สิ่งที่ใจเรียกร้อง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
สิ่งที่ใจเรียกร้อง
ผู้คนในโลกนี้ ต่างไขว่คว้าแสวงหาสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน สิ่งนั้นก็คือ "ความสุข" การเรียนหนังสือให้จบชั้นสูงๆ ก็มุ่งหมายไว้ในใจว่า จะพบกับความสุขในอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า อาบเหงื่อต่างน้ำหน้าดำคร่ำเครียดแสวงหาเงินตรา ก็เพราะหมายใจไว้ว่า หากได้เงินตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ชีวิตนี้จะได้พบกับความสุขเสียที
ตราบใดที่ใจดวงนี้ยังมีความเชื่อว่า ความสุขอยู่ข้างนอก หรือยังเชื่อมั่นในความคิดที่ว่า ความสุขย่อมแสวงหาได้จากภายนอก ตราบนั้น ชีวิตจะไม่พบกับความสุขที่แท้จริงได้เลย
ผู้คนมากมายได้แสดงให้เห็นประจักษ์มานักต่อนักแล้วว่า การแสวงหาความสุขจากสิ่งอันเป็นภายนอก ล้วนไม่พบคำตอบของชีวิต บางคนได้ใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิตในการดิ้นรนไขว่คว้าสิ่งที่ปรารถนา แต่ก็ไม่พบคำตอบว่า ความสุขอันแท้จริงนั้นคืออะไร ผู้คนทั้งหลายต่างตายไปพร้อมกับปริศนาในหัวใจเช่นนี้มารุ่นแล้วรุ่นเล่า คนแล้วคนเล่า
การที่เราพากันเกิดมาชาติแล้วชาติเล่า ก็เพราะอวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจสี่ อวิชชาคือความไม่รู้นี้ ทำให้เราต่างไปแสวงหาความสุขจากสิ่งอันเป็นภายนอก กว่าจะรู้ว่าบุคคลหรือสิ่งของต่างๆที่เราหมายมั่นว่าจะเป็นที่พึ่งหรือเป็นความสุขของเรานั้นไม่ได้เป็นดังที่หวัง อายุ วัย และกาลเวลาก็ล่วงเลยไป จนบางทีการจะเริ่มต้นในการแสวงหาสิ่งใหม่ก็ไม่เหลือเวลาให้เราได้ทำอีกแล้ว
จนกว่าหัวใจดวงนี้จะเข็ดหลาบและเกิดความสลดสังเวชขึ้นมาว่า สิ่งที่เราต่างพากันดิ้นรนแสวงหาในภายนอกทั้งหลายนั้น ไม่ใช่แก่นสารอันแท้จริงของชีวิต นั่นแหละเราจึงจะเกิดสติและปัญญาขึ้นมา แล้วเกิดศรัทธาต่อการย้อนกลับมาแสวงหาความสุขจากภายในของตนเองตามอย่างพระอริยเจ้า
หากใจดวงนี้ยังไม่เกิดความสลดสังเวชต่อชีวิตที่ผ่านมา ยังมองเห็นว่าชีวิตของตนและสิ่งที่ดิ้นรนแสวงหาเป็นสิ่งสูงค่ายิ่งกว่าการเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต การเดินทางภายในอันนำไปสู่การหลุดพ้นแห่งดวงจิตหรือการดำเนินรอยตามพระอริยเจ้า จะยังไม่ถือว่าเกิดขึ้นจริง แม้ว่าเราจะมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุเพียงใด
ไม้ฟืนที่ยังแช่อยู่ในน้ำ ย่อมไม่อาจจุดไฟให้ติดได้ บางทีกล่องไม้ขีดอาจร่วงลงจมน้ำหายไปด้วยก็ได้
ธรรมะที่แม้ครูบาอาจารย์จะเก่งกล้าสามารถในการสอนหรือแสดงธรรมเพียงใด แต่ถ้าบุคคลนั้นยังยินดีต่อโลกียวิสัย ธรรมะที่สอนออกไปก็ไม่อาจแทรกเข้าสู่ดวงใจของผู้ที่ยังไม่เกิดสลดสังเวช
เปรียบเหมือนการพยายามจุดไม้ขีดไฟเพื่อเผาฟืนเปียกที่ยังจมอยู่ในน้ำ การพยายามนั้นย่อมเสียแรงเปล่า บางทีผู้พยายามจุดไฟไม่ระวังให้ดี อาจทำไม้ขีดตกลงน้ำไปหมดทั้งกล่องหรือตนเองตกลงในน้ำไปด้วยก็ได้
ครูบาอาจารย์แต่ครั้งโบราณโดยเฉพาะหลวงปู่มั่น ท่านจึงมุ่งสอนพระภิกษุเป็นหลักใหญ่ เพราะผู้ที่มีกายสละเพศออกบวชครองเพศบรรพชิตได้ ย่อมควรแก่การสอนธรรมะอันละเอียดลึกซึ้ง ดุจดังไม้ฟืนแห้งแล้วที่วางอยู่บนบก ท่านเหล่านั้นจึงบรรลุธรรมได้มากมาย เหมือนดอกบัวที่รอแสงอรุณ พอพระอาทิตย์ฉายแสง ก็บานสะพรั่งไปทั่วทั้งสระ ฉะนั้น
"ใครหวังพ้นทุกข์ อย่าหลงติดสุขในโลกีย์" คำนี้ครูบาอาจารย์ท่านมักสะกิดใจไว้เตือนสติผู้คนที่มีบุญบารมีมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว จะได้ไม่ประมาทในชีวิต รีบเร่งขวนขวายแสวงหาความสุขอันเที่ยงแท้คือพระนิพพานเสียในชาตินี้
