ปรับตัวปรับใจสู่ยุคใหม่
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ปรับตัวปรับใจสู่ยุคใหม่
ประเทศไทยของพวกเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ ทั้งการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน เปลี่ยนรัชกาล และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางสังคม วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง เราต้องพากันละทิฐิมานะและใช้สติให้มาก การเปลี่ยนผ่านจึงจะพบกับความสูญเสียและมีการบอบช้ำน้อยที่สุด
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราทุกคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงกันเป็นที่แน่นอนแล้ว เราไม่ควรดื้อรั้นดันทุรังในการที่จะพยายามฉุดรั้งให้บางสิ่งหรือหลายสิ่งคงเดิมหรือเหมือนเดิม เพราะเป็นการฝืนต่อกฎพระไตรลักษณ์คือความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง
สิ่งใดที่ถึงกาลเวลาต้องเปลี่ยนแปลงไป เราต้องกล้ายอมรับความจริงและกล้าที่จะต้อนรับความเปลี่ยนแปลงนั้น แม้อาจจะต้องฝืนใจและเจ็บปวดบ้าง แต่ก็ดีกว่าไปฝืนความเป็นจริง จนกระทั่งต้องพบกับความสูญเสียอันใหญ่หลวง เพราะการยึดติดต่อความสุขและประโยชน์ที่เคยได้รับตลอดมาของตัวเอง
การถือตัวว่าเราเท่านั้นเป็นคนดีมีคุณธรรม แล้วคิดว่าคนอื่นพวกอื่นด้อยคุณธรรมกว่า จะไม่อาจใช้ได้อีกต่อไปแล้ว เราเท่านั้นเป็นคนจงรักภักดีต่อสถาบัน ส่วนพวกอื่นที่คิดต่างไปจากพวกเรานั้นไม่มีความจงรักภักดี จะกลายเป็นความคิดที่ล้าสมัย จะไม่มีพลานุภาพและศักดิ์สิทธิ์เหมือนสามสิบปีก่อนอีกแล้ว นี้คือสิ่งที่หลายคนต้องปรับตัวปรับใจใหม่ เพราะว่าความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกนั้นเป็นกระแสที่เชี่ยวกรากเกินกว่าสิ่งใดและบุคคลใดจะต้านทานได้อีกแล้ว
ทัศนคติและแนวความคิดของคนกรุงเทพฯหรือคนภาคกลาง เคยดูหมิ่นเหยียดหยามคนเหนือคนอีสานตลอดระยะเวลาอันยาวนานมาเกือบหกสิบปีนั้น ต่อไปนี้จะต้องปรับความคิดปรับจิตใจใหม่ว่า จะดูหมิ่นและเหยียดหยามพวกเขาเช่นนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องยอมรับความมีศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน
อีกยี่สิบปีข้างหน้า คนกรุงเทพฯและคนภาคกลางที่เคยเหยียดหยามคนเหนือคนอีสานว่าโง่เขลา จะกลายเป็นพวกที่ต้องไปพึ่งพาคนเหนือคนอีสานด้วยเหตุการณ์บางอย่าง ความเอารัดเอาเปรียบที่กระทำต่อพวกเขามายาวนาน สุดท้ายต้องได้ไปพึ่งคนเหนือคนอีสาน ซึ่งผู้คนเขามีจิตใจซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ใจต่อเพื่อนมนุษย์มากกว่า ความอดทนต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกเหยียดหยามมาเป็นเวลานาน เมื่อเขาพ้นวิบากกรรม ย่อมเกิดตบะบารมีแก่กล้าและพบกับความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่อไป
เหมือนคนจีนที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบเพราะหนีภัยสงครามเมื่อหกสิบปีก่อน ต้องอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามและทนต่อความอดอยากสารพัด ในที่สุดเมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน ลูกหลานของคนจีนผู้มีบรรพบุรุษที่เคยอยู่อย่างต่ำต้อยและมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบเหล่านั้น ได้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคมไทยไปทั่วทุกวงการ ต่อไปภายหน้าคนเหนือและคนอีสาน ก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอิทธิพลต่อภูมิภาคนี้เช่นนั้น เพราะวิบากกรรมของพวกเขาได้หมดสิ้นแล้ว
ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปีสำหรับการปรับสมดุลในตัวมันเอง ผู้คนที่อยู่ในยุคสมัยเช่นนี้จะต้องมีสติปัญญากล้าแข็ง จึงจะสามารถประคองตนให้ได้รับผลจากการกระทบกระทั่งจากเหตุการณ์ต่างๆอย่างบอบช้ำน้อยที่สุด ที่จะให้ไม่ได้รับผลกระทบเลยย่อมเป็นไปไม่ได้
ผู้ที่ไม่ประมาทในชีวิต หมั่นศึกษาและปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ จนกระทั่งจิตใจมีความมั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่หวั่นไหวในกฎแห่งกรรม ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว บุคคลเช่นนี้จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่ก็จงอย่าประมาทว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว จงหมั่นภาวนาและดำรงตนอยู่ในศีลห้าไว้เสมอ
สำหรับผู้ที่ใจยังไม่สามารถปลงศรัทธาหยั่งลงในพระรัตนตรัยได้ จงหมั่นเจริญสติประคองใจของตนไม่ว่าจะทำการงานสิ่งใด หมั่นสวดมนต์เจริญบทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ที่สำคัญอย่าไปลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งที่คนทั่วไปเคารพบูชา ไม่ว่าจะเป็นของลัทธิหรือศาสนาใดก็ตาม
การลบหลู่สิ่งใดล้วนเป็นอกุศลจิต หากมีวิบากกรรมมาตัดรอน ไม่มีบุญค้ำจุนในขณะนั้น ก็อาจประสบอุบัติเหตุที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา ดังนั้น แม้ตนไม่นับถือ ก็อย่าลบหลู่ในสิ่งที่ผู้อื่นคณะอื่นนับถือ แม้แต่คนพิการ คนยากจน คนขอทาน เขายังไม่ชอบใจในการที่ใครมองเขาด้วยสายตาดูถูกดูหมิ่น
จะออกเดินทางท่องเที่ยวหรือทัศนศึกษาไปต่างสถานที่ต่างถิ่น ไกด์หรือคนนำเที่ยวต้องบอกนักท่องเที่ยวว่าตรงบริเวณนั้นมีสิ่งใดที่ชาวบ้านหรือคนท้องถิ่นนับถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง ครูอาจารย์ต้องสอนนักเรียนหรือลูกศิษย์ อย่าให้พวกเขาคะนองปากพูดอวดดีหรือลบหลู่สิ่งที่ลี้ลับข้างทางด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากในรถคันนั้นไม่มีคนมีศีลห้านั่งอยู่ในนั้นแม้แต่คนเดียว สิ่งที่เรามองไม่เห็นอาจให้โทษแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เกิดเภทภัยต่างๆอย่างคาดไม่ถึงก็ได้ หากเป็นพระสงฆ์ก็ควรรู้จักแผ่เมตตาแก่เหล่าภูตและสัมภเวสีข้างทาง ไม่เอาแต่พูดคุย นั่งหลับหรือนั่งเล่นเทคโนโลยี จึงจะมีบารมีคุ้มครองญาติโยมได้
ขอพวกเราในยุคนี้ จงอย่าทำตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์จนเกินไป แล้วเที่ยวไปอวดดีเที่ยวลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยสายตามนุษย์เข้า เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่ง "การพิพากษา" ตามคติของบางศาสนา คือ ในโลกมนุษย์อาจเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ในภพภูมิที่ลี้ลับก็มีความเฮี้ยนหรือศักดิ์สิทธิ์ในสัดส่วนที่ทัดเทียมกัน ดังนั้น ในโลกมนุษย์เราอยู่กับโลกดิจิตอล แต่ก็อย่าลืมเคารพในการมีอยู่ของภพภูมิสิ่งลี้ลับที่เกินวิสัยของมนุษย์ด้วย ชีวิตและความเป็นไปในแต่ละวันจึงจะแคล้วคลาดปลอดภัยและปราศจากอุปัทวันตรายทั้งปวง เว้นแต่ว่าหากวิบากกรรมมาถึง อิทธิฤทธิ์ใดๆก็ไม่สามารถต้านทานได้
