ความรักกับอิสรภาพ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความรักกับอิสรภาพ
ความรักที่จะเป็นพลังสร้างสรรค์และมีปีติหล่อเลี้ยงใจ ต้องเป็นความรักที่มาพร้อมกับอิสรภาพ ความรักที่เรารู้จักกันโดยทั่วไป ที่มักมีแต่ความทุกข์ความหม่นหมอง แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ความรัก แต่คือการรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของหรือการพยายามครอบครองต่างหาก
หนุ่มสาวที่เพิ่งรักชอบพอและสนิทสนมกันใหม่ๆ ที่มีความสุขสดใสก็เพราะต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้สึกยึดฝ่ายใดว่าเป็นสมบัติของตน แต่ละฝ่ายยังมอบอิสรภาพให้แก่กันและกัน นี้คือหัวใจที่ทั้งสองฝ่ายยังอุดมและอบอวลไปด้วยความรัก เพราะยังไม่สามารถครอบครองหรือรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่
พอทั้งคู่เข้าสู่ประตูวิวาห์ หลังจากช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ผ่านพ้นไป ทั้งสองเริ่มอึดอัดและไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วเริ่มใช้วิชาการเมืองการปกครองแทนวิชาความรัก ใช้การบังคับให้อีกฝ่ายต้องทำตามความปรารถนาของตน บางทีก็ใช้เล่ห์กลทุกวิถีทางเพื่อมัดใจอีกฝ่ายไว้ให้ได้ จึงกลายเป็นนักการเมืองกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ แทนที่จะเป็นความรักความเห็นใจ ตามที่ต่างฝ่ายต่างคาดหวังไว้ ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน
ด้วยเหตุนี้จึงมีสุภาษิตฝรั่งประโยคหนึ่งว่า "ความรักได้โบยบินออกไปทางหน้าต่าง ตั้งแต่นาทีแรกที่จรดปลายปากกาเซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรส" เพราะการที่คนเราต้องอาศัยกฎหมายควบคุมบังคับอีกฝ่ายไว้ แสดงถึงความไม่ไว้วางใจในตนเองว่าจะมีความสามารถมัดใจอีกฝ่ายด้วยความดีงามของตัวเองเพียงอย่างเดียวได้
ความจริงแล้ว เหตุที่กฎหมายจำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตสมรสหรือการแต่งงานนั้น ไม่ใช่เหตุผลของความรักแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของการจัดการทรัพย์สินเมื่อทั้งสองฝ่ายต้องแยกกันหรือหย่าร้างกันต่างหาก
การมีทะเบียนสมรสจึงเป็นหลักประกันให้แก่ฝ่ายหญิงว่า เมื่อต้องถูกฝ่ายชายทอดทิ้งหรือต้องหย่าร้างกัน เธอนั้นก็ยังมีส่วนแบ่งในสินสมรสที่ทั้งคู่ทำมาหาเลี้ยงชีพมาด้วยกัน กฎหมายจึงเป็นคนละเรื่องกับความรัก เพราะความรักที่แท้จริงย่อมไม่ต้องอาศัยกฎหมาย แต่อาศัยหัวใจและสิ่งดีงามที่มอบให้กันด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ เป็นน้ำหล่อเลี้ยงความรักให้งอกงามและเติบโตทุกคืนวัน
เมื่อมั่นใจในความรักที่แท้จริงภายในหัวใจของตัวเอง ทะเบียนสมรสจะมีหรือไม่มีก็ได้ ดังจะเห็นได้จากคนแต่ก่อนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจดทะเบียนสมรสแต่อย่างใด ทั้งสองกลับอยู่ด้วยกันจนวันตาย เพราะความรักในหัวใจไม่เคยบินหนีไปไหนเลย
ยกเว้นแต่ในกรณีที่เกิดจากความรักอันแท้จริงที่ฝ่ายชายมอบให้ด้วยความเต็มใจ โดยที่ฝ่ายหญิงก็ไม่เคยเรียกร้อง อย่างนี้แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีความรักที่อยู่เหนือกฎหมาย แต่เอากฎหมายมารับใช้ความรัก ให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของสมมุติโลกหรือสังคมเท่านั้น
