วันที่ไม่มีพระจันทร์เต็มดวง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
วันที่ไม่มีพระจันทร์เต็มดวง
ในหนึ่งเดือนนั้น ตลอดระยะเวลาของสามสิบวัน คืนที่พระจันทร์ส่องสว่างแจ่มกระจ่างเต็มดวงย่อมมีเพียงหนึ่งวัน ช่วงเวลาอันยาวนานทั้งก่อนและหลังคืนวันเพ็ญนอกจากนั้น จะมีแต่พระจันทร์เสี้ยวเป็นเพื่อนประดับท้องฟ้า และบางคราในวันแรมสิบห้าค่ำ กลับเป็นค่ำคืนอันมืดสนิทที่มีแต่ดวงดาว
ความสุข ความเบิกบาน ความสดใส ย่อมมาสู่ชีวิตของเราอย่างเต็มที่เพียงช่วงใดช่วงหนึ่ง วันเวลานอกจากนั้น เราต้องอยู่กับความเป็นจริงเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยวทั้งในยามข้างขึ้นและข้างแรม
ความทุกข์ความหม่นหมองย่อมมีในชีวิตอย่างมากมาย เพราะผู้คนทั้งหลายเอาสมอง หัวใจและเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทรอคอยแต่วันพระจันทร์เต็มดวงที่จะมาถึง พวกเขาไม่ยอมอยู่กับชีวิตที่เป็นจริงที่ในแต่ละเดือนแต่ละวันย่อมมีคืนแห่งพระจันทร์เสี้ยวมากกว่า
ความยึดมั่นถือมั่นและเอาแต่เฝ้ารอคอยคืนวันเพ็ญว่าเมื่อไหร่จะมา วันเวลาตลอดทั้งยี่สิบเก้าวัน จึงกลายเป็นวันแห่งความโศกเศร้าและทุกข์ระทมของผู้คนทั้งหลายทั่วไป
นักปราชญ์ผู้เข้าถึงสัจธรรมกล่าวไว้ว่า "ถ้าท่านไม่รู้จักความรัก ท่านจะรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย (lonely) แต่ถ้าท่านรักใครจริงๆสักคน มีความรักอย่างแท้จริงสักครั้ง ท่านจะกลายเป็นผู้ที่อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว (alone)"
ความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายกับการอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวเป็นคนละอย่างกัน นี้คือสิ่งที่ต่างกันระหว่างชีวิตพระอริยบุคคลกับปุถุชนประการสำคัญประการหนึ่ง ความว้าเหว่จึงต่างกับความวิเวก
ปุถุชนเมื่ออยู่ตามลำพังจะว้าเหว่หงอยเหงาและรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ใจของผู้เข้าถึงสัจธรรมในระดับใดระดับหนึ่งหรือพระอริยบุคคลชั้นต้น ย่อมจะสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวคนเดียวเพราะอานุภาพของสติสมาธิคุ้มครองใจ ความสุขของพระอริยะเมื่ออยู่ตามลำพังคนเดียวนี้คือความวิเวก
ความโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นความเศร้า แต่การอยู่ตามลำพังได้ด้วยตัวคนเดียวคือความสุขจากความวิเวกอันเป็นสมาธิระดับหนึ่ง นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายต่างมุ่งปฏิบัติเพื่อไปสู่ความวิเวกนี้
ความโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นความรู้สึกของการที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม เรากำลังต้องการใครสักคนและคนที่เราต้องการก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น คนเราส่วนใหญ่จึงกลัวการได้อยู่คนเดียวและกลัวความว้าเหว่ มนุษย์ทั้งหลายจึงต้องมีการแต่งงานเพื่อหลีกหนีความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายนี้นั่นเอง
การอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่ความโดดเดี่ยวเดียวดาย การอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวเป็นความรู้สึกว่าได้รับการเติมเต็ม เป็นความรู้สึกที่เพียงพอแล้วและไม่ต้องการใครอีกแล้ว และความรู้สึกนี้ย่อมเกิดได้ท่ามกลางหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักเท่านั้น
อะไรเล่า? ที่ทำให้หัวใจของท่านหญิงยูฮวาและท่านแฮโมซูต่างมีใจรักที่ซื่อสัตย์มั่นคงต่อกันได้จนตลอด แม้วันเวลาจะผ่านไปถึงยี่สิบปี ทั้งที่เต็มไปด้วยความพลัดพรากและมีแต่อุปสรรคมากมาย คนทั้งสองมีความสัมพันธ์กันเพียงครั้งเดียวท่ามกลางความไม่มีอะไรพร้อมในทุกด้าน ไม่มีพิธีแต่งงาน ไม่ได้มีความสุขในเรือนหอ ไม่มีการรับรู้ไม่มีสักขีพยานอะไรจากใคร มีแต่ความรักและความเข้าใจระหว่างคนทั้งสองเท่านั้น ก่อนให้กำเนิดกษัตริย์จูมงผู้ยิ่งใหญ่ผู้เป็นวีรบุรุษของชาวเกาหลีเมื่อครั้งโบราณ
การเข้าถึงความรักแท้ระหว่างคนทั้งสองนั่นเอง ที่ทำให้เกิดอานุภาพและมีความมั่นคงต่อกันถึงขั้นนั้นได้ ความรักเช่นนั้นเป็นความรักระดับจิตใจของเทพเจ้า เป็นความรักของพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี ซึ่งยากที่คนทั่วไปที่ไม่มีอุดมคติในชีวิตจะเข้าใจและหยั่งถึงหัวใจที่ประเสริฐเหนือมนุษย์เช่นนั้นได้
ในชีวิตของคนๆหนึ่ง หากใครเข้าถึงความรักในระดับนั้นได้อย่างแท้จริงสักครั้ง เขาหรือเธอผู้นั้นจะไม่ต้องการความรักจากใครอีกตลอดชีวิตของผู้นั้น ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล่าวไว้ว่าบุคคลที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน ย่อมรักเดียวใจเดียวไปจนวันตาย แม้สามีหรือภรรยาที่ครองชีวิตร่วมกันมา อีกฝ่ายจะตายไปก่อนปล่อยให้อีกฝ่ายต้องกลายเป็นหม้าย ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะครองตัวอยู่คนเดียวต่อไปจนถึงวันตาย ไม่มีการหาคนใหม่มาทดแทนคนเดิม พระโสดาบันไม่จำต้องอาศัยการสมาทานวิรัติศีลข้อสามอีกแล้ว แต่ที่ท่านไม่นอกใจคู่ครองก็เพราะการเข้าถึงรักแท้ มีความเมตตากรุณาอันสูงส่งประจำดวงจิตและมีสติรักษาใจ
ที่ท่านสามารถทำได้ในขณะที่คนทั่วไปทำไม่ได้เช่นนั้น ก็เพราะจิตของพระโสดาบันเข้าถึงความรักแท้ที่ไม่ต้องการใครมาเติมเต็มหรือมีความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่สำหรับปุถุชนยังตัดสังโยชน์สามข้อเบื้องต้นยังไม่ได้ จิตยังเข้าไม่ถึงความรักแท้ จึงยังต้องอาศัยกามารมณ์เป็นเครื่องหมายแสดงออกซึ่งความรักและความอบอุ่นใจ ปุถุชนจึงสามารถมีความรักและมีคู่ครองได้เรื่อยไป จนกว่าหัวใจของเขาจะเข้าถึงความรักชนิดนี้ในวันหนึ่ง คนที่หัวใจเรียกร้องและแสวงหาความรัก ก็แสวงหาความรักชนิดนี้นั่นเอง
คนที่มีความรักจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว จะสัมผัสได้ถึงความเต็มเปี่ยมที่มีอยู่ในตัว ความรักจะทำให้รู้สึกเต็ม จะทำให้เกิดพลังสร้างสรรค์และรู้สึกอยากแบ่งปันสิ่งดีงามให้กันและกัน เป็นพลังงานที่ไหลล้นออกจากอีกฝ่ายหนึ่งมอบให้อีกฝ่ายหนึ่งอย่างเต็มใจ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงต้องการความรักกันทั้งโลก
