จากคนจริงสู่ผู้ปล่อยวาง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
จากคนจริงสู่ผู้ปล่อยวาง
ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้น ต้องมีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงเสียก่อน จึงจะเกิดพัฒนาการไปสู่วิถีแห่งการเป็นผู้ปล่อยวางได้สำเร็จ จากปุถุชนผู้เป็นคนจริง จึงได้กลายเป็นพระอริยเจ้าผู้ปล่อยวาง
นี้คือขั้นตอนสำคัญที่ผู้คนมักพากันก้าวข้ามไป เราจึงกลายเป็นคนครึ่งๆกลางๆเสียเป็นส่วนใหญ่ จะประสบความสำเร็จในทางโลกก็ไม่ใช่ จะเป็นนักปฏิบัติธรรมที่บรรลุการรู้แจ้งมีความความสุขอยู่ในปัจจุบันก็ยังไม่อาจเป็นไปได้ จึงพากันวิ่งไปวิ่งมาหาจุดยืนในชีวิตอยู่ร่ำไป สุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ก็หาที่ดีจริงเพียงสิ่งเดียวเป็นเอกลักษณ์ กลับหาไม่พบเลยในชีวิต
"อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล อาจจะชักเชิดชูฟูสกนธ์ ถึงคนจนพงศ์ไพร่คงได้ดี" บทดอกสร้อยหรือสุภาษิตนี้ยังทรงความหมายอยู่เสมอ แม้ยุคสมัยจะผ่านไปเพียงใด กว่าจะรู้ว่าระบบการศึกษาของเราล้มเหลว ก็จนกระทั่งพบว่านักศึกษาที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่สามารถใช้ภาษาเรียบเรียงถ้อยคำสื่อความหมายหรือสื่อสารได้ เพราะเรามุ่งแต่สอนให้นักเรียนคิดและรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องใดที่รู้จริงและรู้อย่างลึกซึ้งแต่อย่างใด สุดท้ายก็สู้การเรียนเพื่อรู้จริงแบบหลักสูตรสมัยก่อนไม่ได้อย่างที่เห็น
ดังนั้น หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ย่อมใช้ได้เสมอ คนที่เก่งไปทุกเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องใดที่ถนัดและรักในสิ่งนั้นอย่างแท้จริง สุดท้ายจะแพ้คนที่ทำอะไรแบบทำจริงเพียงสิ่งเดียวในวันหนึ่ง
เหตุผลก็เพราะว่า คนที่ทำอะไรทำจริงเพียงสิ่งเดียว จะมีสมาธิและพลังจิตที่กล้าแข็งมากกว่า ส่วนคนที่ทำอะไรพร้อมกันมากมายหลายสิ่ง จิตใจจะซัดส่ายและไม่มีความตั้งมั่น จะกลายเป็นคนที่มีสมาธิสั้นและขาดความสุขทางจิตใจ ผลจากการฝึกทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันนั้น ได้ทำให้เรากลายเป็นคนมีสมาธิสั้น พวกเราจึงเป็นคนขี้เหงาเสียเป็นส่วนใหญ่
นี้คือผลของระบบการศึกษาที่มุ่งพัฒนาและเตรียมผู้คนเพื่อรองรับอุตสาหกรรม พวกเราส่วนใหญ่จิตใจจึงตายด้านคล้ายเครื่องจักร ความเป็นคนที่มีชีวิตชีวาจึงหายไป ความรักที่งดงามจึงโบยบินออกไปจากหัวใจทั้งคนที่เป็นโสดและคนมีครอบครัว
หัวใจของเราจึงขาดความสุข มองโลกใบนี้มองอย่างไรก็ไร้ความมีชีวิตชีวา หัวใจที่อ่อนโยนไร้เดียงสาได้หายไปจากชีวิต เราจึงพากันเจ็บป่วยทั้งกายและใจกันอยู่ทั่วไปอย่างที่เห็น พลังลมปราณและพลังชีวิตของเราจึงมีน้อยเต็มที นี้คือสาเหตุใหญ่แห่งความทุกข์ระทม
