ใจที่ไร้อุปสรรค
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ใจที่ไร้อุปสรรค
หากไม่ต้องการเปลืองตัว ไม่กล้าจัดการลงโทษคนชั่ว คนทำผิด มีวิถีชีวิตให้เลือกสองอย่างคือ การเป็นพระอริยบุคคลเป็นโยคีฤาษีชีไพรอยู่ในป่า กับการอยู่เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจหรือบทบาทอะไรในสังคมหรือองค์กรนั้นๆ
คุณธรรมของนักปกครองนักบริหาร ที่ต้องมีเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างหนึ่งก็คือ การมีความกล้าหาญที่จะจัดการคนชั่ว คนเกเร คนผิดคนเลวตามสมควรแก่ความผิด โดยไม่มีอคติและคงไว้ซึ่งพรหมวิหาร ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะต้องใช้กำลังใจอย่างสูงและต้องมีอำนาจบารมีในตัวเอง จึงจะทำการได้สำเร็จลุล่วงและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
บุคคลใดไม่มีความกล้าหาญและมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวมั่นคงพอในการจะทำในสิ่งนี้ หากไปเป็นนักปกครองนักบริหาร เพราะความทะเยอทะยานหรือมักใหญ่ใฝ่สูงในตำแหน่งเพียงอย่างเดียว จะทำให้องค์กร หน่วยงาน หรือสถาบันนั้นๆล้มเหลวหรือล่มสลาย เพราะการเอาแต่รักษาน้ำใจคนทำผิดหรือคนเลว กลัวคนพาลจะโกรธ กลัวตัวเองจะเดือดร้อน จึงไม่กล้าเปลืองตัว ไม่กล้าจัดการอะไรในทางที่ถูกที่ควร สุดท้าย การไปใจดีกับคนทำผิดทำความชั่วความเลว จะเป็นการทำลายหน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆให้ล่มสลายลงด้วยนักปกครองหรือนักบริหารผู้อ่อนแอและขาดจิตสำนึกแห่งการเสียสละเช่นนั้นในวันหนึ่ง
ดังนั้น หากใครจะต้องทำหน้าที่ในทางปกครองหรือต้องรับหน้าที่บริหารงานในหน้าที่หนึ่งหน้าที่ใด ต้องมีความกล้าหาญในการจัดการลงโทษคนทำผิดคนทำชั่ว และต้องกล้าปกป้องคุ้มครองคนดี คนสุจริต คนมีคุณธรรม นี้คือคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ซึ่งคนที่มีหัวใจธรรมดาจะทำไม่ได้ แต่คือวิสัยและอำนาจบารมีเฉพาะตัวของการเป็นนักปกครองหรือนักบริหารโดยตรง
หลักการบริหารการปกครอง ต้องใช้หลัก " จัดการคนชั่ว อภิบาลคนดี" ไม่ใช่ไปใช้หลักปล่อยวางความดีความชั่วแบบพระอริยเจ้า การบริหารการปกครองต้องใช้หลักของปุถุชน คือต้องชี้ผิดชี้ถูก อะไรดีอะไรไม่ดี ต่างจากการดำเนินจิตอันเป็นเรื่องภายในส่วนตัว ต้องวางจิตอยู่เหนือดีเหนือชั่วและปล่อยวาง
ด้วยเหตุนี้พระอริยเจ้าในสายวัดป่าส่วนใหญ่ ท่านจึงมักให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้ให้รับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสเพื่อรับหน้าที่ปกครองบริหารจัดการงานแทน ส่วนท่านจะดำรงตนอยู่ในฐานะเป็นประธานเพื่อเป็นขวัญกำลังใจของทุกฝ่าย ไม่ต้องไปคอยชี้ผิดชี้ถูกแก่ใคร มีแต่แสดงธรรมโปรดผู้คนทั่วไปเสมอหน้ากันทั้งคนดีคนชั่ว ส่วนการจัดการคนชั่ว อภิบาลปกป้องคนดี ก็มีลูกศิษย์ที่ท่านไว้ใจในการช่วยบริหารงาน