เมื่อหัวใจยังต้องการความรัก เราจงอยู่กับความรักให้เต็มที่ หากความรักที่มีอยู่ในหัวใจของเรานี้ มีความหวังดีและแผ่ออกไปด้วยดวงใจที่ประกอบด้วยการเสียสละและเกื้อกูล
ความรักที่ท่านห้ามไม่ให้ทุ่มเทแก่ใคร คือความรักที่เป็นเพียงแค่ความเสน่หาในกามารมณ์ที่ไร้พลังสร้างสรรค์ หรือความรักที่มีแต่ความสุขและประโยชน์สำหรับตัวเองเพียงคนเดียวต่างหาก
ความรักอันใดเล่าที่ "พระนางมณีรัตนา" มีต่อองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ยอมเสียสละความทะเยอทะยานไม่ยอมรับตำแหน่งพระมเหสี เพื่อให้พระองค์ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอุทิศตนเพื่อการกู้เอกราช พระนางทรงมีความสุขตามลำพังอยู่ได้ในกรุงศรีอยุธยาและใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปด้วยการรอคอยการเสด็จกลับมาด้วยความปลอดภัยขององค์ผู้เป็นมหาราช ไม่ได้มีความสุขอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเหมือนที่คนส่วนใหญ่ได้รับ แต่พระนางก็ไม่รู้สึกว่าขาดแคลนความรักและเดียวดายแต่อย่างใด
ความเสียสละในการไม่ยอมรับตำแหน่งพระมเหสี เพื่อให้พระพี่ยาและพระน้องยาทั้งสองมีความรักใคร่กลมเกลียวกันในการกู้ชาติบ้านเมือง ทำให้สมเด็จพระเอกาทศรถทรงมีความชอบธรรมในการเสด็จขึ้นครองราชย์ภายหลังการสวรรคตของพระพี่ยาเธอผู้ยิ่งใหญ่ พระนางมณีรัตนาก็รักเดียวใจเดียวจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนเรศวรจนถึงวันสิ้นชีพิตักษัย ทำให้สมเด็จพระเอกาทศรถทรงซาบซึ้งในพระราชหฤทัยของทั้งสองพระองค์ยิ่งนัก ทรงเคารพและนับถือพี่สะใภ้นอกทำเนียบที่ปิดทองหลังพระ ในการเป็นกำลังใจให้สมเด็จพระนเรศวรกู้เอกราชและสร้างชาติไทยจนเป็นปึกแผ่น ซึ่งพระเอกาทศรถทรงรับรู้ในความรักอันเสียสละและยิ่งใหญ่ของทั้งสองพระองค์มาโดยตลอด
ด้วยความรักความผูกพันอันยากจะหาใครเสมอเหมือนระหว่างบุคคลทั้งสาม ต่อมาพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ได้ตรัสสั่งให้คนรุ่นหลังสร้างเจดีย์เรียงกันไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักความภักดีของสามพระองค์นี้ ณ วัดแห่งหนึ่งภายในกรุงศรีอยุธยา
ความรักที่พระนางมณีรัตนาทรงมีต่อพระนเรศวรนี้ จะเหนือกว่าความรักของคนทั่วไป อยู่เหนือความโดดเดี่ยวเดียวดาย แม้พระนเรศวรจะเสด็จยกทัพไปไกลถึงเชียงใหม่หรือกรุงหงสาวดี แต่สำหรับหัวใจหรือหฤทัยของพระนางย่อมเต็มอิ่ม และรู้สึกว่าองค์สมเด็จพระนเรศวรทรงอยู่ใกล้และทรงอยู่เคียงข้างพระนางเสมอ นี้คือความรักของวีรบุรุษวีรสตรีที่ทำให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ในการเสริมส่งบุคคลที่ตนรักและภักดีให้ไปถึงจุดหมายแห่งอุดมการณ์ ผู้คนส่วนใหญ่ที่มีความสุขกันมาได้ ล้วนได้อาศัยความรักอันยิ่งใหญ่และความเสียสละของบุคคลชนิดนี้อันมีอยู่ในแต่ละมุมโลกตลอดมาทุกยุคทุกสมัย
