ความรักกับอิสรภาพ

ความรักกับอิสรภาพ

 


                ความรักที่จะเป็นพลังสร้างสรรค์และมีปีติหล่อเลี้ยงใจ  ต้องเป็นความรักที่มาพร้อมกับอิสรภาพ  ความรักที่เรารู้จักกันโดยทั่วไป ที่มักมีแต่ความทุกข์ความหม่นหมอง  แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ความรัก  แต่คือการรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของหรือการพยายามครอบครองต่างหาก

 


                 หนุ่มสาวที่เพิ่งรักชอบพอและสนิทสนมกันใหม่ๆ  ที่มีความสุขสดใสก็เพราะต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้สึกยึดฝ่ายใดว่าเป็นสมบัติของตน  แต่ละฝ่ายยังมอบอิสรภาพให้แก่กันและกัน  นี้คือหัวใจที่ทั้งสองฝ่ายยังอุดมและอบอวลไปด้วยความรัก  เพราะยังไม่สามารถครอบครองหรือรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่


                  พอทั้งคู่เข้าสู่ประตูวิวาห์  หลังจากช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ผ่านพ้นไป  ทั้งสองเริ่มอึดอัดและไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง  แล้วเริ่มใช้วิชาการเมืองการปกครองแทนวิชาความรัก ใช้การบังคับให้อีกฝ่ายต้องทำตามความปรารถนาของตน  บางทีก็ใช้เล่ห์กลทุกวิถีทางเพื่อมัดใจอีกฝ่ายไว้ให้ได้ จึงกลายเป็นนักการเมืองกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ  แทนที่จะเป็นความรักความเห็นใจ  ตามที่ต่างฝ่ายต่างคาดหวังไว้ ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน


                   ด้วยเหตุนี้จึงมีสุภาษิตฝรั่งประโยคหนึ่งว่า "ความรักได้โบยบินออกไปทางหน้าต่าง ตั้งแต่นาทีแรกที่จรดปลายปากกาเซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรส"  เพราะการที่คนเราต้องอาศัยกฎหมายควบคุมบังคับอีกฝ่ายไว้  แสดงถึงความไม่ไว้วางใจในตนเองว่าจะมีความสามารถมัดใจอีกฝ่ายด้วยความดีงามของตัวเองเพียงอย่างเดียวได้

 
                    ความจริงแล้ว  เหตุที่กฎหมายจำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตสมรสหรือการแต่งงานนั้น  ไม่ใช่เหตุผลของความรักแต่อย่างใด  แต่เป็นเรื่องของการจัดการทรัพย์สินเมื่อทั้งสองฝ่ายต้องแยกกันหรือหย่าร้างกันต่างหาก


                   การมีทะเบียนสมรสจึงเป็นหลักประกันให้แก่ฝ่ายหญิงว่า เมื่อต้องถูกฝ่ายชายทอดทิ้งหรือต้องหย่าร้างกัน  เธอนั้นก็ยังมีส่วนแบ่งในสินสมรสที่ทั้งคู่ทำมาหาเลี้ยงชีพมาด้วยกัน  กฎหมายจึงเป็นคนละเรื่องกับความรัก  เพราะความรักที่แท้จริงย่อมไม่ต้องอาศัยกฎหมาย  แต่อาศัยหัวใจและสิ่งดีงามที่มอบให้กันด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ เป็นน้ำหล่อเลี้ยงความรักให้งอกงามและเติบโตทุกคืนวัน


                 เมื่อมั่นใจในความรักที่แท้จริงภายในหัวใจของตัวเอง  ทะเบียนสมรสจะมีหรือไม่มีก็ได้  ดังจะเห็นได้จากคนแต่ก่อนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจดทะเบียนสมรสแต่อย่างใด  ทั้งสองกลับอยู่ด้วยกันจนวันตาย  เพราะความรักในหัวใจไม่เคยบินหนีไปไหนเลย


                   ยกเว้นแต่ในกรณีที่เกิดจากความรักอันแท้จริงที่ฝ่ายชายมอบให้ด้วยความเต็มใจ โดยที่ฝ่ายหญิงก็ไม่เคยเรียกร้อง  อย่างนี้แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีความรักที่อยู่เหนือกฎหมาย  แต่เอากฎหมายมารับใช้ความรัก  ให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของสมมุติโลกหรือสังคมเท่านั้น


                  ดังนั้น สุภาษิตฝรั่งดังกล่าวข้างต้นจึงกล่าวว่า ความรักได้บินจากไปตั้งแต่นาทีที่จดทะเบียนสมรส  เพราะที่ต้องจดทะเบียนสมรสไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายรักเขา แต่ต้องการควบคุมบังคับเขาทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิตประจำวันและในเรื่องทรัพย์สินเป็นหลัก อันนี้คือความรู้สึกที่เข้าใจในความรักและการแต่งงานอย่างลึกซึ้งของบุคคลผู้เป็นนักปราชญ์  จึงสามารถกล่าวออกมาได้เช่นนั้น  ซึ่งบุคคลธรรมดาทั่วไปจะไม่มีใครคิดได้ลึกซึ้งแบบนี้