เพราะเหตุนี้แหละ นักปราชญ์ทั้งตะวันตกและตะวันออกจึงเริ่มพูดเสียงเดียวกันว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์ทั้งโลก หัวใจจะต้องได้รับการเยียวยาด้วยการเจริญภาวนา ต้องหันมารักษาศีลและรู้จักสมาธิภาวนา ทั่วทั้งโลกจึงเริ่มหันมาทำสมาธิภาวนาในแบบต่างๆ
พวกเราอีกหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าในขณะที่บ้านเมืองของเรากำลังสับสนวุ่นวาย และต่างหันหลังให้ศาสนาและความดีงามกันอยู่นี้ ตอนนี้ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกในอเมริกาและยุโรปหลายแห่ง ได้เปิดสอนหลักสูตรพระพุทธศาสนา มีการสร้างอาคารรูปแบบเหมือนวัดในเมืองไทย แล้วมีการตักบาตรพระสงฆ์กรวดน้ำให้พรตามประเพณีไทย มีการฟังธรรมและทำกรรมฐานนั่งสมาธิของบรรดานักศึกษาและอาจารย์ในสถาบันชั้นนำของโลก
นี้คือที่พึ่งทางจิตใจที่ชาวตะวันตกได้เห็นคุณค่าของคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ จนประกาศให้วันที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้คือวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก แล้วเราจะมองข้ามเพชรเม็ดงามที่มีอยู่ในมือนี้ไปได้อย่างไร จงพากันหันมาสนใจเจริญภาวนากันดีกว่า ความสุขความมีชีวิตชีวาจะได้บังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ให้สมกับที่เรามีวาสนาได้เกิดมาอยู่ใต้ร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ ที่ชาวต่างชาติต่างศาสนาต่างพากันนึกอิจฉาผู้คนในดินแดนสุวรรณภูมิมาหลายร้อยปีแล้ว
คุณชาติแห่งความเป็นคนจริงไม่ได้หมายความว่า ต้องเป็นคนมีแต่ความเคร่งเครียดตลอดเวลา ความเป็นคนจริงอาจเต็มไปด้วยความร่าเริงเบิกบานที่ได้ทำในสิ่งที่ใจรักก็ได้ ความเป็นคนจริงคือคนที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำการงานหรือสิ่งที่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตนให้ลุล่วงไป บางครั้งอาจทำไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องและสบายอกสบายใจที่มองเห็นความสำเร็จรออยู่เบื้องหน้าก็ได้
คนแบบนี้จะมีแต่หัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความมีปีติตลอดเวลา ผิดจากคนที่เอาแต่เคร่งเครียดที่หัวใจเต็มไปด้วยปัญหา ย่อมไม่ได้พบกับพลังแห่งปีติเหมือนผู้ที่มีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริง คนจริงกับคนเคร่งเครียดจึงเป็นคนละอย่างกัน คนจริงอาจดูเคร่งเครียดในยามต้องเคร่งเครียด และก็เบิกบานผ่อนคลายในยามที่ผ่อนคลาย แล้วแต่เหตุการณ์ บุคคลและสภาพแวดล้อมที่ได้เกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์
คนเคร่งเครียดอาจเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบก็ได้ จึงมองเห็นการงานเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคตลอด แต่คนจริงจะมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่พร้อมที่จะเผชิญปัญหา จิตใจจึงแกร่งกล้าและมีปีติหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ
หลังจากที่เป็นคนจริง ทำอะไรทำจริงและทำอย่างเต็มที่ คุณชาติแห่งความเป็นคนจริงที่มีมาอย่างเต็มเปี่ยม หลังจากนั้นชีวิตจึงจะมีพัฒนาการไปสู่ชีวิตที่สงบสุขและปล่อยวาง
ชีวิตหนึ่งชีวิตใด ที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนของการมีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริง ชีวิตเช่นนั้นจะยังไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นที่ปล่อยวางและพบอิสรภาพได้ แม้ว่าจะพยายามปล่อยวางเพียงใด ก็จะยังปล่อยไม่ได้ หลักการนี้ใช้ได้ทั้งในชีวิตทางโลกและชีวิตของการปฏิบัติธรรม
ชีวิตของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่เราเห็นท่านมีความเป็นอิสระและปล่อยวางสิ่งต่างๆได้นั้น ทุกองค์ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงมาก่อนทั้งสิ้น แต่ละองค์ล้วนผ่านชีวิตเดนตาย ผ่านความอดอยาก ความหิวโหย ความอ่อนล้า ผ่านชีวิตที่เฉียดตายและอุปสรรคมากมายมาแทบทั้งนั้น
เปรียบเหมือนคนที่สร้างตนขึ้นมาจากความไม่มีอะไรในชีวิตทางโลก กว่าจะก่อร่างสร้างตัวจนร่ำรวยขึ้นมากลายเป็นเศรษฐีได้ ก็ต้องผ่านอุปสรรคมากมายเลือดตาแทบกระเด็น ผู้ที่ท่านบำเพ็ญบารมีหรือแสวงหาพระนิพพานอันเป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์ ท่านก็ต้องมีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงถึงขั้นยอมเอาชีวิตเข้าแลกและลำบากกว่านั้นหลายเท่า กว่าจะนั่งปล่อยวางอย่างสบายใจให้พวกเราได้เห็น
การเรียนหนังสือกว่าจะสำเร็จปริญญาในทางโลก เราก็ยังต้องใช้ความพากเพียร อุตสาหะ และใช้ความอดทนอย่างมากกว่าจะสำเร็จกันมาได้ ปริญญาของพระพุทธเจ้ายิ่งต้องใช้ความเพียร ความอดทน และความอุตสาหะมากกว่านั้นหลายเท่า และเป็นความเพียรที่ต้องเพียรกันข้ามภพข้ามชาติกันเลยทีเดียว ดังนั้น ผู้ปรารถนามรรคผลนิพพานหรือบำเพ็ญบารมี จึงต้องมีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงรองรับไว้เป็นพื้นฐาน
คนที่ทำงานหนักจนหน้าที่สำเร็จลุล่วงไป จึงสามารถนั่งพักอย่างสบายใจและปล่อยวางภาระได้ ฉันใด ผู้ที่ปรารถนาจะดำเนินไปสู่ชีวิตแห่งผู้ปล่อยวางได้ ก็ต้องผ่านคุณสมบัติแห่งความเป็นคนจริงเสียก่อน ฉันนั้น เราต้องเอาจริงหรือจริงจังเสียก่อน หลังจากนั้น "การปล่อยวาง"จึงจะตามมา
เมื่อมีแสงแดดที่แผดกล้าและอากาศร้อนอบอ้าว หลังจากนั้นสายฝนจึงโปรยปรายและชุ่มเย็น เมื่อผ่านความมืดมิดของค่ำคืนอย่างเต็มที่ ต่อมาจึงกลายเป็นฟ้าสีทองของวันใหม่
มนุษย์ปุถุชนผู้เต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจังและยึดมั่นถือมั่นมาก่อนเท่านั้น จึงจะเริ่มสนใจวิถีทางของพระอริยเจ้าและพากเพียรเดินไปสู่การปล่อยวางในภายหลัง
เพราะมีปุถุชนผู้มีความยึดมั่นถือมั่น จึงมีพระอรหันต์และพระอริยบุคคลผู้ปล่อยวาง ยึดมั่นถือมั่นเอาจริงเสียก่อน หลังจากนั้นการปล่อยวางจึงจะตามมา
