การเจริญภาวนา

การเจริญภาวนา

 


                     การเจริญภาวนา คือรากฐานสำคัญของชีวิต  เป็นความจำเป็นสำหรับชีวิตเหมือนกับยารักษาโรค  ร่างกายต้องการปัจจัยสี่คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค  ฉันใด  จิตใจหรือจิตวิญญาณภายในของเราทุกคนก็ต้องการธรรมะและการเจริญภาวนา เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของดวงจิต ฉันนั้น


                   ถ้าสังเกตตามหลักภาษาศาสตร์  คำว่า “การเจริญภาวนา” ในภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่า “Meditation” คำว่า “ยารักษาโรค” จะใช้คำว่า “Medicine” ซึ่งคำในภาษาอังกฤษทั้งสองคำนี้ต่างมีรากศัพท์มาจากคำว่า “Medicinal” อันมีความหมายว่า “เยียวยา”เหมือนกัน


                  เรื่องนี้มิใช่เรื่องบังเอิญทางภาษาศาสตร์  แต่คือความหมายอันลึกซึ้งของคำสองคำนี้ที่เป็นเรื่องการเยียวยาเช่นเดียวกัน  ยารักษาโรคคือการเยียวยารักษาทางร่างกาย  ส่วนการเจริญภาวนา เป็นการเยียวยารักษาจิตใจหรือจิตวิญญาณของมนุษย์


                 ดังนั้น  เมื่อยารักษาโรคเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย  การเจริญภาวนาก็ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหัวใจของมนุษย์ทุกคน  เพียงแต่ว่าจะมีคนบอกเราหรือไม่ หรือว่าจะมีใครมองเห็นความสำคัญของเรื่องนี้หรือไม่เท่านั้น


                หากมีคำถามว่า “การเจริญภาวนา มีความจำเป็นต่อชีวิตของเราตั้งแต่เมื่อใด?” คำตอบมีว่า “ตั้งแต่เราใจแตกหรือมีความกลุ้มอกกลุ้มใจมีความวิตกกังวล” เราทุกคนต้องเริ่มสนใจที่จะรู้จักการเจริญภาวนาตั้งแต่นั้นแล้ว  เหมือนการที่เราป่วยไข้ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์  แต่เพราะมีวิบากกรมบางอย่างมาปิดบังไว้  เราจึงไม่เฉลียวใจว่าหัวใจของเราป่วย


              คนส่วนใหญ่รู้จักแต่ไปหาหมอเพื่อรับเอายารักษาโรคทางร่างกาย  ส่วนหัวใจกลับปล่อยให้ป่วยเรื้อรังมาตลอด  จนถึงขั้นต้องหามเข้า ไอ.ซี.ยู จึงจะมองเห็นว่าจิตใจของเราป่วยหนักต้องการการเยียวยารักษาอย่างเร่งด่วน  สำนักปฏิบัติธรรมหรือคอร์สปฏิบัติธรรมที่เกิดขึ้นมาในยุคนี้ ก็เพื่อเป็นตึกฉุกเฉินหรือห้อง ไอ.ซี.ยู สำหรับเยียวยารักษาผู้ป่วยเหล่านี้นั่นเอง


                 การเจริญภาวนา คือการซ่อมแซมจิตใจที่สึกหรอ ยับเยิน หรือทรุดโทรม ทำนองเดียวกับการที่เรารับประทานยาเพื่อซ่อมแซมความสึกหรอของร่างกาย


               คนที่ป่วยมีโรคประจำตัว ต้องทานยาเป็นประจำตามเวลา ฉันใด การเจริญภาวนาก็ต้องทำเป็นประจำแบบการทานยาประจำตัวอย่างนั้น  หากใครเข้าใจได้แบบนี้  ย่อมจะถือเอาเรื่องการเจริญภาวนา เป็นเรื่องสำคัญประจำชีวิต ทาน ศีล ภาวนา จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน  ชีวิตต่อจากนั้น จะเริ่มมีความสุข  การงานทุกอย่างจะกลายเป็นการภาวนา


