การปฏิบัติธรรมที่ถูกมองข้าม
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
การปฏิบัติธรรมที่ถูกมองข้าม
การปฏิบัติธรรมแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ตามอุปนิสัยและความโน้มเอียงของแต่ละคน ประเภทแรกคือ การปฏิบัติธรรมสำหรับผู้มีอุปนิสัยความโน้มเอียงไปในทางเหมาะแก่การเป็นบรรพชิต ประเภทที่สอง สำหรับผู้ที่ยังยินดีพอใจในกามารมณ์หรือยินดีในชีวิตแบบทางโลก เรียกว่า การปฏิบัติธรรมสำหรับคฤหัสถ์ หลักการปฏิบัติธรรมของคฤหัสถ์นี้ไม่คอยมีใครพูดถึงอีกแล้ว มีแต่พูดเรื่องของพระ
ผู้ที่มีอุปนิสัยรักความสงบและกามารมณ์ไม่ค่อยเบียดเบียนจิตใจ แต่เป็นหญิงหรือชายที่สมบูรณ์ หากจะแต่งงานมีครอบครัวเหมือนคนทั่วไป ก็มีความสามารถพร้อมในทุกด้าน แต่ก็รู้สึกว่าตนเองรักความอิสระมากกว่าการแต่งงานมีครอบครัว เป็นผู้ที่มีอุปนิสัยน้อมไปในทางเนกขัมมะ คนลักษณะนี้ เหมาะที่จะปฏิบัติธรรมในฐานะนักบวชหรือครองเพศเป็นบรรพชิต หากเป็นหญิง ก็เหมาะที่จะบำเพ็ญรักษาศีล ๘ อยู่ในวัด จะทำให้อายุยืนและมีความผาสุกใจ
หากแต่งงานก็มักอายุสั้นและมีโรคภัยเบียดเบียนเมื่อก้าวสู่วัยสี่สิบขึ้นไป เพราะต้องฝืนใจในการปรนนิบัติคู่ครอง ทั้งที่ตนเองเกิดความเบื่อหน่ายในกามารมณ์และต้องการความเป็นส่วนตัวหรือความสงบ เราเรียกคนชนิดนี้ว่า คนมีวาสนาในทางธรรม คนเหล่านี้จะมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งคือไม่ค่อยมีความทะเยอทะยาน จะไม่ค่อยคำนึงถึงอนาคต ความสุขหรือความก้าวหน้าของตัวเอง แต่จะมีความสุขได้กับชีวิตและความรับผิดชอบที่มีอยู่จริง หากไม่มีโอกาสออกบวช ก็สามารถรับผิดชอบหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
คนประเภทที่สอง คือคนที่ยังยินดีพอใจในการมีคู่ครอง คือยังรู้สึกว่าการมีความสุขในทางเพศเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต รู้สึกว่าเราจะมีความสุขไม่ได้หากไม่ได้รับความสุขทางเพศ คนประเภทนี้ที่ท่านเรียกว่า "ฆราวาสหรือคฤหัสถ์" อันแปลว่า "ผู้ครองเรือน" คนประเภทนี้จะมีความกระตือรือร้นและทะเยอทะยานในการที่อยากร่ำรวย อยากก้าวหน้า อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากมีอำนาจ มีบริวาร มีทรัพย์สินเงินทอง กามารมณ์จะเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมากสำหรับคนประเภทนี้
เนื่องจากผู้คนที่เกิดมาในโลก มีอุปนิสัยต่างกันอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งโลกและทรงรู้อุปนิสัยของสัตว์โลกอย่างลึกซึ้งไม่มีใครเปรียบ จึงได้ทรงวางหลักการให้มนุษย์ได้ปฏิบัติธรรมตามอุปนิสัยที่แท้จริงของตน คือบางพวกก็ทรงให้ปฏิบัติตามแนวของบรรพชิต บางพวกก็ทรงวางแนวปฏิบัติอันเหมาะสมแก่คฤหัสถ์ เพื่อให้ทุกคนดำรงชีวิตอย่างราบรื่นและมีความผาสุก ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป ตามฐานะที่หัวใจและความรู้สึกที่แท้จริงของตนยังใฝ่หาและต้องการกามารมณ์