แม้หากบุญบารมีอาจยังไม่ถึงที่ ก็ยังดีกว่าจะปล่อยชีวิตให้จมหายไปในโลกของปุถุชน เหมือนคนที่มีความอุตสาหะและขยันขันแข็ง มุ่งหน้าทำงาน แม้อาจจะยังไม่ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ก็ทำให้ชีวิตของตนมีกินมีใช้ ไม่ตกเป็นทาสความเกียจคร้านและอบายมุข อนาคตก็ไม่ตกต่ำ มีแต่จะได้ดีต่อไปข้างหน้า
การแสวงหาความสุขจากภายนอก ยิ่งไขว่คว้า ความสุขยิ่งเหมือนไกลออกไป ต้องแสวงหาจากภายใน ความสุขนั้นจึงจะพบ
การปฏิบัติธรรม ก็คือการแสวงหาความสุขจากภายใน เป็นการมอบกายใจและมอบชีวิตแด่พระรัตนตรัยอันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน การปฏิบัติธรรมอันเป็นเนื้อหาที่แท้จริง จึงคือการที่บุคคลนั้นฝากชีวิตของตนไว้กับพระรัตนตรัย ไม่ได้ฝากชีวิตหรืออนาคตไว้กับสิ่งอื่นหรือบุคคลอื่น
หากบุคคลใดใจอยู่กับพระรัตนตรัยคือมีสติระลึกรู้ตามความเป็นจริง จิตอยู่กับกุศลไม่มีความเศร้าหมองขณะใด ขณะนั้นย่อมเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้วในตัว ความสุขย่อมเข้ามาสถิตในดวงใจของผู้นั้นโดยไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าแสวงหาหรือเชื้อเชิญแม้แต่น้อย
ทำหน้าที่ที่ทุกคนมีอยู่เฉพาะหน้าขณะนี้ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคน แต่อย่าลืมระลึกรู้กายและใจขณะนี้ไปด้วย ใจที่วิ่งออกนอกบ้านจะกลับคืนมาสู่ตัว ความเศร้าหมองขุ่นมัวจะมลายหายไปเอง
แสวงหาความสุขจากภายนอกมามากแล้ว หากไม่เป็นการหลอกตัวเองหรือไม่หลงไปตามกระแสของโลกปุถุชนจนเกินไป เราจะตอบตัวเองได้อย่างไม่ต้องลังเลสงสัยว่า หัวใจของเรายังไม่ได้พบความสุขที่อุ่นใจอย่างแท้จริงเลย
เป็นไม้ฟืนที่จมอยู่ในน้ำมาช้านาน จงเป็นไม้ฟืนที่ขึ้นจากน้ำเพื่อเป็นไม้ฟืนแห้งที่สามารถจุดไฟติดได้ สิ่งที่ใจแสวงหามาช้านาน เราอาจพบสิ่งที่ใจต้องการที่ตัวเรานี้ ในวันที่ฟืนได้ขึ้นจากน้ำแล้ว
เมื่อใดที่ฟืนได้ขึ้นจากน้ำ เราจะพบกับคำตอบในตัวเองว่า สิ่งที่ใจเรียกร้องนั้น ไม่ใช่เงินตรา ไม่ใช่เกียรติยศ ไม่ใช่อำนาจ ไม่ใช่ตำแหน่ง ไม่ใช่ความรักหรือความสุขทางเพศที่ชาวโลกนิยม ไม่ใช่ความรักความอบอุ่นที่ต้องอาศัยบุคคลใด แต่คือหัวใจที่สงบต่างหาก
ความสุขนี้คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้วประกาศแก่ชาวโลก มีพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นสักขีพยานว่าพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้และประกาศนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติย่อมเข้าถึงได้ด้วยตนเอง ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ไม่มีการล้าสมัย มีแต่ทันสมัยอยู่เสมอ ผู้ใดบรรลุถึงความสุขนี้แล้ว ย่อมไม่หวนกลับคืนไปยินดีในความสุขตามแบบชาวโลกอีกตลอดชีวิต
แท้จริงแล้ว สิ่งที่ใจเรียกร้อง มิใช่สิ่งใด แต่คือความสงบภายในของใจดวงนี้ สุขแบบทางโลกด้วย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ยังเป็นความสุขที่แฝงด้วยความร้อนแผดเผาอยู่ข้างใน แต่ความสุขอันเกิดจากการที่ใจดวงนี้สงบจากกิเลส ย่อมเป็นความสุขอันเยือกเย็น ปราศจากความวิตกกังวลและพิษภัยใดๆ
ไม่ว่าโลกใบนี้จะเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอย ไม่ว่าหญิงชายในโลกนี้จะเที่ยวแสวงหาความสุขจากภายนอกสักเพียงใด เขาและเธอจะไม่มีวันพบความสุขนั้น จนกว่าจะถึงวันที่หัวใจดวงนี้เข้าถึงความสงบ
ความสุขใดเล่าจะยิ่งใหญ่และเป็นนิรันดร์ดุจความสุขอันเกิดจากความสงบภายใน ใจที่หยุดแล้วซึ่งการแสงหาจึงจะพบกับความสุขอันยั่งยืน
แม้หญิงชายบนโลกใบนี้จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ในที่สุด ทุกชีวิตก็จะต้องเดินไปหาความสุขชนิดนี้ในวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว แล้วเขาและเธอจะพบความจริงว่า สิ่งที่ใจเรียกร้องตลอดมา ก็คือสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี" นั่นเอง
คุรุอตีศะ
๒๑ มีนาคม ๒๕๕๗