                โดยเฉพาะคนเราสมัยนี้  ล้วนเป็นผู้ที่ “ใจแตก”กันทั้งนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง  ผู้ชายใจแตกตั้งแต่เริ่มรู้จักรักอยากจะได้ผู้หญิง  ผู้หญิงก็เริ่มใจแตกตั้งแต่รักคิดถึงคะนึงหาผู้ชาย   หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มรู้จักความกระวนกระวาย  เรียนหนังสือก็เริ่มจำอะไรไม่ได้ พ่อแม่ครูอาจารย์พร่ำสอนก็เหมือนไม่ได้ยิน ดวงกสิณนอกตำราที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ คือดวงหน้าของหญิงหรือชายในดวงใจ ก็ลอยเด่นเป็นอุคคหนิมิตมาหลอกหลอนทั้งกลางวันกลางคืน


               ผลสุดท้ายจากที่เคยสอบได้เกรดสี่ก็ลดลงเหลือเกรดสอง  อันเป็นผลจากการบำเพ็ญ”มิจฉาสมาธิ” คือการเพ่งใบหน้าของชายหนุ่มหญิงสาว  แทนการบำเพ็ญ“สัมมาสมาธิ” จิตใจหลงลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลืมพ่อลืมแม่ ลืมครูบาอาจารย์  มีแต่เขาคนเดียวหรือเธอคนเดียวเท่านั้นเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ ใจของเราเริ่มแตกสลายนับแต่วันนั้น หัวใจของเราต้องเข้าโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่เราไม่เคยรู้ตัวกันเลยแม้แต่น้อย


               เด็กหนุ่มเด็กสาว ชีวิตจะเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ความมีชีวิตชีวา ตราบจนกว่าเขายังไม่เกิดความรักความผูกพันกับเพศตรงกันข้าม ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนท่านจึงนิยมให้บุตรหลานบวชเป็นสามเณรช่วงในวัยสิบสี่ปี  การเอาฟืนขึ้นจากน้ำไปวางไว้บนบกเสียตั้งแต่ตอนแรก แม้จะยังเปียกอยู่ ต่อไปก็จะกลายเป็นฟืนแห้ง ง่ายต่อการปลูกฝังคุณธรรมความดีต่อไป ครูบาอาจารย์เหล่านั้นที่ท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณรส่วนใหญ่  หากได้พบครูบาอาจารย์ผู้ทรงภูมิธรรม ท่านจึงบรรลุธรรมได้โดยง่าย  เพราะเป็นไม้ที่วางอยู่บนบก จิตบริสุทธิ์ตั้งแต่ต้น


                    ทีนี้หันมามองพวกเราแต่ละคนในยุคนี้แล้วเป็นอย่างไรลองคิดดูเอาเถิด ในวัยที่ท่านนิยมพากันไปบวช  เรากำลังเรียนเพศศึกษาในโรงเรียน เมื่อเรียนแล้วก็อยากทดลองภาคปฏิบัติ  เมื่อทดลองแล้วแทนที่จะแต่งงานอยู่ในเรือนหอทั้งวันทั้งคืนให้อิ่มหนำสำราญแบบคนโบราณ เรากลับไปทำในสิ่งที่ขัดแย้งต่อความเป็นจริงในชีวิตของตนเองนับแต่นั้น  นั่นแหละคือต้นเหตุของปัญหาชีวิตของคนเราสมัยนี้  เรื่องเพศจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเรา


                    เรามักรู้จักแต่ทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ ที่บอกว่า “กามารมณ์ คือ สิ่งที่มีอิทธิพลสูงสุด มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ใต้อำนาจของกามารมณ์” แล้วก็พากันสรรเสริญกามารมณ์ว่าเป็นสิ่งดี สิ่งเลิศ สิ่งประเสริฐ  จิตของเราตกอยู่ในบ่วงของมารนับแต่นั้น  กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อพบกับความทุกข์อันสาหัสมีน้ำตานองหน้าแล้วจึงค่อยมาสนใจธรรมะ


                   พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐของเรา ก่อนพระองค์จะออกบวชนั้นพระองค์คือเจ้าชาย พระองค์อยู่ท่ามกลางกามารมณ์ยิ่งกว่าซิกมันด์ฟรอยด์ร้อยเท่า เพราะนอกจากพิมพายโสธรานางแก้วคู่พระบารมีแล้วยังมีนางสนมกำนัลอีกตั้งสี่หมื่นนาง  แต่สุดท้ายพระองค์กลับค้นพบความจริงว่า “กามารมณ์ไม่ใช่ความสุขอันแท้จริง” และพระองค์ได้ทรงตรัสสอนพระสาวกว่า