สำหรับผู้ยังยินดีในเพศคฤหัสถ์ หากไปปฏิบัติตัวแบบบรรพชิตหรือไปปฏิบัติธรรมอยู่ในวัด จะมีความทุกข์มากกว่าสุข หรือบางทีจิตก็ผิดเพี้ยนหรือเกิดความก้าวร้าว อึดอัดขัดเคือง เพราะแท้ที่จริงแล้วตนเองต้องการกามารมณ์ ไม่ได้ต้องการสมาธิหรือต้องการความสงบอันแท้จริงแต่อย่างใด
บุคคลผู้มีอุปนิสัยอันแท้จริงที่ยังยินดีพอใจในความเป็นคฤหัสถ์นี้ หากไปดำเนินจิตตามแบบครูบาอาจารย์ในหนังสือที่มีผู้เขียนไว้ จิตใจจะตึงเครียดและไม่มีความสุขในการอยู่วัดหรือปฏิบัติธรรม เนื่องจากการปฏิบัติตามแนวในหนังสือเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นการสอนการปฏิบัติตามแนวของ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเหมาะสมกับเพศบรรพชิตผู้มีกายละจากกามารมณ์ได้แล้ว แม้ใจจะยังยินดีอยู่ตามวิสัยที่มีอยู่เดิม เปรียบเหมือนไม้ที่นำขึ้นมาวางไว้บนบก การปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ที่เรารู้จัก แท้จริงแล้วคือวิธีปฏิบัติของครูบาอาจารย์ผู้บวชเป็นพระภิกษุหรือผู้ที่ครองตัวเป็นโสดซึ่งท่านละกามารมณ์ทางกายได้แล้ว ดังนั้น สมาธิของท่านจึงเกิดได้ง่าย การปฏิบัติธรรมของท่านเหล่านั้นจึงไม่ไร้ผล เราทั้งหลายต้องเข้าใจไว้ดังนี้เป็นพื้นฐาน
ผู้ที่ยังยินดีพอใจในกามารมณ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของชีวิต พระพุทธองค์ทรงวางหลักให้ดำเนินจิตตามแนว ทาน ศีล ภาวนา เพราะเป็นวิธีการดำเนินชีวิตที่ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป เมื่อยังยินดีพอใจในความสุขทางเพศว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการมีชีวิตอยู่ ก็ให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงและไม่พยายามหลอกตัวเองที่จะทำตนเองให้เป็นพระอนาคามีทั้งที่ก็เป็นไม่ได้ ชีวิตประจำวันก็มีความสุขในกามารมณ์กับคู่ครองของตนไปตามธรรมชาติ แล้วก็บำเพ็ญทานเพื่อความสบายใจที่สามารถกำจัดความคับแคบและความตระหนี่ในจิตใจได้ไปแต่ละวัน สำรวมครองตนอยู่ในศีล อันเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขั้นต้น แล้วก็เจริญภาวนาด้วยการมีสติรู้กายรู้ใจของตนอยู่เสมอไม่ว่าจะทำการงานอะไร
บุคคลผู้ยังยินดีในฆราวาสวิสัย เมื่อปฏิบัติตามหลักของ ทาน ศีล ภาวนา ชีวิตจะมีความสุข ภายในครอบครัวจะมีความอบอุ่น มีความรักความเข้าใจกัน เมื่อมีความรักความเข้าใจกัน ก็มีกำลังใจที่จะช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เหมือนนกน้อยที่ช่วยกันทำรัง สามีภรรยาคู่ใดปฏิบัติธรรมตามหลักทาน ศีล ภาวนา จะมีความผาสุกในครอบครัวและจะเป็นคนใจบุญ เป็นอุบาสกอุบาสิกาที่ดี จะช่วยทำนุบำรุงพระศาสนาและช่วยเหลือสังคมประเทศชาติบ้านเมืองได้ตามฐานะของตน นี้คือหลักของคฤหัสถ์
บุคคลใดพอใจในความอิสระและรักความสงบ จงพอใจที่จะปฏิบัติธรรมในฐานะของบรรพชิตตามหลักแห่งไตรสิกขาที่ท่านสอน แม้ยังไม่มีโอกาสออกบวชหรืออยู่ในวัด ก็จงมีชีวิตที่เป็นโสดที่เห็นทุกข์โทษของกามารมณ์และละเว้นจากสิ่งเหล่านั้น แล้วประพฤติพรหมจรรย์บวชใจของตนไปก่อน