ดังนั้น สุภาษิตฝรั่งดังกล่าวข้างต้นจึงกล่าวว่า ความรักได้บินจากไปตั้งแต่นาทีที่จดทะเบียนสมรส เพราะที่ต้องจดทะเบียนสมรสไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายรักเขา แต่ต้องการควบคุมบังคับเขาทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิตประจำวันและในเรื่องทรัพย์สินเป็นหลัก อันนี้คือความรู้สึกที่เข้าใจในความรักและการแต่งงานอย่างลึกซึ้งของบุคคลผู้เป็นนักปราชญ์ จึงสามารถกล่าวออกมาได้เช่นนั้น ซึ่งบุคคลธรรมดาทั่วไปจะไม่มีใครคิดได้ลึกซึ้งแบบนี้
การที่ผู้คนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและมีทัศนคติเช่นนี้ จึงมักมีคำพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆว่า "ความรัก ได้สูญสิ้นไปตั้งแต่คืนแรกที่เข้าสู่เรือนหอ" บางทีก็มีคำพูดว่า "การแต่งงานคือการติดคุก"
หากเข้าใจว่าการแต่งงานคือการเป็นเจ้าของ หรือการครอบครองอีกฝ่ายหนึ่ง ดุจเป็นสมบัติหรือวัตถุชิ้นหนึ่ง การแต่งงานย่อมเปรียบเหมือนการติดคุกเป็นแน่อย่างไม่ต้องสงสัย การแต่งงานของบุคคลนั้นย่อมคือการสูญสิ้นอิสรภาพลงในทันใด จากแต่ก่อนจะเจ้าชู้ ปล่อยตัวปล่อยใจอย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว ใครที่แต่งงานด้วยความรู้สึกที่ถูกบังคับให้หยุดการเจ้าชู้เช่นนี้แหละที่เข้าในข่ายของสุภาษิตฝรั่งข้างต้น ที่บอกว่า "ความรักได้โบยบินจากไป นับแต่นาทีแรกที่จรดปลายปากกาลงในทะเบียนสมรส"
แต่สำหรับบุคคลที่มีสติปัญญามองชีวิตให้สูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น โดยเข้าใจว่าการแต่งงานคือการที่สองเราจะได้เป็นเพื่อนชีวิตในการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่จะร่วมกันพากเพียรบากบั่นในการบำเพ็ญบารมีและสร้างกุศลคุณงามความดีตลอดชาติจนกว่าจะตายจากกัน ความรักและการแต่งงานของชายหญิงคู่นั้น จะกลายเป็นผู้ได้รับมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติทันตาเห็นในชาติปัจจุบันนี้
การแต่งงานของทั้งคู่จะกลายเป็นพลังสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ และการจรดปลายปากกาลงในทะเบียนสมรสจะมีหรือไม่ ย่อมไม่เป็นความสำคัญอะไรสำหรับหัวใจของคนทั้งสอง และหากมีโอกาสจรดปลายปากกาลงไป ลายเซ็นของทั้งสองจะไม่มีการทำให้ความรักโบยบินจากไป มีแต่จะเพิ่มพูนสัญญาใจที่มอบให้แก่กัน ด้วยความรักและภักดีอย่างมั่นคง
ความรักที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ถือตัวว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ พยายามจะครอบครองให้อีกฝ่ายให้อยู่ในอำนาจ ความรักเช่นนั้นต่างหากที่เป็นไปตามสุภาษิตของฝรั่ง ที่รู้สึกว่าการแต่งงานคือการติดคุก และการจดทะเบียนสมรสคือการโบยบินจากไปของความรักที่เคยมีต่อกัน
ผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบัน เพราะไปถือคติตามสุภาษิตดังกล่าวนั้น จึงมีชีวิตสมรสอันแสนสั้น เพราะไปมองว่าการแต่งงานคือการสิ้นสุดของความรักหรือการสิ้นสุดอิสรภาพ การแต่งงานคือการจับจองเพื่อความสุขในเรื่องเพศสัมพันธ์ การแต่งงานคือการหาทรัพย์สินและสร้างฐานะร่วมกัน ฯลฯ ใครเล่าจะไปอยู่กับคนผู้มีหัวใจตายด้านเช่นนั้นได้นาน เพราะมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ไขลาน ดังนั้น พออ้อยสิ้นรสหวาน ต่างคนจึงต่างพยายามหนีไปกันคนละทาง รีบทะยานออกจากคุกอันเก่า แล้วก็ไปแสวงหาคุกอันใหม่ ที่เพิ่งทาสีใหม่และก่อกำแพงที่หนาทึบยิ่งกว่าเดิม