                   “กามทั้งหลายมีโทษมาก มีทุกข์มาก มีความพอใจอันเล็กน้อย เป็นบ่อเกิดแห่งความทะเลาะวิวาทกัน  ความชั่วเป็นอันมาก เกิดขึ้นเพราะกามเป็นเหตุ”


                   เราจงก้มหน้าก้มตาพากันยอมรับความจริงกันเสียแต่โดยดี  ว่าอันตัวข้าพเจ้านี้คือมนุษย์ใจแตกกับเขาคนหนึ่ง  จึงขอมอบกายใจและมอบชีวิตเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งนับแต่วันนี้  หลังจากนั้นการเยียวยารักษาตามขั้นตอนด้วยพุทธโอสถจึงจะเริ่มต้นขึ้นได้อย่างจริงจัง  นี้คือวิธีการรักษาของนายแพทย์ใหญ่ของชาวโลกคือพระพุทธเจ้า


                  หากไม่ต้องการเป็นคนใจแตกที่จะต้องกลายเป็นคนป่วยเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู หนูๆลูกๆที่รักทั้งหลายจงอย่าเป็นแมลงหลงระเริงไฟขณะอยู่ในวัยการศึกษา  หากใครพลาดพลั้งไปก็จงลาออกมา แล้วเรียนเพื่อมีวุฒิการศึกษาด้วยระบบการศึกษาแบบเปิด  แล้วก็มีความสุขไปตามประสาชายหญิงตามแต่บุญวาสนาบารมีบุญกรรมที่ทำมา  อย่าไปฝืนทนที่จะมุ่งเอาแต่ใบปริญญา โดยไม่สนใจว่าร่างกายและจิตใจของตนจะเสื่อมโทรมเพียงใด


                 หากทำแบบนี้เราจะได้ลูกที่ดีเป็นรางวัลชีวิตแทนใบปริญญา และจะได้พบกับสิ่งดีๆอย่างอื่นชดเชยในวันข้างหน้า  ดีกว่าได้แต่ใบปริญญาแต่ชีวิตจิตใจต้องอยู่กับความระทมหม่นไหม้ไปจนตลอดเหมือนคนหลายคน คนเราต้นคดปลายตรงย่อมเป็นชีวิตที่ควรแก่การสรรเสริญ


                 หากใครต้องการได้รับปริญญา โดยที่จบออกมาอย่างสง่างามและจิตใจยังไม่เสื่อมโทรม ไม่บุบสลาย  ลูกๆจงสำรวมระวังรักษาตัวเองไว้ให้ดีทั้งหญิงและชาย  แม้ยุคสมัยนี้จะทำได้โดยยากเพราะความเจริญของเทคโนโลยี  แต่สำหรับคนที่สร้างบุญมาดีและมีบารมีติดตัวมาในชาตินี้ เราย่อมมั่นใจในตัวเองว่าสามารถทำได้ เรื่องเพศเป็นเรื่องใหญ่ต้องดำรงสติให้ดี


               ถ้าลูกๆเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า “การรักนวลสงวนตัว”ที่แท้แล้วก็คือการเจริญสติหรือการเจริญภาวนานั่นเอง  เป็นการปฏิบัติธรรมหรือการเจริญสติปัฏฐานก่อนการตกลงปลงใจที่จะมีครอบครัว แล้วลูกจะทำได้ทุกคนและเรียนหนังสือได้เก่งด้วย หลังจากเราตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัว  เราก็จะมีความสุขทางกามารมณ์กับคู่ของเราด้วยความรักความเข้าใจ แล้วหลังจากนั้นวิชาเพศศึกษาที่เรียนมาตั้งแต่มัธยมต้นก็จะได้นำมาใช้ ครองรักครองเรือนด้วยความสุขและอยู่กันอย่างมีสติ เป็นชีวิตแบบมะม่วงที่ถูกบ่มแล้วสุกหวานฉ่ำตามธรรมชาติ หลังจากนั้นเราก็บำเพ็ญภาวนาในภาคของคฤหัสถ์  นี้คือหลักปฏิบัติสำหรับผู้ยินดีในการครองเรือน