บุคคลใดที่ชีวิตจริงยังอยู่ในเพศฆราวาส หากมีวิถีชีวิตที่ไม่เป็นไปตามวิถีทั่วไปตามปกติ จะแต่งงานมีคู่ครองเหมือนคนทั่วไปก็ไม่ใช่ จะเป็นโสดที่มีกายละจากกามารมณ์ก็ไม่เชิง ซึ่งผู้คนในสังคมปัจจุบันจะเป็นอย่างนี้กันมาก เพราะเป็นยุคสมัยที่เป็นกลียุค อันทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถครองตนครองใจให้เป็นไปตามหลักการครองชีวิตอย่างเป็นมาตรฐานตามที่ท่านวางหลักการไว้ได้
บุคคลประเภทนี้ ก็ต้องดำเนินจิตหรือปฏิบัติธรรมตามหลัก ทาน ศีล ภาวนา และต้องบำเพ็ญมากกว่าคู่สามีภรรยาที่ครองชีวิตปกติทั่วไป แล้วก็เยียวยาหัวใจด้วยการฟังธรรมที่เกี่ยวกับสุญญตาธรรมบ่อยๆ จนกระทั่งศีลของตนที่เคยบกพร่องได้พัฒนาจนกลายเป็นคนมีศีลข้อสามสมบูรณ์ด้วยอำนาจแห่งสติที่เจริญขึ้น เมื่อได้แต่งงานหรือพบคู่ครอง ความทุกข์ความเศร้าหมองในชีวิตที่มีมาตลอดนั้นจะหมดไปเอง นี้คือหลักปฏิบัติของเรา
คนประเภทนี้ส่วนใหญ่จะไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า แท้จริงแล้วตัวเราไม่ได้ปรารถนาจะปฏิบัติธรรมหรืออยากบรรลุมรรคผลแต่อย่างใด แต่เพราะจิตใจส่วนลึกมีปมด้อย จึงพยายามแสวงหาสิ่งอื่นมาชดเชยความรักที่ตนไร้ความหวัง ความทุกข์ความบีบคั้นที่มีในใจมากมาย เมื่อได้อ่านหนังสือธรรมะก็อยากปฏิบัติธรรม เพราะท่านพรรณนาไว้ว่าการเป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระโสดาบันนั้นเป็นสิ่งประเสริฐมาก จึงอยากเป็นผู้ไม่มีความทุกข์และเป็นคนประเสริฐแบบท่าน ก็จึงมุ่งมั่นว่าจะต้องปฏิบัติให้บรรลุภายใน ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน
บุคคลใดที่มีวิถีชีวิตเช่นนี้ ขอแนะนำว่า ไม่ควรไปเจริญภาวนาตามหลักไตรสิกขาอันเป็นหลักสำหรับผู้ที่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้แล้ว จนกว่าเราจะเลิกชีวิตที่สับสนแล้วสลัดออกมาได้ การนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมแบบมาตรฐานทั่วไป จะนำมาปฏิบัติให้เกิดผลแบบคนอื่นนั้นจะยังไม่อาจทำได้ จนกว่าเราจะเลิกหรือเดินออกจากชีวิตที่ซับซ้อนเช่นนั้นได้ในวันหนึ่ง หากเราละสิ่งอันเป็นปมด้อยในชีวิตออกมาได้ ความสดใสในชีวิตจะเกิดขึ้นในทันทีโดยไม่ต้องไปนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมแต่อย่างใด เพียงเราละสิ่งอันเป็นแผลเรื้อรังเหล่านั้นได้ในวันใด นั่นคือการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ของเรา ดุจเดียวกับคนที่ละครอบครัวออกบวชหรือสละทางโลกได้ จะมีความสุขและอิสระเบิกบานมาก แม้จะอยู่ในกระต๊อบหลังเล็กๆ
บุคคลใดที่ใจยังไม่มีความสลดสังเวชในความไม่มีสาระของชีวิต ควรมาดำเนินจิตตามหลักทาน ศีล ภาวนา แทนการนั่งสมาธิเดินจงกรม หัดเจริญสติในชีวิตประจำวันไปทีละน้อย อานิสงส์แห่งการบำเพ็ญทานศีล ภาวนา จะทำให้ได้แต่งงานหรือได้คู่ครองตามใจปรารถนาในวันหนึ่ง มีความรักความอบอุ่น มีชีวิตที่เป็นปกติสุข ตามความปรารถนาอันแท้จริงที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเราตลอดมา
ครูบาอาจารย์ผู้ทรงภูมิธรรมทั้งหลาย ท่านทราบดีว่าบุคคลที่ไปขอให้ท่านสอนการปฏิบัตินั้น บางคนก็ไม่ได้ต้องการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงแต่อย่างใด แต่ท่านก็บอกอะไรให้เขารู้ตัวไม่ได้เพราะจะไปทำลายความตั้งใจดีของเขา เพราะส่วนใหญ่คนจะไปหาท่านก็ตอนท่านมีชื่อเสียงแล้ว ท่านจึงไม่มีโอกาสชี้ให้เห็นหรือแก้ไขปมด้อยของใคร เพราะกำลังใจที่กำลังอ่อนแอจะทำให้เขารับคำสอนไม่ได้
คนที่จะได้ธรรมะจริงๆจึงต้องอดทนต่อคำสอนหรือโอวาท ในทำนองทหารหรือตำรวจที่ฝึกเป็นหน่วยรบพิเศษ ก็ต้องมอบกายถวายชีวิตให้แก่ครูฝึก จึงจะจบหลักสูตรพิเศษติดปีกบนหน้าอกได้
ดังนั้น บุคคลใดที่แสวงหาธรรมะหรือไปหาครูบาอาจารย์เพียงเพื่อ "หาความสบายใจ" จะไม่มีโอกาสได้รับคำสอนอันแท้จริงจากท่าน เพราะศรัทธาของตนเองไม่เพียงพอที่จะได้รับคำสอน
ผู้ใฝ่ใจในธรรมหรือนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ที่จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติอย่างแท้จริงจะต้องตระหนักไว้ข้อหนึ่งว่า "อย่าดูหมิ่นการประพฤติปฏิบัติธรรมว่าเป็นสิ่งที่เราจะทำได้โดยง่าย" ข้อนี้ต้องเตือนใจตนเองไว้เสมอ ครูบาอาจารย์เท่านั้นที่สามารถพูดว่า "ปฏิบัติง่าย"เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่พวกเรา
การดูหมิ่นการปฏิบัติธรรมว่าเราจะทำตัวอย่างไรก็ได้ จะกลายเป็นการดูหมิ่นพระธรรม หลังจากนั้นอาจจะดูหมิ่นและลบหลู่ครูบาอาจารย์ของตน ให้จำไว้ว่า นักเรียนที่ตั้งใจเรียน จะเรียนหนังสือได้เก่งและเข้าใจบทเรียนได้ง่าย เพราะมีความเคารพครูอาจารย์ผู้สอน ส่วนนักเรียนที่เกเร มักจะลบหลู่ครูบาอาจารย์ ดังนั้น คนที่ลบหลู่ครูบาอาจารย์บางคนแม้สมองดี แต่ก็มักสอบตกและเรียนไม่สำเร็จ
ที่พยายามเขียนธรรมะลงเว็บไซต์ตลอดมานี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ข้อคิดบางอย่างที่หลายคนอาจไม่ได้รับจากการอบรมในการปฏิบัติธรรมตามสำนักทั่วไป ที่บางคนอาจจะไปมาหลายสำนักแล้วและกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
อีกส่วนหนึ่งนั้น ก็เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคคลที่มีกำลังใจอ่อนแอและคนที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามมาตรฐานซึ่งมีอยู่จำนวนมากในสังคมยุคนี้ โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ในชั้นต้นได้ หวังใจให้แต่ละคนได้มีหลักและมีที่พึ่งทางจิตใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนเข้าใจอยู่ จะได้มีกำลังใจสู้ชีวิตและฟันฝ่าอุปสรรคต่อไป
ขอให้พวกเราทั้งหลายจงอย่ามองข้ามการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ยิ่งถ้าหากเรายังใช้ชีวิตในทางโลก ยังมีคู่ครอง ยังต้องอยู่ในท่ามกลางกามารมณ์ การปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมที่สุดของเรา คือการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ไม่ใช่การนั่งสมาธิหรือเดินจงกรม แต่คือการมีชีวิตอยู่กับการเจริญสติรู้ ตื่น เบิกบานไปแต่ละวัน แล้วการปฏิบัติธรรมของเราจะเป็นความสุขและเป็นความจริง
คุรุอตีศะ
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๗