จากคนจริงสู่ผู้ปล่อยวาง

จากคนจริงสู่ผู้ปล่อยวาง

 


            ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้น  ต้องมีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงเสียก่อน  จึงจะเกิดพัฒนาการไปสู่วิถีแห่งการเป็นผู้ปล่อยวางได้สำเร็จ  จากปุถุชนผู้เป็นคนจริง จึงได้กลายเป็นพระอริยเจ้าผู้ปล่อยวาง


           นี้คือขั้นตอนสำคัญที่ผู้คนมักพากันก้าวข้ามไป  เราจึงกลายเป็นคนครึ่งๆกลางๆเสียเป็นส่วนใหญ่  จะประสบความสำเร็จในทางโลกก็ไม่ใช่ จะเป็นนักปฏิบัติธรรมที่บรรลุการรู้แจ้งมีความความสุขอยู่ในปัจจุบันก็ยังไม่อาจเป็นไปได้ จึงพากันวิ่งไปวิ่งมาหาจุดยืนในชีวิตอยู่ร่ำไป  สุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง  แต่ก็หาที่ดีจริงเพียงสิ่งเดียวเป็นเอกลักษณ์  กลับหาไม่พบเลยในชีวิต


           "อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว  แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล  อาจจะชักเชิดชูฟูสกนธ์ ถึงคนจนพงศ์ไพร่คงได้ดี"  บทดอกสร้อยหรือสุภาษิตนี้ยังทรงความหมายอยู่เสมอ  แม้ยุคสมัยจะผ่านไปเพียงใด กว่าจะรู้ว่าระบบการศึกษาของเราล้มเหลว ก็จนกระทั่งพบว่านักศึกษาที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่สามารถใช้ภาษาเรียบเรียงถ้อยคำสื่อความหมายหรือสื่อสารได้  เพราะเรามุ่งแต่สอนให้นักเรียนคิดและรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องใดที่รู้จริงและรู้อย่างลึกซึ้งแต่อย่างใด  สุดท้ายก็สู้การเรียนเพื่อรู้จริงแบบหลักสูตรสมัยก่อนไม่ได้อย่างที่เห็น

 
             ดังนั้น หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน  ย่อมใช้ได้เสมอ  คนที่เก่งไปทุกเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องใดที่ถนัดและรักในสิ่งนั้นอย่างแท้จริง  สุดท้ายจะแพ้คนที่ทำอะไรแบบทำจริงเพียงสิ่งเดียวในวันหนึ่ง


             เหตุผลก็เพราะว่า คนที่ทำอะไรทำจริงเพียงสิ่งเดียว  จะมีสมาธิและพลังจิตที่กล้าแข็งมากกว่า  ส่วนคนที่ทำอะไรพร้อมกันมากมายหลายสิ่ง จิตใจจะซัดส่ายและไม่มีความตั้งมั่น จะกลายเป็นคนที่มีสมาธิสั้นและขาดความสุขทางจิตใจ  ผลจากการฝึกทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันนั้น ได้ทำให้เรากลายเป็นคนมีสมาธิสั้น  พวกเราจึงเป็นคนขี้เหงาเสียเป็นส่วนใหญ่


             นี้คือผลของระบบการศึกษาที่มุ่งพัฒนาและเตรียมผู้คนเพื่อรองรับอุตสาหกรรม  พวกเราส่วนใหญ่จิตใจจึงตายด้านคล้ายเครื่องจักร  ความเป็นคนที่มีชีวิตชีวาจึงหายไป  ความรักที่งดงามจึงโบยบินออกไปจากหัวใจทั้งคนที่เป็นโสดและคนมีครอบครัว

 

             หัวใจของเราจึงขาดความสุข  มองโลกใบนี้มองอย่างไรก็ไร้ความมีชีวิตชีวา  หัวใจที่อ่อนโยนไร้เดียงสาได้หายไปจากชีวิต เราจึงพากันเจ็บป่วยทั้งกายและใจกันอยู่ทั่วไปอย่างที่เห็น  พลังลมปราณและพลังชีวิตของเราจึงมีน้อยเต็มที นี้คือสาเหตุใหญ่แห่งความทุกข์ระทม


