การเรียนหนังสือสูง  อาจเป็นการบดบังหรือทำลายจินตนาการก็ได้  โดยเฉพาะการเรียนในสาขาวิชาที่ไม่ถนัดหรือมีใจรัก  แต่เรียนไปตามกระแสความนิยมของอาชีพตามยุคสมัย เรียนเพื่อเอาใจคนอื่น  หรือเรียนเพื่อจะได้หางานทำได้ง่าย  สิ่งเหล่านี้อาจไปทำลายจินตนาการหรือปิดบัง "พรสวรรค์ที่แท้จริงของตัวเอง"ที่ซ่อนอยู่ก็ได้  กลายเป็นคนมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอดหรือทำอะไรก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ  อันทำให้คนรอบข้างยากจะเข้าใจบุคคลชนิดนี้


               ความรู้ไม่อาจสู้จินตนาการได้  แต่เพราะคนเราโดยทั่วไปน้อยคนจะค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองชอบและถนัดในสิ่งใด   เราจึงมักยึดถือเอา "ความรู้หรือวุฒิการศึกษา" เป็นใหญ่ แต่นั่นคือหลักที่เป็นประโยชน์สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ที่ยังขาดจินตนาการหรือยังค้นหาตัวเองไม่เจอเท่านั้น


              สำหรับผู้ที่ค้นพบตัวเองแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองต้องการอะไร  ขอให้เอาจินตนาการเป็นหลักสำคัญที่ยิ่งใหญ่ ให้อยู่เหนือกว่าความรู้วุฒิการศึกษา  หรือการดิ้นรนแสวงหาทรัพย์สินเงินตรา  ชีวิตของบุคคลนั้นจะประสบกับความสำเร็จในด้านหนึ่งด้านใดอย่างแน่นอน


             คนมีจินตนาการจะมีความสามารถเหนือกว่าคนที่ทำงานด้วยความรู้หรือใช้สมองเพียงอย่างเดียว  เขาจะมีสติปัญญา มีความสามารถพิเศษเหนือคนอื่นอย่างน่าอัศจรรย์ ชนิดที่แม้แต่ตัวเขาเองหรือคนรอบข้างของเขานั้นก็ยังอดทึ่งหรืออดอัศจรรย์ใจไม่ได้


             คนเรียนสูงหรือมีวุฒิการศึกษา  มักจะถูกหล่อหลอมมาให้มีระบบความคิดแบบมีเหตุมีผลและต้องทำอะไรตามขั้นตอนตามแบบวิทยาศาสตร์   และมีความเชื่อมั่นว่าต้องทำแบบนั้นเท่านั้น งานที่ทำจึงจะทำได้สำเร็จเรียบร้อย   ระบบความคิดและระบบการใช้ชีวิตเช่นนั้นย่อมจำเป็นสำหรับทางโลก การแสวงหาความสำเร็จในทางโลกทั้งหมด  ล้วนอาศัยระบบความคิดแบบนี้เป็นหลัก


            แต่สำหรับอัจฉริยบุคคลทั้งหลาย ล้วนค้นพบสิ่งสำคัญในตอนที่จิตอยู่ในภาวะก้าวกระโดด ก้าวข้ามเหตุผลอย่างสิ้นเชิงในขณะนั้น  นี้คือพลังของจินตนาการของเซอร์ ไอแซค นิวตัน  อัลเบิร์ต ไอสไตน์  และนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกอีกหลายท่าน


             การบรรลุสมาธิหรือการบรรลุธรรมในทางศาสนาก็เช่นกัน  จิตขณะนั้นจะก้าวพ้นจากการปฏิบัติธรรมที่พากเพียรแบบเป็นขั้นเป็นตอนมาตลอดนั้นไป  กลายเป็นสภาวะการก้าวกระโดดทางจิตครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ชีวิตและจิตใจไม่ใช่เหมือนคนเดิมอีก  มองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น เป็นสิ่งที่เกินกว่าคำอธิบาย  ไม่ต้องอาศัยเหตุผลทางตรรกะ  ในทำนองเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญได้ค้นพบบางสิ่งที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อนนั่นเอง


             จินตนาการที่ว่านี้  หากได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่  เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ญาณหยั่งรู้" สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในอดีตหรือในอนาคตได้  เหมือนที่เรามักเคยได้ยินความสามารถในการหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆของครูบาอาจารย์หรือพระอริยเจ้าผู้มีคุณวิเศษ


             ผู้ที่โชคดีมีจินตนาการดังกล่าวอยู่ในตัว  จงอย่าให้ความรู้ในทางโลกมาเป็นขยะแก่จิตใจหรือปล่อยให้ข้อมูลข่าวสารอันไร้สาระมาเป็นพิษภัยทำลายจิตใจ อันทำให้กลายเป็นภาระแก่สมองและดวงจิตโดยไม่เกิดประโยชน์  แต่จงถนอมทรัพย์อันมีค่ายิ่งนี้ไว้อย่างเงียบกริบ  เพราะเป็นทรัพย์อันหาได้ยากและมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์ทั้งปวงในโลก


              อริยบุคคลในทางธรรมและอัจฉริยบุคคลในทางโลก  ล้วนเป็นผู้ค้นพบทรัพย์ภายในอันยิ่งใหญ่คือจินตนาการที่มีอยู่ในตัวเอง  วุฒิการศึกษาและวิชาความรู้ไม่ว่าสาขาใดในทางโลก  เมื่อเทียบกับอานุภาพและความพิเศษของจินตนาการ  ย่อมเปรียบเหมือนเอาภาชนะที่ทำด้วยดินเหนียวไปเทียบกับภาชนะที่สำเร็จด้วยทองคำ

 
               หากเราได้พบบุคคลชนิดนี้  แม้เราจะมีความรู้มามากมายและมีปริญญากี่ใบก็ตาม  เราต้องยกบุคคลชนิดนี้ไว้ใน "ฐานะบุคคลพิเศษ"  เราจะเอาวิธีคิดตามแบบเหตุผลที่เราได้รับการอบรมสั่งสอนตลอดมานั้น มาใช้กับบุคคลชนิดนี้มิได้เลย

 

                ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาหรือปริญญา  เป็นเพียงข้อมูลความทรงจำที่บันทึกไว้ในสมองของบุคคลในชาตินี้เท่านั้น  ส่วนจินตนาการคือศักยภาพของดวงจิตที่ได้รับการพัฒนาและสั่งสมอบรมมามาข้ามภพข้ามชาติ

 

                 ความรู้หรือวุฒิการศึกษาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของจินตนาการ  ความรู้เทียบได้กับดวงดาวอันน้อยนิดบนท้องฟ้า ส่วนจินตนาการเปรียบได้กับดวงอาทิตย์ที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล  ดังนั้น ความรู้จึงมิอาจสู้จินตนาการได้เลย 

 

                                                                                  คุรุอตีศะ
                                                                         ๒๘  มิถุนายน  ๒๕๕๗