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะเคยเป็นผู้มีสมาธิมาก่อนเพราะเคยบำเพ็ญมาแต่อดีตชาติ แต่ชาตินี้เขาระลึกชาติไม่ได้ เมื่อไม่มีโอกาสฟังอริยสัจสี่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงใช้สมาธิที่เคยมีมาแต่อดีตนั้นไปวิเคราะห์วิจัยสิ่งอันเป็นวัตถุภายนอก แล้วก็ประดิษฐ์สิ่งต่างๆขึ้นมา ซึ่งก็เรียกว่าฤทธิ์ได้เหมือนกัน หากพวกเขาเอาสมาธินั้นมาบำเพ็ญทางจิต เขาจะเกิดอภิญญาหรือกลายเป็นผู้รู้แจ้งในสัจธรรม
ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จึงไม่สนใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะวิทยาศาสตร์มีกำเนิดมาจากการพยายามปลดแอกจากการตกเป็นทาสและอิทธิพลของศาสนาในยุโรปสมัยก่อน และสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหานั้น ความจริงก็คือ "การแสวงหาการรู้แจ้ง" นั่นเอง เพียงแต่ไปแสวงหาภายนอกจิตเท่านั้น
เช่นเดียวกับในประเทศไทยเรา ผู้ที่ได้สมาธิท่านก็ไม่สนใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เพราะท่านรู้วิธีที่จะทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนปุถุชนคนทั่วไป จะต้องเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะอำนาจจิตของตัวเองยังไม่กล้าแข็งพอและไม่รู้กลไกของภพภูมิอันลี้ลับ ดังนั้นผู้รู้และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จึงสอนพวกเราว่า ไม่ให้พากันลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อป้องกันพวกเราไม่ให้มีอันตรายจากสิ่งที่สายตาของเรามองไม่เห็นนั่นเอง
หากต้องออกท้องทะเล ต้องโดยสารเรือ ก่อนออกจากฝั่งก็อย่าลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่ง การทำอะไรเพื่อความสนุกสนาน โดยไม่สนใจสิ่งใดที่ทำกันได้ตลอดมาโดยไม่มีอันตรายอะไรตลอดยี่สิบปีมานี้ ต่อไปนี้จะพากันประมาทแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะอุบัติเหตุเภทภัยต่างๆสามารถเกิดขึ้นได้โดยง่าย
ยุคสมัยนี้อาจพากันโทษว่าเป็นความผิดพลาดของคนนั้นคนนี้ หน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ เพราะเราเอาชีวิตของเราไปผูกไว้กับวิทยาศาสตร์ทางวัตถุมากเกินไป จนลืมไปว่ายังมีสิ่งลี้ลับอีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ในยุคของเรายังก้าวไปไม่ถึง
วิทยาศาสตร์ทางจิตที่ลี้ลับนี้เอง คือสิ่งที่พระอรหันต์หรือพระอริยเจ้าทั้งปวงท่านค้นพบและรู้แจ้งแล้ว จนดวงจิตของท่านปล่อยวางสรรพสิ่งในโลกนี้ได้
ขอให้เราทั้งหลายจงตั้งสติปรับตัวปรับใจใหม่ เพื่อการเปลี่ยนผ่านแห่งยุคสมัยอย่างปลอดภัย ไม่ว่าเหตุการณ์ของโลกและเหตุการณ์ภายนอกจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เราจะลืมไม่ได้คือการมีสติระลึกรู้ตัวในขณะนี้ไว้เสมอ
นั่นคือเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ ที่จะช่วยคุ้มครองป้องกันภัยทั้งกายและใจของเราไปจนตลอดชีวิต
คุรุอตีศะ
๒๐ เมษายน ๒๕๕๗