               เพราะเหตุนี้แหละ นักปราชญ์ทั้งตะวันตกและตะวันออกจึงเริ่มพูดเสียงเดียวกันว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์ทั้งโลก หัวใจจะต้องได้รับการเยียวยาด้วยการเจริญภาวนา ต้องหันมารักษาศีลและรู้จักสมาธิภาวนา ทั่วทั้งโลกจึงเริ่มหันมาทำสมาธิภาวนาในแบบต่างๆ


               พวกเราอีกหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าในขณะที่บ้านเมืองของเรากำลังสับสนวุ่นวาย และต่างหันหลังให้ศาสนาและความดีงามกันอยู่นี้ ตอนนี้ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกในอเมริกาและยุโรปหลายแห่ง ได้เปิดสอนหลักสูตรพระพุทธศาสนา มีการสร้างอาคารรูปแบบเหมือนวัดในเมืองไทย แล้วมีการตักบาตรพระสงฆ์กรวดน้ำให้พรตามประเพณีไทย มีการฟังธรรมและทำกรรมฐานนั่งสมาธิของบรรดานักศึกษาและอาจารย์ในสถาบันชั้นนำของโลก


              นี้คือที่พึ่งทางจิตใจที่ชาวตะวันตกได้เห็นคุณค่าของคำสั่งสอนของพระพุทธองค์  จนประกาศให้วันที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้คือวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก  แล้วเราจะมองข้ามเพชรเม็ดงามที่มีอยู่ในมือนี้ไปได้อย่างไร  จงพากันหันมาสนใจเจริญภาวนากันดีกว่า  ความสุขความมีชีวิตชีวาจะได้บังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ให้สมกับที่เรามีวาสนาได้เกิดมาอยู่ใต้ร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัสตร์  ที่ชาวต่างชาติต่างศาสนาต่างพากันนึกอิจฉาผู้คนในดินแดนสุวรรณภูมิมาหลายร้อยปีแล้ว


                คุณชาติแห่งความเป็นคนจริงไม่ได้หมายความว่า ต้องเป็นคนมีแต่ความเคร่งเครียดตลอดเวลา  ความเป็นคนจริงอาจเต็มไปด้วยความร่าเริงเบิกบานที่ได้ทำในสิ่งที่ใจรักก็ได้  ความเป็นคนจริงคือคนที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำการงานหรือสิ่งที่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตนให้ลุล่วงไป  บางครั้งอาจทำไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องและสบายอกสบายใจที่มองเห็นความสำเร็จรออยู่เบื้องหน้าก็ได้


              คนแบบนี้จะมีแต่หัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความมีปีติตลอดเวลา  ผิดจากคนที่เอาแต่เคร่งเครียดที่หัวใจเต็มไปด้วยปัญหา ย่อมไม่ได้พบกับพลังแห่งปีติเหมือนผู้ที่มีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริง  คนจริงกับคนเคร่งเครียดจึงเป็นคนละอย่างกัน  คนจริงอาจดูเคร่งเครียดในยามต้องเคร่งเครียด และก็เบิกบานผ่อนคลายในยามที่ผ่อนคลาย  แล้วแต่เหตุการณ์ บุคคลและสภาพแวดล้อมที่ได้เกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์


             คนเคร่งเครียดอาจเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบก็ได้ จึงมองเห็นการงานเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคตลอด  แต่คนจริงจะมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่พร้อมที่จะเผชิญปัญหา จิตใจจึงแกร่งกล้าและมีปีติหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ


            หลังจากที่เป็นคนจริง  ทำอะไรทำจริงและทำอย่างเต็มที่  คุณชาติแห่งความเป็นคนจริงที่มีมาอย่างเต็มเปี่ยม  หลังจากนั้นชีวิตจึงจะมีพัฒนาการไปสู่ชีวิตที่สงบสุขและปล่อยวาง


             ชีวิตหนึ่งชีวิตใด  ที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนของการมีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริง  ชีวิตเช่นนั้นจะยังไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นที่ปล่อยวางและพบอิสรภาพได้  แม้ว่าจะพยายามปล่อยวางเพียงใด ก็จะยังปล่อยไม่ได้ หลักการนี้ใช้ได้ทั้งในชีวิตทางโลกและชีวิตของการปฏิบัติธรรม


