ในยามที่ต้องเดินคนเดียว
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ในยามที่ต้องเดินคนเดียว
ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไหวหวั่น แม้หากว่าวันนี้นั้นเราต้องก้าวเดินตามลำพังคนเดียว เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมหรือความเข้าใจจากใคร เพราะผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ความเห็นแก่ตัวและไม่ได้มีหัวใจที่รักความเป็นธรรมแต่อย่างใด
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราอาจได้เคยโอบอุ้มช่วยเหลือเป็นกำลังใจและเป็นเพื่อนให้แก่ผู้คนมามากมาย แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เราต้องการความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจจากผู้คนทั้งหลาย เราอาจไม่เหลือใครที่เข้าใจและเห็นใจ จากที่เคยมีคนอื่นมาขอความช่วยเหลือและขอกำลังใจ แต่เมื่อถึงวันหนึ่งเราอาจไม่มีใครและสุดท้ายเราอาจกลายเป็นคนที่ต้องก้าวเดินไปบนโลกใบนี้ตามลำพัง
แม้ว่าชีวิตในวันนี้ไม่มีใคร แต่เราก็จงก้าวเดินต่อไปด้วยสติอันมั่นคงไว้เสมอ เราเกิดมาลืมตาดูโลกเราก็มาแต่ตัวและมาคนเดียว ผู้คนทั้งหลายที่เราได้ข้องเกี่ยวและสัมผัสสัมพันธ์ ล้วนเป็นสิ่งที่เรามาได้พบและได้สัมพันธ์ในภายหลังทั้งสิ้น
เมื่อมาสู่โลกนี้ทุกคนก็มาคนเดียว เมื่อยามลาจากโลกนี้ไปก็ต้องไปตามลำพังคนเดียวเช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด ในสัจธรรมความเป็นจริง เราต่างก็ต้องเดินทางคนเดียวอยู่แล้วกันทุกคน เราจึงขอเอาเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอเหล่านี้เป็นเครื่องฝึกฝนความพร้อมในการเดินคนเดียวไปพลางก่อน
ความจริงแล้ว การเดินคนเดียวก็มีความสุขและมีอิสระอย่างหนึ่ง เราไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังหรือสาละวนกับผู้คนให้เปลืองเวลาและเปลืองสมองอีกแล้ว เราไม่ต้องรับผิดชอบและวิตกกังวลกับเขาอีกต่อไป พลังที่มีอยู่ส่วนใหญ่จึงสามารถทุ่มเทให้กับการก้าวเดินได้อย่างเต็มที่ จุดหมายปลายทางที่เรามีที่ถูกถ่วงรั้งด้วยภาระและผู้คนมาช้านานจะได้ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว
หากฤาษีห้าตนที่หลงติดในความเคร่งครัดตามอุปาทานที่ตนยึดถือ ไม่หลงเข้าใจผิดเจ้าชายสิทธัตถะว่าเป็นคนคลายจากความเพียรเวียนมาสู่ความเป็นคนมักมากเป็นคนใช้ไม่ได้ จึงพากันหนีพระองค์ไปแล้วละทิ้งพระองค์ไว้ตามลำพังในครั้งนั้น เจ้าชายสิทธัตถะอาจไม่มีวันได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะขาดความอิสระและต้องตกอยู่ภายใต้ความความกดดัน อันเกิดจากความคาดหวังอย่างมากของเหล่าปัญจวัคคีย์ที่รอว่าเมื่อไหร่พระองค์จะค้นพบสัจธรรมหรือตรัสรู้
ในยามที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงหรือท่ามกลางผู้คนที่มากมาย เราอาจรู้สึกอบอุ่นและสบายใจว่ามีเพื่อนร่วมเดินทางจำนวนมาก แต่ในท่ามกลางความอบอุ่นนั้น เราก็ได้รับความวุ่นวายและต้องคอยเอาอกเอาใจใครต่อใครโดยเราไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง
