ความรู้มิอาจสู้จินตนาการ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความรู้มิอาจสู้จินตนาการ
ความรู้หรือวุฒิการศึกษาตามระบบ ไม่อาจทำให้คนเราพบกับความสำเร็จเสมอไป ขณะเดียวกันในทางกลับกัน บุคคลบางคนที่ไม่ได้เรียนจบหรือมีวุฒิการศึกษาตามระบบที่คนส่วนใหญ่จบออกมา กลับเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตสูงกว่าคนที่เรียนจบปริญญาหลายเท่า ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมายในสังคม
สิ่งที่ทำให้คนมีความรู้เท่ากัน แต่ประสบความสำเร็จในชีวิตต่างกัน หรือคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือในระบบมากมายอะไรนัก แต่กลับมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณ สามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง จนทำให้ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ก็เป็นเพราะบุคคลนั้นมีจินตนาการสูงกว่าบุคคลธรรมดา
นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก ล้วนเป็นผู้มีจินตนาการสูงเป็นพิเศษกว่าคนทั่วไป การค้นพบทฤษฎีสำคัญและมีอิทธิพลต่อโลกอย่างมากมายในเวลาต่อมานั้น สิ่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการค้นพบสิ่งเหล่านั้น ก็คือพลังสมาธิและพลังแห่งจินตนาการ
แต่ว่านักเรียนนักศึกษาที่เรียนเพื่อเข้าใจในทฤษฎีของเขาในภายหลังแทบทั้งหมด จะใช้แต่สมองฝั่งซ้ายคือความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลแบบตรรกวิทยา โดยแทบจะไม่ได้ใช้สมองฝั่งขวาอันเป็นส่วนที่เป็นพลังแห่งจินตนาการ นี้คือความต่างกันของนักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบสูตรหรือทฤษฎีสำคัญคนแรก กับนักเรียนนักศึกษาผู้เรียนหรือพยายามทำความเข้าใจในตัวทฤษฎีนั้นในภายหลัง
ครูบาอาจารย์ในทางธรรมบางรูปหรือบางคน ท่านมีการศึกษาเพียงแค่ ป. ๔ แต่กลับมีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนทั้งหลาย จนกระทั่งมีปัญญาชนที่จบปริญญาหรือคนอยู่ในสังคมชั้นสูงไปขอเป็นศิษย์อย่างมากมาย ก็เพราะอานุภาพแห่งจินตนาการที่ท่านมีมากเป็นพิเศษ บางท่านอาจทรงฌานอภิญญา บางท่านอาจมีทั้งอภิญญาและทรงภูมิจิตเป็นอริยะ
เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่า "บุญบารมี" บางทีก็เรียกว่า "พรสวรรค์" แต่เมื่อจะสื่อสารให้ผู้คนสมัยนี้เข้าใจในเรื่องนี้นั้น เราเรียกสิ่งนี้ว่า "จินตนาการ" อันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล
การเรียนหนังสือสูง อาจเป็นการบดบังหรือทำลายจินตนาการก็ได้ โดยเฉพาะการเรียนในสาขาวิชาที่ไม่ถนัดหรือมีใจรัก แต่เรียนไปตามกระแสความนิยมของอาชีพตามยุคสมัย เรียนเพื่อเอาใจคนอื่น หรือเรียนเพื่อจะได้หางานทำได้ง่าย สิ่งเหล่านี้อาจไปทำลายจินตนาการหรือปิดบัง "พรสวรรค์ที่แท้จริงของตัวเอง"ที่ซ่อนอยู่ก็ได้ กลายเป็นคนมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอดหรือทำอะไรก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ อันทำให้คนรอบข้างยากจะเข้าใจบุคคลชนิดนี้
ความรู้ไม่อาจสู้จินตนาการได้ แต่เพราะคนเราโดยทั่วไปน้อยคนจะค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองชอบและถนัดในสิ่งใด เราจึงมักยึดถือเอา "ความรู้หรือวุฒิการศึกษา" เป็นใหญ่ แต่นั่นคือหลักที่เป็นประโยชน์สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ที่ยังขาดจินตนาการหรือยังค้นหาตัวเองไม่เจอเท่านั้น
สำหรับผู้ที่ค้นพบตัวเองแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองต้องการอะไร ขอให้เอาจินตนาการเป็นหลักสำคัญที่ยิ่งใหญ่ ให้อยู่เหนือกว่าความรู้วุฒิการศึกษา หรือการดิ้นรนแสวงหาทรัพย์สินเงินตรา ชีวิตของบุคคลนั้นจะประสบกับความสำเร็จในด้านหนึ่งด้านใดอย่างแน่นอน