วิถีทางแห่งอริยะ แท้จริงแล้วไม่ใช่เส้นทางที่คนเหยาะแหยะหยิบโหย่งจะเดินได้ แต่คือเส้นทางของมนุษย์ผู้มีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงโดยเฉพาะ จึงจะมีคุณสมบัติอันสำคัญที่จะทำให้บรรลุความสำเร็จ เส้นทางของอริยะคือเส้นทางของผู้มีหัวใจที่เข้มแข็ง เป็นเส้นทางของบุรุษอาชาไนย เป็นเส้นทางของสตรีผู้อ่อนโยนนุ่มนวลในภายนอก แต่ภายในหัวใจนั้นแข็งแกร่งประหนึ่งเหล็กกล้า
ขณะยังเป็นปุถุชน จงเป็นคนเอาจริงและยึดมั่นในคุณธรรมความดีไว้ให้มั่น จนกระทั่งถึงวันมีเหตุมีปัจจัยที่ถึงพร้อม ความเป็นคนเอาจริงมาก่อนนั้น จะทำให้ได้ฟังธรรมของพระอริยเจ้าแล้วเข้าใจ ดวงจิตจะเริ่มรู้จักความสดใสแล้วเกิดความรู้สึกที่ปล่อยวางตามมา สติ สมาธิ ปัญญา ย่อมเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ
การปล่อยวาง ไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยการพยายามปล่อยวาง แต่เกิดขึ้นมาโดยไร้การพยายามใดๆเมื่อใจไร้อัตตา เมื่อจิตเห็นทุกข์โทษของความยึดมั่นถือมั่นภายในจิตเอง การปล่อยวางย่อมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ การพยายามที่จะปล่อยวาง ยิ่งทำให้จิตยึดมั่นถือมั่นและยิ่งห่างไกลจากการปล่อยวางมากขึ้น
วิธีการศึกษาแบบทางโลก เป็นวิธีของสมองฝั่งซ้าย จึงไม่อาจนำมาใช้กับการฝึกสมาธิหรือการเจริญภาวนาซึ่งต้องใช้ความสามารถของสมองฝั่งขวาเป็นหลัก คนยิ่งใช้สมองมากหรือยิ่งเรียนมาก จึงทำสมาธิได้ยากลำบากกว่าคนชาวบ้านที่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายตามธรรมชาติ พระอริยเจ้าส่วนใหญ่จึงมักเกิดในภาคอีสาน ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีที่เอื้อต่อวิถีแห่งความปล่อยวาง เป็นดวงจิตที่ไร้ความทะเยอทะยานและไม่ต้องการสั่งสมอะไรมากมายเกินความจำเป็น ชีวิตที่เรียบง่ายจึงเป็นวิถีแห่งอริยะโดยตรง
เมื่อใดเกิดความเคร่งเครียดกลุ้มอกกลุ้มใจ จงมีสติรู้ตัวว่าบัดนี้ความยึดมั่นถือมั่นได้เกิดขึ้นแล้ว สมองฝั่งซ้ายได้ใช้เหตุใช้ผลจนเกินพิกัด จงปล่อยวางทุกสิ่งในขณะนั้น ปล่อยให้หัวใจอยู่กับความว่างความสงบ ปล่อยให้สมองฝั่งขวาได้มีโอกาสออกมาทำงาน แล้วความสุขความเบิกบานจะตามมา
การที่ผู้ปฏิบัติธรรมมุ่งมั่นจะบรรลุให้ได้ เป็นการนำวิธีการแบบการศึกษาทางโลกที่ตนเคยชินมาใช้ จึงยังเป็นเรื่องของสมองฝั่งซ้ายอยู่ การปฏิบัติธรรมในขณะนั้นจึงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
จนกว่าจะมีผู้รู้จริงมาบอกว่า ต้องวางจิตใหม่ให้เกิดความผ่อนคลาย ด้วยการทำใจไว้โดยแยบคายว่า บรรลุก็ได้ ไม่บรรลุก็ได้ ขอเพียงมีความสบายใจและปลอดโปร่งหัวใจในขณะนี้ไปเรื่อยๆก็พอ นั่นจึงจะเป็นการเดินตามอริยมรรคหรือเป็นสติโดยตรง การทำงานของสมองฝั่งขวาจึงบังเกิดขึ้น
การวางจิตได้อย่างถูกต้องเช่นนี้ จะทำให้เกิดมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ทำให้ชีวิตเกิดการพัฒนาภายใน จากมนุษย์ผู้เคยเอาจริงเอาจังต่อทุกสิ่ง กลายเป็นผู้มีวิถีจิตเดินเข้าสู่ผู้รู้วิธีปล่อยวางในที่สุด
คุรุอตีศะ
๒๕ มีนาคม ๒๕๕๗