นี้คือหลักการบริหารงานพระศาสนาซึ่งต่างจากการบริหารงานของชาวโลก หากใครไม่เข้าใจหลักการนี้ จะเข้าใจผิดโดยการเอาเรื่องการปล่อยวางไปใช้ในการบริหารงานบริหารบุคคล ใครทำผิดก็ไม่กล้าจัดการตักเตือนลงโทษ โดยคิดว่าวางเฉยดีกว่าเป็นการรักษาความมีคุณธรรมของตนไว้ ให้ผู้คนมองว่าตนเป็นคนดีมีคุณธรรมสูง แต่หาไม่รู้ว่าบางเรื่องบางกรณี กลายเป็นเรื่อง "ไร้คุณธรรม"ที่ไม่ปกป้องคนสุจริต คนดี แล้วปล่อยให้คนทำผิดทำชั่วเหิมเกริมและลอยนวลไม่มีความยำเกรงสิ่งใด
เมื่อเรารับหน้าที่ในการบริหารจัดการหรือรับหน้าที่ทางการปกครอง เราต้องรักษาคุณธรรมที่เหนือกว่าคนทั่วไป โดยการกล้าจัดการคนทำผิดทำชั่ว พร้อมทั้งคอยปกป้องคนสุจริตคนดีไม่ให้อยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว เราต้องทำสองสิ่งนี้จึงจะได้ชื่อว่านักบริหารนักปกครองที่มีคุณธรรม
บุคคลใดที่ดำรงไว้ซึ่งความกล้าหาญทางจริยธรรมเช่นนี้ อำนาจจิตของบุคคลนั้นจะเปลี่ยนจากดวงจิตของคนธรรมดา กลายเป็นดวงจิตของเทพเจ้าฝ่ายปกครองในสวรรค์ ซึ่งต้องใช้ความบากบั่นในการสร้างตบะบารมีมามากกว่าเหล่าเทวดาชั้นสามัญ เพราะไม่ใช่สั่งสมแต่บุญกุศลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ได้บำเพ็ญตบะเดชะมายิ่งยวดจึงจะดำรงฐานะเป็นเทพเจ้าฝ่ายปกครองได้ และตบะบารมีที่บำเพ็ญได้ยากกว่าการเป็นแค่เทวดาทั่วไป ก็คือการกล้าจัดการคนชั่วและอภิบาลคนดีนี้นั่นเอง
เส้นทางของพระอริยเจ้าคือการปล่อยวางทั้งความดีความชั่ว แต่ถ้าหากพระอริยเจ้ารูปนั้นท่านจำเป็นต้องมาทำหน้าที่ในการปกครองหรือบริหารงานในบางครั้งบางกรณี ท่านก็ยังต้องน้อมจิตลงมาจัดการคนชั่วและปกป้องคนดีตามสมมุติของชาวโลกเพื่อรักษาธรรมเนียมอันดีงามของโลกไว้ นี้คือดวงจิตที่เหนือโลกที่ปุถุชนยากจะหยั่งถึงและยากจะเข้าใจ
หากจิตดวงนี้ไม่ยึดติดทั้งดีและชั่วเป็นพื้นฐานของจิต จิตเดิมแท้รู้ชัดว่าไม่มีอะไรยึดได้ทั้งดีและชั่ว แต่เมื่อต้องทำหน้าที่ตามสมมุติโลกก็จัดการทุกอย่างไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้าโดยดำรงสติไว้ได้ไม่หมองมัว จะยกย่องคนดีหรือจัดการคนชั่วก็ทำไปตามเหตุตามปัจจัย
ดวงจิตใดดำเนินและเป็นไปเช่นนั้น ดวงจิตนั้นย่อมไร้ซึ่งอุปสรรคทั้งปวง แม้จะมีปัญหามากมายเพียงใด แต่ใจดวงนั้นย่อมไม่รู้สึกว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นคืออุปสรรคอีกแล้ว
คุรุอตีศะ
๒ เมษายน ๒๕๕๗