ผู้ที่มีบุญวาสนาและมีโอกาสได้สดับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่เผลอไปยึดถือเอาสุภาษิตของบุคคลผู้เจ้าชู้แล้วต้องจำใจแต่งงานด้วยเหตุการณ์บังคับ ให้ชีวิตสมรสของเราต้องอยู่อย่างต้อยต่ำและอับเฉาแบบนั้น แต่เราต้องยกฐานะความรักและการแต่งงานของเราให้เป็นสิ่งสูงส่ง ให้เป็นคู่ชีวิต คู่สร้างบารมี การแต่งงานหรือชีวิตสมรสของเราในชีวิตนี้ จึงจะเป็นพลังสร้างสรรค์และช่วยกันบากบั่นสร้างกุศลความดีจนกว่าจะถึงวันแห่งการสิ้นลมหายใจ ความรักของเราจะไม่มีวันโบยบินหนีหายไปไหน มีแต่จะงอกงามผลิบานยิ่งขึ้นเป็นทับทวีคูณ
ความรักของพระโสดาบันบุคคลต่างจากความรักของปุถุชน เพราะความรักของท่านมีอิสรภาพอยู่ภายในนั้นด้วย ปุถุชนรักเพื่อครอบครองและเป็นเจ้าของด้วยความยึดมั่นถือมั่น แต่พระโสดาบันท่านมีความรักพร้อมกับมอบอิสรภาพให้แก่คนที่ท่านรักด้วย ความรักของท่านจึงงดงามกว่าและเปี่ยมด้วยความเมตตา
มีความเข้าใจ มีความเห็นอกเห็นใจ ซื่อสัตย์และจริงใจ โดยไม่มีการเรียกร้องหาความซื่อสัตย์และความจริงใจจากอีกฝ่าย แต่ถึงแม้ไม่เรียกร้องและปรารถนา อีกฝ่ายกลับมอบความรัก ความซื่อสัตย์และความจริงใจให้ด้วยความซาบซึ้งและเต็มใจ เพราะอานุภาพแห่งความรักที่ไร้เงื่อนไขและปราศจากการครอบครองด้วยความเห็นแก่ตัว ใครเล่าจะไม่รักและจริงใจต่อบุคคลที่มีหัวใจที่ดีงามและบริสุทธิ์จริงใจต่อมนุษย์เช่นนี้
ความรักต้องมีมาคู่กับอิสรภาพ ความรักนั้นจึงเต็มเปี่ยมด้วยความสุข ความรักที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ก็เพราะต้องการจะครอบครอบหรือการยึดมั่นในการเป็นเจ้าของต่างหาก จะว่าไปแล้ว อาจยังไม่จัดว่าเป็นความรักเสียทีเดียวนัก เพราะเป็นเพียงความรักในระดับต่ำที่สุด อันเป็นเพียงความรักในระดับสัญชาตญาณ เป็นความรักเพื่อประโยชน์ ความอยู่รอด หรือความสุขของตัวเอง มากกว่าจะเป็นความรักที่เป็นผู้มอบความสุขหรือสิ่งดีงามให้แก่บุคคลอันเป็นที่รักของตน
การแต่งงานหรือชีวิตสมรส ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความสุขหรือผลประโยชน์ของตัวเอง การแต่งงานนั้นย่อมเหมือนการติดคุกตามสุภาษิตฝรั่ง ย่อมเต็มไปด้วยความหึงหวง ความยึดมั่นถือมั่น การพยายามจะครอบครองหรือควบคุมให้อีกฝ่ายอยู่ในอำนาจ บางทีก็ต้องใช้เล่ห์กลชิงไหวชิงพริบเหมือนนักการเมืองกระทำต่อกัน การแต่งงานเช่นนั้น ความรักย่อมโบยบินออกทางหน้าต่างตั้งแต่วันจดทะเบียนสมรสแน่นอน
แต่คู่รักหรือคู่สมรสใด ไม่ปล่อยใจของเราให้มุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์จากอีกฝ่ายเช่นนั้น แต่ยกชีวิตการแต่งงานหรือชีวิตคู่ของเราให้สูงส่งขึ้นตามแบบความรักของพระโสดาบัน การแต่งงานนั้นจะกลายเป็นคู่บุญ คู่บารมี ชีวิตของทั้งสองย่อมมีทั้งความรักและมีอิสรภาพอยู่ในตัว
ผู้ใดสามารถเข้าใจถึงความรักกับอิสรภาพเช่นนี้ การแต่งงานหรือชีวิตคู่ของบุคคลนั้น จะเหมือนกับการได้อยู่ในสรวงสวรรค์ แม้ว่าชีวิตความเป็นจริงในปัจจุบัน อาจต้องเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยไปกับการประกอบอาชีพหรือทำการงาน แต่ภายในหัวใจจะมีความปลื้มปีติเหมือนได้อยู่ในสวรรค์ ซึ่งผู้คนทั้งหลายทั่วไปนั้น อาจไม่ได้สัมผัสกับสวรรค์สมบัติที่เราได้รับอยู่ทุกวันนี้ในร่างของมนุษย์
จงรักเถิด แต่จงอย่าพยายามครอบครองสิ่งใด แล้วความรักจะไม่มีวันโบยบินหนีหายไปไหน ดวงใจที่ไม่เคยคิดว่าเป็นเจ้าของสิ่งใดหรือบุคคลใด ดวงใจนั้นจะเป็นที่รองรับความรักอันงดงามที่ไหลหลั่งมาไม่ขาดสาย
ความรักย่อมคู่กับอิสรภาพ ยิ่งไม่ครอบครอง ยิ่งมั่นคงงอกงามและเติบโตไพศาล ยิ่งไม่รู้สึกเป็นเจ้าของ สิ่งนั้นกลับสมัครใจมาให้เราครอบครอง และเป็นเจ้าของตลอดไป
คุรุอตีศะ
๒๘ เมษายน ๒๕๕๗