บุคคลที่ยอมแลกความเป็นตัวของตัวเองเพื่อเอาใจผู้คนอย่างมากมายเหล่านั้น ในบั้นปลายท้ายที่สุดก็จะพบว่าผู้คนต่างพากันแยกย้ายเดินไปตามทางที่เขาชอบใจโดยไม่ได้ใส่ใจตัวเราเองแทบทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะพยายามดึงดันและเรียกร้องเพียงใด สุดท้ายเขาก็เอาแต่ตัวของเขา ครอบครัวของเขา แล้วปล่อยให้เราค้างเติ่งอยู่กลางถนนและต้องเดินตามลำพังเหมือนเดิม
เมื่อในยามนี้ไม่มีใครสมัครใจที่จะก้าวเดินเป็นเพื่อนเราเหมือนเมื่อก่อน เราก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องมัวอาลัยอาวรณ์ต่อคนทั้งหลายเหล่านั้น เขาเลือกทางเดินของเขาโดยไม่อาศัยเราและไม่เชื่อฟังเราก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ทำอะไรอีกมากมายหลายอย่างที่เราไม่สามารถทำได้ในตอนนั้น แล้วเอามาาทำเสียในตอนนี้ในยามที่พวกเขาเหล่านั้นจากเราไป
เอาวันเวลาในยามที่ไม่มีใครนี้ มาสร้างสรรค์คุณงามความดีอย่างเป็นอิสระและเบิกบานให้มากขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ถูกผู้คนที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวฉุดกระชากลากถู จนแทบไม่เหลือความเป็นผู้เป็นคนมากเกินพอแล้ว ความใจดีและใจอ่อน เราจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธและหักหาญน้ำใจใคร ก็ต้องรอจนกว่าพวกเขาพากันละทิ้งเราหนีไปเราจึงพบความอิสระในตัวเอง
แทนที่จะน้อยใจและเสียใจที่พวกเขาพากันทิ้งเราไป เราควรภาคภูมิใจและมีความสุขที่ทำให้เราได้ค้นพบตัวเองและได้ความอิสระกลับคืนมาจะดีกว่า บางคนนั้นแบกคนอื่นอยู่จนกระทั่งวันตายไม่เคยได้ใช้ชีวิตที่เป็นของตัวเองตลอดมา ส่วนตัวเราโชคดีแล้วที่ได้มีวันพบกับความอิสระและกลับคืนสู่ความเป็นตัวเองเสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
อะไรเล่าจะยิ่งใหญ่เท่ากับการที่มนุษย์คนหนึ่งได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเอง อะไรจะยิ่งใหญ่เกินกว่าอิสรภาพของชีวิต บุคคลที่ประกาศอิสรภาพได้คนแรกในโลกก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาพระอรหันต์ทั้งหลายได้ฟังธรรมแล้วดวงจิตพบความอิสระก็ประกาศอิสรภาพตาม พระธรรมคำสั่งสอนของผู้เป็นพระบรมครูของชาวโลก ก็คือ หลักการและวิธีการสำหรับมนุษย์และเทวดาใช้ประกาศอิสรภาพจากพันธนาการทั้งปวงนั่นเอง
พระอริยบุคคลก็คือผู้มีวิชาและมีความสามารถในการประกาศอิสรภาพไม่ยอมก้มหัวและเป็นทาสสิ่งใด ผิดจากปุถุชนทั้งหลายที่ยอมและเป็นทาสได้ทุกสิ่งแม้จะทนทุกข์ทรมานมากมายเพียงใดก็ตามที
ขอจงกล้าก้าวเดินตามลำพังเสียแต่วันนี้ ขอจงเอาวันนี้เป็นวันแห่งการสถาปนาความเป็นตัวของตัวเองให้บังเกิดขึ้น ความรักความอบอุ่นอันแท้จริงไม่ใช่เกิดจาการวิ่งตามสังคมและผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลมายาเสแสร้งเหล่านั้นแต่อย่างใด แต่ความรักความอบอุ่นย่อมเกิดจากจิตใจที่อิสระและเป็นตัวของตัวเองต่างหาก
ไม่ต้องเสียใจที่ผู้คนทั้งหลายพากันตีจากออกจากชีวิตของเราไป เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่ตีจากไป ล้วนเป็นคนมาคบหาสัมพันธ์กับเราเพื่อประโยชน์ของตัวเขาแทบทั้งสิ้น หากเราเอาชีวิตและจิตใจไปผูกมัดกับบุคคลเหล่านั้น ทำนายได้ว่าอนาคตข้างหน้าก็จะมีแต่น้ำตาเป็นอาจิณ เมื่อตอนนี้เขาพากันหนีหน้าไปจากเราสิ้น นับเป็นความโชคดีและโอกาสของเราแล้ว