                 ชีวิตของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่เราเห็นท่านมีความเป็นอิสระและปล่อยวางสิ่งต่างๆได้นั้น  ทุกองค์ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงมาก่อนทั้งสิ้น  แต่ละองค์ล้วนผ่านชีวิตเดนตาย  ผ่านความอดอยาก ความหิวโหย  ความอ่อนล้า ผ่านชีวิตที่เฉียดตายและอุปสรรคมากมายมาแทบทั้งนั้น


                  เปรียบเหมือนคนที่สร้างตนขึ้นมาจากความไม่มีอะไรในชีวิตทางโลก  กว่าจะก่อร่างสร้างตัวจนร่ำรวยขึ้นมากลายเป็นเศรษฐีได้  ก็ต้องผ่านอุปสรรคมากมายเลือดตาแทบกระเด็น       ผู้ที่ท่านบำเพ็ญบารมีหรือแสวงหาพระนิพพานอันเป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์  ท่านก็ต้องมีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงถึงขั้นยอมเอาชีวิตเข้าแลกและลำบากกว่านั้นหลายเท่า  กว่าจะนั่งปล่อยวางอย่างสบายใจให้พวกเราได้เห็น


                   การเรียนหนังสือกว่าจะสำเร็จปริญญาในทางโลก  เราก็ยังต้องใช้ความพากเพียร อุตสาหะ และใช้ความอดทนอย่างมากกว่าจะสำเร็จกันมาได้   ปริญญาของพระพุทธเจ้ายิ่งต้องใช้ความเพียร ความอดทน และความอุตสาหะมากกว่านั้นหลายเท่า  และเป็นความเพียรที่ต้องเพียรกันข้ามภพข้ามชาติกันเลยทีเดียว    ดังนั้น  ผู้ปรารถนามรรคผลนิพพานหรือบำเพ็ญบารมี  จึงต้องมีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงรองรับไว้เป็นพื้นฐาน


                   คนที่ทำงานหนักจนหน้าที่สำเร็จลุล่วงไป  จึงสามารถนั่งพักอย่างสบายใจและปล่อยวางภาระได้ ฉันใด  ผู้ที่ปรารถนาจะดำเนินไปสู่ชีวิตแห่งผู้ปล่อยวางได้  ก็ต้องผ่านคุณสมบัติแห่งความเป็นคนจริงเสียก่อน  ฉันนั้น   เราต้องเอาจริงหรือจริงจังเสียก่อน  หลังจากนั้น "การปล่อยวาง"จึงจะตามมา


                   เมื่อมีแสงแดดที่แผดกล้าและอากาศร้อนอบอ้าว  หลังจากนั้นสายฝนจึงโปรยปรายและชุ่มเย็น  เมื่อผ่านความมืดมิดของค่ำคืนอย่างเต็มที่  ต่อมาจึงกลายเป็นฟ้าสีทองของวันใหม่


                   มนุษย์ปุถุชนผู้เต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจังและยึดมั่นถือมั่นมาก่อนเท่านั้น  จึงจะเริ่มสนใจวิถีทางของพระอริยเจ้าและพากเพียรเดินไปสู่การปล่อยวางในภายหลัง


                   เพราะมีปุถุชนผู้มีความยึดมั่นถือมั่น  จึงมีพระอรหันต์และพระอริยบุคคลผู้ปล่อยวาง  ยึดมั่นถือมั่นเอาจริงเสียก่อน  หลังจากนั้นการปล่อยวางจึงจะตามมา


                    วิถีทางแห่งอริยะ  แท้จริงแล้วไม่ใช่เส้นทางที่คนเหยาะแหยะหยิบโหย่งจะเดินได้  แต่คือเส้นทางของมนุษย์ผู้มีคุณชาติแห่งความเป็นคนจริงโดยเฉพาะ  จึงจะมีคุณสมบัติอันสำคัญที่จะทำให้บรรลุความสำเร็จ  เส้นทางของอริยะคือเส้นทางของผู้มีหัวใจที่เข้มแข็ง เป็นเส้นทางของบุรุษอาชาไนย เป็นเส้นทางของสตรีผู้อ่อนโยนนุ่มนวลในภายนอก  แต่ภายในหัวใจนั้นแข็งแกร่งประหนึ่งเหล็กกล้า