ความรักเช่นนี้ย่อมอยู่เหนือกาลเวลาและไม่ขึ้นกับระยะทางใกล้ไกล ไม่ขึ้นกับว่าต้องได้รับความเสน่หาหรือกามารมณ์มากหรือน้อยแต่อย่างใด เพราะหัวใจของผู้ที่มีความรักเช่นนี้ย่อมเต็มอิ่มเสมอ
พระจันทร์แม้จะสถิตอยู่เป็นประจำบนฟากฟ้า แต่ว่าพระจันทร์ก็ไม่ได้เต็มดวงทุกวัน ที่ใสกระจ่างอย่างเต็มที่มีสีนวลใยนั้น ตลอดทั้งสามสิบวันก็มีคืนวันเพ็ญอยู่แค่เพียงคืนเดียว
ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ไม่อาจมีความสุขความเบิกบานไปทุกวันได้ ชีวิตจริงของทุกคนที่ดำเนินและเป็นไป ส่วนใหญ่คือค่ำคืนที่มีแต่พระจันทร์เสี้ยวคอยเป็นเพื่อนประดับฟ้าอย่างรางเลือนเท่านั้น
เราได้สูญเสียพลังและเวลาไปอย่างมาก ที่มุ่งรอแต่คืนวันเพ็ญจะมาถึง เราได้ปล่อยให้อีกยี่สิบเก้าวันเป็นค่ำคืนแห่งความทุกข์ระทม โดยหมายมั่นและมุ่งหวังจะเอาแต่คืนพระจันทร์เต็มดวงเพียงวันเดียว
เราอ่านเรื่องราวชีวิตพระอรหันต์และมุ่งปฏิบัติเพื่อหวังจะบรรลุธรรมชั้นนี้ชั้นนั้น แต่ลืมไปว่าชีวิตที่แท้จริงของเราในปัจจุบัน ยังต้องการหาเงินซื้อเครื่องสำอางและหาเงินผ่อนรถยนต์ผ่อนบ้านที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน สิ่งที่ควรทำในวันนี้และขณะนี้จึงไม่ใช่ชีวิตเรื่องราวของพระอรหันต์ แต่คือการรู้สึกตัวมีสติในปัจจุบัน ในการระลึกรู้ความกลุ้มอกกลุ้มใจและความวิตกกังวลในการจะหาเงินมาให้ได้ ที่ปรากฏอยู่ในใจของเราตามความเป็นจริงขณะนี้ต่างหาก
ความสุขในชีวิตย่อมเกิดขึ้น เมื่อเราไม่เอาแต่รอคอยคืนวันเพ็ญว่าเมื่อไหร่จะมาถึง แต่คือการมีชีวิตอยู่กับความเป็นจริงท่ามกลางคืนข้างขึ้นข้างแรมที่เราอยู่ในวันนี้และขณะนี้
หากวันนี้คือวันข้างแรมอันมืดมิด เรานี้ก็ต้องอยู่ได้ พอวันพรุ่งนี้ก็จะเริ่มเข้าสู่ข้างขึ้นของเดือนใหม่ เราก็ต้องอยู่ได้ แม้ยังมองไม่เห็นเศษเสี้ยวของพระจันทร์ตลอดทั้งคืน
ความสุขในชีวิตไม่จำเป็นต้องรอถึงคืนวันเพ็ญเสมอไป เพราะพอถึงคืนวันเพ็ญขึ้นมาจริงๆเราอาจทะเลาะกับใครขึ้นมาแล้วไม่มีความสุขทั้งคืนก็อาจเป็นได้ ดังนั้นสู้มีความสุขไปกับค่ำคืนวับๆแวมๆสว่างบ้างมืดบ้างไปตามประสา ก็ยังดีกว่ารอคอยตั้งอีกสิบห้าวันหรือหนึ่งเดือนกว่าจะถึงคืนวันเพ็ญ
ความรักและความสุขสามารถมีได้เมื่อเรามีชีวิตอยู่กับความเป็นจริงในขณะนี้ อย่าเอาแต่รอคอยคืนวันเพ็ญและใส่ใจหรือให้ค่าต่อคืนเดือนหงายมากเกินไป จนลืมคุณค่าของคืนเดือนมืดที่มีอีกมากมายอันมีอยู่ในชีวิตจริงของเรา
เมื่อคืนวันเพ็ญอันแจ่มกระจ่างบังเกิดขึ้นในชีวิต เราก็ดื่มด่ำกับความสุขความเบิกบานอย่างเต็มที่ ด้วยความมีสติ ค่ำคืนใดมีเพียงพระจันทร์เสี้ยวอันบางเรียวเล็กๆอยู่เป็นเพื่อนแห่งราตรี เราก็สุขใจและยินดีที่ราตรีอันหม่นมัวนี้ ยังมีเศษเสี้ยวแห่งดวงจันทร์คอยปลอบประโลม
ไม่ว่าชีวิตจะประสบกับเหตุการณ์อันหวาดหวั่นหรือสดใส ไม่ว่าจะประสบเรื่องราวแห่งความสมหวังผิดหวังดีใจหรือเสียใจ ใจดวงนี้ย่อมกล้าหาญและยอมรับได้เสมอ แม้นว่าจะเป็นคืนเดือนแรมอันมืดมิด หรือในวันที่ไม่มีพระจันทร์เต็มดวง
คุรุอตีศะ
๓๐ มีนาคม ๒๕๕๗