อันธรรมดานกกาย่อมพากันบินมาเกาะต้นไม้เต็มไปหมด ยามต้นไม้ต้นนั้นมีดอกและผลสะพรั่งอยู่เต็มต้น แต่ยามใดลูกผลของต้นไม้หมด นกกาก็บินจากไปไม่เหลียวแลต้นไม้นั้นอีก รอจนกว่าต้นไม้ต้นนั้นจะผลิดอกออกผลขึ้นมาใหม่ นกกาที่เคยหนีหน้าจากลาไปไกลแสนไกล ก็จะพากันบินกลับมาใหม่ เพื่อจิกกินผลไม้บนต้นเพื่อความอิ่มหนำสำราญของตนตามเดิม
การอยู่ท่ามกลางผู้คนส่วนใหญ่ที่มีความเห็นแก่ตนและมุ่งแต่ประโยชน์ของตนเป็นหลัก ผู้แสวงหาทางรู้แจ้งแห่งสัจธรรมและเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีจึงต้องมีหลัก อย่าได้เอาใจไปผูกพันและจริงจังกับผู้คนผู้หวังแต่ประโยชน์ตนทั้งหลาย หากเราพอหยิบยื่นพอช่วยเหลือเขาได้ เราก็ช่วยเหลือไป แต่ไม่ต้องไปผูกพันหรือผูกใจว่าเขาจะคิดเห็นบุญคุณหรือตอบแทนคุณความดีของเรา
ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงตรัสถึงสิ่งที่หาได้ยากในโลก ๒ ประเภท บุคคลประเภทแรกคือบุพการี ผู้ทำคุณแก่บุคคลอื่นไว้ก่อนโดยไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน ยกตัวอย่างเช่นบิดามารดา เป็นต้น กับบุคคลประเภทที่สอง คือกตัญญูกตเวที ผู้รู้คุณผู้อื่นที่ทำคุณความดีไว้แก่ตน บุคคลทั้งสองประเภทคือบุคคลที่หาได้ยากในโลก
ฉะนั้น การที่บุคคลใดทำคุณความดีหรือทำคุณประโยชน์ไว้กับใคร จึงต้องมีหลักไว้ในใจที่จะต้องไม่พึงหวังว่าบุคคลนั้นจะมองเห็นความดีหรือมีความกตัญญูรู้คุณ เพราะการเรียกร้องหรือการหวังเช่นนั้น เป็นการเรียกร้องหรือเป็นการหวังในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เป็นการหาบุคคลที่หาได้ยากในโลก" และเราจะเกิดความผิดหวังอยู่ร่ำไป
ทำความดีเพื่อความดี ทำความดีเพื่อบำเพ็ญบารมี ทำความดีเพื่อก่อสร้างสะสมเสบียงเพื่อไปสู่ภพหน้า ทำความดีเพื่อช่วยค้ำจุนและจรรโลงพระพุทธศาสนา เราจงตั้งใจทำความดีเพื่อสิ่งเหล่านี้ หัวใจของเราจึงจะปลอดภัยจากความผิดหวังที่มีต่อผู้คน
จงเป็นต้นไม้ที่ออกดอกออกผลบานสะพรั่ง เพื่อให้เหล่านกกาและสรรพสัตว์ได้อาศัย ไม่ต้องคาดหวังว่านกกาเหล่านั้นจะสำนึก ซาบซึ้ง หรือขอบคุณแต่อย่างใด เพียงหวังให้พวกเขาได้รับอาหารและอิ่มหนำสำราญสบายใจก็พอแล้ว
ในยามใดที่ดอกผลที่เคยเต็มต้นนั้นวายไปหมด เราก็พร้อมและเต็มใจที่ถึงวันนกกาพากันบินไปในที่อื่น เราจะได้อาศัยโอกาสที่ว่างเว้นและอิสระไม่มีใคร ค่อยๆฟูมฟักพลังขึ้นมาใหม่ เพื่อต้นไม้ได้ผลิดอกออกผลเพื่อความอิ่มหนำสำราญของพวกนกตามเดิม
ในยามที่ไม่มีใคร เราจงก้าวเดินไปตามลำพังด้วยท่วงทีอันงามสง่า ในยามที่ก้าวเดินตัวคนเดียวนี้ อาจเป็นช่วงเวลาที่เราอาจพบเพชรพลอยอันล้ำค่าอย่างที่ชีวิตไม่เคยได้พบมาก่อนก็ได้
สำหรับหัวใจที่เต็มเปี่ยมทั้งความเมตตาและความกล้าหาญ ใจดวงนี้ย่อมสามารถก้าวเดินได้อย่างองอาจและสง่างามเสมอ เดินไปในท่ามกลางผู้คนที่มีอยู่มากมาย แม้ว่าระยะทางในช่วงสุดท้าย ในยามนี้....จะมีแต่เราคนเดียวที่กำลังก้าวเดิน
คุรุอตีศะ
๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