                     ขณะยังเป็นปุถุชน  จงเป็นคนเอาจริงและยึดมั่นในคุณธรรมความดีไว้ให้มั่น  จนกระทั่งถึงวันมีเหตุมีปัจจัยที่ถึงพร้อม  ความเป็นคนเอาจริงมาก่อนนั้น  จะทำให้ได้ฟังธรรมของพระอริยเจ้าแล้วเข้าใจ  ดวงจิตจะเริ่มรู้จักความสดใสแล้วเกิดความรู้สึกที่ปล่อยวางตามมา สติ สมาธิ ปัญญา ย่อมเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ


                     การปล่อยวาง ไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยการพยายามปล่อยวาง  แต่เกิดขึ้นมาโดยไร้การพยายามใดๆเมื่อใจไร้อัตตา เมื่อจิตเห็นทุกข์โทษของความยึดมั่นถือมั่นภายในจิตเอง การปล่อยวางย่อมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ  การพยายามที่จะปล่อยวาง  ยิ่งทำให้จิตยึดมั่นถือมั่นและยิ่งห่างไกลจากการปล่อยวางมากขึ้น


                     วิธีการศึกษาแบบทางโลก เป็นวิธีของสมองฝั่งซ้าย  จึงไม่อาจนำมาใช้กับการฝึกสมาธิหรือการเจริญภาวนาซึ่งต้องใช้ความสามารถของสมองฝั่งขวาเป็นหลัก     คนยิ่งใช้สมองมากหรือยิ่งเรียนมาก  จึงทำสมาธิได้ยากลำบากกว่าคนชาวบ้านที่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายตามธรรมชาติ  พระอริยเจ้าส่วนใหญ่จึงมักเกิดในภาคอีสาน ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีที่เอื้อต่อวิถีแห่งความปล่อยวาง  เป็นดวงจิตที่ไร้ความทะเยอทะยานและไม่ต้องการสั่งสมอะไรมากมายเกินความจำเป็น  ชีวิตที่เรียบง่ายจึงเป็นวิถีแห่งอริยะโดยตรง


                     เมื่อใดเกิดความเคร่งเครียดกลุ้มอกกลุ้มใจ  จงมีสติรู้ตัวว่าบัดนี้ความยึดมั่นถือมั่นได้เกิดขึ้นแล้ว  สมองฝั่งซ้ายได้ใช้เหตุใช้ผลจนเกินพิกัด  จงปล่อยวางทุกสิ่งในขณะนั้น ปล่อยให้หัวใจอยู่กับความว่างความสงบ  ปล่อยให้สมองฝั่งขวาได้มีโอกาสออกมาทำงาน  แล้วความสุขความเบิกบานจะตามมา


                   การที่ผู้ปฏิบัติธรรมมุ่งมั่นจะบรรลุให้ได้  เป็นการนำวิธีการแบบการศึกษาทางโลกที่ตนเคยชินมาใช้  จึงยังเป็นเรื่องของสมองฝั่งซ้ายอยู่  การปฏิบัติธรรมในขณะนั้นจึงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด


                    จนกว่าจะมีผู้รู้จริงมาบอกว่า  ต้องวางจิตใหม่ให้เกิดความผ่อนคลาย ด้วยการทำใจไว้โดยแยบคายว่า บรรลุก็ได้ ไม่บรรลุก็ได้  ขอเพียงมีความสบายใจและปลอดโปร่งหัวใจในขณะนี้ไปเรื่อยๆก็พอ  นั่นจึงจะเป็นการเดินตามอริยมรรคหรือเป็นสติโดยตรง   การทำงานของสมองฝั่งขวาจึงบังเกิดขึ้น


                    การวางจิตได้อย่างถูกต้องเช่นนี้  จะทำให้เกิดมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ทำให้ชีวิตเกิดการพัฒนาภายใน  จากมนุษย์ผู้เคยเอาจริงเอาจังต่อทุกสิ่ง  กลายเป็นผู้มีวิถีจิตเดินเข้าสู่ผู้รู้วิธีปล่อยวางในที่สุด

 


                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                    ๒๕  มีนาคม  ๒๕๕๗