              สำหรับบุคคลที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ  เราก็ไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญาแบบคนอื่นก็ได้ แทนที่จะเอาสมองและเวลา ไปเรียนวิชาคำนวณหรือสูตรวิทยาศาสตร์ให้เป็นที่หนักอกหนักใจ สู้เราไปหาลู่ทางประกอบอาชีพที่เรารักและถนัดจะดีกว่า  รักใครชอบใครก็แต่งงานไป เราก็สามารถมีความสุขได้ตามวิสัยของฆราวาส เมื่อประกบอาชีพได้ทรัพย์สินเงินทองมา ก็ให้รู้จักบริจาคให้ทาน ดำรงตนอยู่ในศีล ๕ ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของชีวิต บางทีชีวิตของเราจะมีความสุขและอบอุ่นมากมากว่าคนที่จบปริญญาอีกหลายคน  หากทำได้แบบนี้  ชีวิตของเราก็คือการเจริญภาวนาในภาคของคฤหัสถ์เช่นกัน


                      การเจริญภาวนา คือการเยียวยารักษาจิตใจของเราเอง  เราทุกคนจงมองเห็นความสำคัญของการภาวนาว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับชีวิต  เราทานยารักษาโรคประจำทุกวัน ฉันใด หัวใจของเราก็ต้องการธรรมะช่วยเยียวยารักษาด้วยการเจริญภาวนาเช่นกัน


                    บุคคลใดที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความทุกข์มาก มีปัญหามาก  ก็ต้องหมั่นภาวนาให้มากตามสัดส่วนของจิตใจที่บอบช้ำมาเป็นเวลานาน  อย่าใจร้อนต่อการเจริญภาวนา ต้องใจเย็นๆค่อยเป็นค่อยไป  เหมือนคนที่ป่วยหนักก็ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเดือนเป็นปีและต้องมีความอดทนปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด การเยียวยารักษาจึงจะได้ผล


                   เด็กหนุ่มเด็กสาวผู้มีบุญเก่าทั้งหลาย  หากต้องการเผชิญโลกในยุคหน้าโดยไม่ต้องพบกับความเผ็ดร้อนจนเกินไป  จงสำรวมระวังครองตนอยู่ในศีล ๕ไว้ตั้งแต่วันนี้  เป็นผู้ชายก็อย่าไปหาความสุขจากร่างกายของสตรีอย่างมักง่าย เพราะจะทำให้เรากลายเป็นคนดูหมิ่นเพศสตรีเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่  เราจะกลายเป็นคนก้าวร้าวเหยียดหยามเพศแม่ของเราเอง กว่าจะมีคนมาสอนและกลับตัวได้ บางทีก็ต้องรอจนถึงวัยห้าสิบหกสิบปี จิตสำนึกที่ดีงามจึงจะเกิด สำหรับผู้มีบุญบารมีสร้างมาดี  เราจงอย่าปล่อยอนาคตและเวลาสูญเสียไปเปล่าอย่างนั้น  นี้ก็คือการประพฤติพรหมจรรย์ขั้นต้น หากใครปฏิบัติได้  จะมีภาวะความเป็นผู้นำอย่างเต็มเปี่ยม


                    สตรีเด็กสาวคนใดที่รักนวลสงวนตัว ประคองกายประคองใจของตนได้ในท่ามกลางสังคมที่ฟอนเฟะและไร้หลักคุณธรรมในยามนี้  จะกลายเป็นสตรีที่ช่วยโลกช่วยสังคมได้อย่างกว้างขวางในยุคหน้า  จงรักษาศักดิ์ศรีความเป็นกุลสตรีไว้ด้วยทั้งน้ำตา ชีวิตอันสดใสและล้ำค่ายังรอเราอยู่เมื่อผ่านยุคนี้ไป  หากอยากแต่งงานก็แต่งไปอย่างมีสติ  แต่หากต้องการอุทิศชีวิตนี้เพื่อช่วยจรรโลงรักษาพระศาสนาและเป็นหลักให้แก่สังคม จงรักษาพรหมจรรย์ไว้จนกว่าจะถึงวันของเรา สตรีใดทำได้เช่นนี้ จะมีเทพเจ้าคุ้มครองรักษาจนถึงจุดหมายปลายทาง


                      จงหมั่นเจริญภาวนากันไว้เสมอทั้งหญิงและชาย  ไม่ขึ้นกับว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว  ไม่ขึ้นกับว่าเป็นเด็ก หนุ่มสาว ผู้ใหญ่หรือคนสูงอายุ  เพราะการเจริญภาวนาคือความสุขในชีวิตจริงของเรา  การเจริญภาวนาคือที่พึ่งและเพื่อนแท้ที่จะอยู่คู่กับเราเสมอจนถึงวันตาย

 


                                                                                              คุรุอตีศะ
                                                                                      ๒๔  มีนาคม  ๒๕๕๗