                  การที่ผู้คนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและมีทัศนคติเช่นนี้  จึงมักมีคำพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆว่า "ความรัก ได้สูญสิ้นไปตั้งแต่คืนแรกที่เข้าสู่เรือนหอ"  บางทีก็มีคำพูดว่า "การแต่งงานคือการติดคุก"


                  หากเข้าใจว่าการแต่งงานคือการเป็นเจ้าของ หรือการครอบครองอีกฝ่ายหนึ่ง ดุจเป็นสมบัติหรือวัตถุชิ้นหนึ่ง  การแต่งงานย่อมเปรียบเหมือนการติดคุกเป็นแน่อย่างไม่ต้องสงสัย  การแต่งงานของบุคคลนั้นย่อมคือการสูญสิ้นอิสรภาพลงในทันใด  จากแต่ก่อนจะเจ้าชู้ ปล่อยตัวปล่อยใจอย่างไรก็ได้  แต่ตอนนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว  ใครที่แต่งงานด้วยความรู้สึกที่ถูกบังคับให้หยุดการเจ้าชู้เช่นนี้แหละที่เข้าในข่ายของสุภาษิตฝรั่งข้างต้น  ที่บอกว่า "ความรักได้โบยบินจากไป  นับแต่นาทีแรกที่จรดปลายปากกาลงในทะเบียนสมรส"


                   แต่สำหรับบุคคลที่มีสติปัญญามองชีวิตให้สูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น  โดยเข้าใจว่าการแต่งงานคือการที่สองเราจะได้เป็นเพื่อนชีวิตในการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  ที่จะร่วมกันพากเพียรบากบั่นในการบำเพ็ญบารมีและสร้างกุศลคุณงามความดีตลอดชาติจนกว่าจะตายจากกัน  ความรักและการแต่งงานของชายหญิงคู่นั้น  จะกลายเป็นผู้ได้รับมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติทันตาเห็นในชาติปัจจุบันนี้


                 การแต่งงานของทั้งคู่จะกลายเป็นพลังสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่  และการจรดปลายปากกาลงในทะเบียนสมรสจะมีหรือไม่  ย่อมไม่เป็นความสำคัญอะไรสำหรับหัวใจของคนทั้งสอง  และหากมีโอกาสจรดปลายปากกาลงไป  ลายเซ็นของทั้งสองจะไม่มีการทำให้ความรักโบยบินจากไป  มีแต่จะเพิ่มพูนสัญญาใจที่มอบให้แก่กัน ด้วยความรักและภักดีอย่างมั่นคง


                ความรักที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น  ถือตัวว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ  พยายามจะครอบครองให้อีกฝ่ายให้อยู่ในอำนาจ  ความรักเช่นนั้นต่างหากที่เป็นไปตามสุภาษิตของฝรั่ง  ที่รู้สึกว่าการแต่งงานคือการติดคุก  และการจดทะเบียนสมรสคือการโบยบินจากไปของความรักที่เคยมีต่อกัน

 
               ผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบัน เพราะไปถือคติตามสุภาษิตดังกล่าวนั้น  จึงมีชีวิตสมรสอันแสนสั้น  เพราะไปมองว่าการแต่งงานคือการสิ้นสุดของความรักหรือการสิ้นสุดอิสรภาพ  การแต่งงานคือการจับจองเพื่อความสุขในเรื่องเพศสัมพันธ์  การแต่งงานคือการหาทรัพย์สินและสร้างฐานะร่วมกัน    ฯลฯ  ใครเล่าจะไปอยู่กับคนผู้มีหัวใจตายด้านเช่นนั้นได้นาน  เพราะมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ไขลาน  ดังนั้น  พออ้อยสิ้นรสหวาน  ต่างคนจึงต่างพยายามหนีไปกันคนละทาง รีบทะยานออกจากคุกอันเก่า แล้วก็ไปแสวงหาคุกอันใหม่ ที่เพิ่งทาสีใหม่และก่อกำแพงที่หนาทึบยิ่งกว่าเดิม


                  ผู้ที่มีบุญวาสนาและมีโอกาสได้สดับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เราจะไม่เผลอไปยึดถือเอาสุภาษิตของบุคคลผู้เจ้าชู้แล้วต้องจำใจแต่งงานด้วยเหตุการณ์บังคับ ให้ชีวิตสมรสของเราต้องอยู่อย่างต้อยต่ำและอับเฉาแบบนั้น  แต่เราต้องยกฐานะความรักและการแต่งงานของเราให้เป็นสิ่งสูงส่ง ให้เป็นคู่ชีวิต คู่สร้างบารมี  การแต่งงานหรือชีวิตสมรสของเราในชีวิตนี้  จึงจะเป็นพลังสร้างสรรค์และช่วยกันบากบั่นสร้างกุศลความดีจนกว่าจะถึงวันแห่งการสิ้นลมหายใจ  ความรักของเราจะไม่มีวันโบยบินหนีหายไปไหน  มีแต่จะงอกงามผลิบานยิ่งขึ้นเป็นทับทวีคูณ