คนมีจินตนาการจะมีความสามารถเหนือกว่าคนที่ทำงานด้วยความรู้หรือใช้สมองเพียงอย่างเดียว เขาจะมีสติปัญญา มีความสามารถพิเศษเหนือคนอื่นอย่างน่าอัศจรรย์ ชนิดที่แม้แต่ตัวเขาเองหรือคนรอบข้างของเขานั้นก็ยังอดทึ่งหรืออดอัศจรรย์ใจไม่ได้
คนเรียนสูงหรือมีวุฒิการศึกษา มักจะถูกหล่อหลอมมาให้มีระบบความคิดแบบมีเหตุมีผลและต้องทำอะไรตามขั้นตอนตามแบบวิทยาศาสตร์ และมีความเชื่อมั่นว่าต้องทำแบบนั้นเท่านั้น งานที่ทำจึงจะทำได้สำเร็จเรียบร้อย ระบบความคิดและระบบการใช้ชีวิตเช่นนั้นย่อมจำเป็นสำหรับทางโลก การแสวงหาความสำเร็จในทางโลกทั้งหมด ล้วนอาศัยระบบความคิดแบบนี้เป็นหลัก
แต่สำหรับอัจฉริยบุคคลทั้งหลาย ล้วนค้นพบสิ่งสำคัญในตอนที่จิตอยู่ในภาวะก้าวกระโดด ก้าวข้ามเหตุผลอย่างสิ้นเชิงในขณะนั้น นี้คือพลังของจินตนาการของเซอร์ ไอแซค นิวตัน อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกอีกหลายท่าน
การบรรลุสมาธิหรือการบรรลุธรรมในทางศาสนาก็เช่นกัน จิตขณะนั้นจะก้าวพ้นจากการปฏิบัติธรรมที่พากเพียรแบบเป็นขั้นเป็นตอนมาตลอดนั้นไป กลายเป็นสภาวะการก้าวกระโดดทางจิตครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ชีวิตและจิตใจไม่ใช่เหมือนคนเดิมอีก มองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น เป็นสิ่งที่เกินกว่าคำอธิบาย ไม่ต้องอาศัยเหตุผลทางตรรกะ ในทำนองเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญได้ค้นพบบางสิ่งที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อนนั่นเอง
จินตนาการที่ว่านี้ หากได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ญาณหยั่งรู้" สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในอดีตหรือในอนาคตได้ เหมือนที่เรามักเคยได้ยินความสามารถในการหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆของครูบาอาจารย์หรือพระอริยเจ้าผู้มีคุณวิเศษ
ผู้ที่โชคดีมีจินตนาการดังกล่าวอยู่ในตัว จงอย่าให้ความรู้ในทางโลกมาเป็นขยะแก่จิตใจหรือปล่อยให้ข้อมูลข่าวสารอันไร้สาระมาเป็นพิษภัยทำลายจิตใจ อันทำให้กลายเป็นภาระแก่สมองและดวงจิตโดยไม่เกิดประโยชน์ แต่จงถนอมทรัพย์อันมีค่ายิ่งนี้ไว้อย่างเงียบกริบ เพราะเป็นทรัพย์อันหาได้ยากและมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์ทั้งปวงในโลก
อริยบุคคลในทางธรรมและอัจฉริยบุคคลในทางโลก ล้วนเป็นผู้ค้นพบทรัพย์ภายในอันยิ่งใหญ่คือจินตนาการที่มีอยู่ในตัวเอง วุฒิการศึกษาและวิชาความรู้ไม่ว่าสาขาใดในทางโลก เมื่อเทียบกับอานุภาพและความพิเศษของจินตนาการ ย่อมเปรียบเหมือนเอาภาชนะที่ทำด้วยดินเหนียวไปเทียบกับภาชนะที่สำเร็จด้วยทองคำ
หากเราได้พบบุคคลชนิดนี้ แม้เราจะมีความรู้มามากมายและมีปริญญากี่ใบก็ตาม เราต้องยกบุคคลชนิดนี้ไว้ใน "ฐานะบุคคลพิเศษ" เราจะเอาวิธีคิดตามแบบเหตุผลที่เราได้รับการอบรมสั่งสอนตลอดมานั้น มาใช้กับบุคคลชนิดนี้มิได้เลย
ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาหรือปริญญา เป็นเพียงข้อมูลความทรงจำที่บันทึกไว้ในสมองของบุคคลในชาตินี้เท่านั้น ส่วนจินตนาการคือศักยภาพของดวงจิตที่ได้รับการพัฒนาและสั่งสมอบรมมามาข้ามภพข้ามชาติ
ความรู้หรือวุฒิการศึกษาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของจินตนาการ ความรู้เทียบได้กับดวงดาวอันน้อยนิดบนท้องฟ้า ส่วนจินตนาการเปรียบได้กับดวงอาทิตย์ที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดังนั้น ความรู้จึงมิอาจสู้จินตนาการได้เลย
คุรุอตีศะ
๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๗