                      ความรักของพระโสดาบันบุคคลต่างจากความรักของปุถุชน  เพราะความรักของท่านมีอิสรภาพอยู่ภายในนั้นด้วย  ปุถุชนรักเพื่อครอบครองและเป็นเจ้าของด้วยความยึดมั่นถือมั่น  แต่พระโสดาบันท่านมีความรักพร้อมกับมอบอิสรภาพให้แก่คนที่ท่านรักด้วย  ความรักของท่านจึงงดงามกว่าและเปี่ยมด้วยความเมตตา


                   มีความเข้าใจ  มีความเห็นอกเห็นใจ  ซื่อสัตย์และจริงใจ โดยไม่มีการเรียกร้องหาความซื่อสัตย์และความจริงใจจากอีกฝ่าย  แต่ถึงแม้ไม่เรียกร้องและปรารถนา  อีกฝ่ายกลับมอบความรัก ความซื่อสัตย์และความจริงใจให้ด้วยความซาบซึ้งและเต็มใจ  เพราะอานุภาพแห่งความรักที่ไร้เงื่อนไขและปราศจากการครอบครองด้วยความเห็นแก่ตัว   ใครเล่าจะไม่รักและจริงใจต่อบุคคลที่มีหัวใจที่ดีงามและบริสุทธิ์จริงใจต่อมนุษย์เช่นนี้


                    ความรักต้องมีมาคู่กับอิสรภาพ  ความรักนั้นจึงเต็มเปี่ยมด้วยความสุข  ความรักที่เต็มไปด้วยความทุกข์  ก็เพราะต้องการจะครอบครอบหรือการยึดมั่นในการเป็นเจ้าของต่างหาก  จะว่าไปแล้ว  อาจยังไม่จัดว่าเป็นความรักเสียทีเดียวนัก  เพราะเป็นเพียงความรักในระดับต่ำที่สุด อันเป็นเพียงความรักในระดับสัญชาตญาณ  เป็นความรักเพื่อประโยชน์ ความอยู่รอด หรือความสุขของตัวเอง  มากกว่าจะเป็นความรักที่เป็นผู้มอบความสุขหรือสิ่งดีงามให้แก่บุคคลอันเป็นที่รักของตน


                      การแต่งงานหรือชีวิตสมรส ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความสุขหรือผลประโยชน์ของตัวเอง  การแต่งงานนั้นย่อมเหมือนการติดคุกตามสุภาษิตฝรั่ง  ย่อมเต็มไปด้วยความหึงหวง ความยึดมั่นถือมั่น  การพยายามจะครอบครองหรือควบคุมให้อีกฝ่ายอยู่ในอำนาจ  บางทีก็ต้องใช้เล่ห์กลชิงไหวชิงพริบเหมือนนักการเมืองกระทำต่อกัน  การแต่งงานเช่นนั้น ความรักย่อมโบยบินออกทางหน้าต่างตั้งแต่วันจดทะเบียนสมรสแน่นอน


                        แต่คู่รักหรือคู่สมรสใด  ไม่ปล่อยใจของเราให้มุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์จากอีกฝ่ายเช่นนั้น  แต่ยกชีวิตการแต่งงานหรือชีวิตคู่ของเราให้สูงส่งขึ้นตามแบบความรักของพระโสดาบัน  การแต่งงานนั้นจะกลายเป็นคู่บุญ คู่บารมี  ชีวิตของทั้งสองย่อมมีทั้งความรักและมีอิสรภาพอยู่ในตัว


                          ผู้ใดสามารถเข้าใจถึงความรักกับอิสรภาพเช่นนี้  การแต่งงานหรือชีวิตคู่ของบุคคลนั้น  จะเหมือนกับการได้อยู่ในสรวงสวรรค์  แม้ว่าชีวิตความเป็นจริงในปัจจุบัน  อาจต้องเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยไปกับการประกอบอาชีพหรือทำการงาน  แต่ภายในหัวใจจะมีความปลื้มปีติเหมือนได้อยู่ในสวรรค์ ซึ่งผู้คนทั้งหลายทั่วไปนั้น  อาจไม่ได้สัมผัสกับสวรรค์สมบัติที่เราได้รับอยู่ทุกวันนี้ในร่างของมนุษย์


                          จงรักเถิด  แต่จงอย่าพยายามครอบครองสิ่งใด  แล้วความรักจะไม่มีวันโบยบินหนีหายไปไหน  ดวงใจที่ไม่เคยคิดว่าเป็นเจ้าของสิ่งใดหรือบุคคลใด  ดวงใจนั้นจะเป็นที่รองรับความรักอันงดงามที่ไหลหลั่งมาไม่ขาดสาย


                         ความรักย่อมคู่กับอิสรภาพ  ยิ่งไม่ครอบครอง ยิ่งมั่นคงงอกงามและเติบโตไพศาล  ยิ่งไม่รู้สึกเป็นเจ้าของ  สิ่งนั้นกลับสมัครใจมาให้เราครอบครอง  และเป็นเจ้าของตลอดไป


                                                                                          
                                                                                           คุรุอตีศะ
                                                                                  ๒๘  เมษายน  ๒๕๕๗