ความรักกับชีวิตจริง

ความรักกับชีวิตจริง

 


                ความรักที่งดงามในหัวใจกับชีวิตในความเป็นจริงนั้นอาจแตกต่างกัน  และส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนั้น  หากความรักกับชีวิตจริงเป็นสิ่งเดียวกัน  โลกใบนี้คงไม่ต้องมีเสียงเพลงคอยปลอบประโลมคนที่ทุกข์เศร้า   รวมทั้งไม่ต้องมีวัดหรือมีสำนักปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด


               คนทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่อาจจะมีหัวใจที่ลึกซึ้งและอ่อนโยนละเมียดละไม ได้เหมือนบทเพลงซึ้งๆที่มีผู้ประพันธ์แต่งขึ้นมาปลอบประโลมโลก  กวี จิตรกร นักประพันธ์ จึงทำหน้าที่เป็นผู้สื่อความรู้สึกและความหมายอันลึกซึ้ง ละเมียดละไม จากก้นบึ้งของหัวใจของเหล่าหญิงชายทั้งหลายที่เขาหรือเธอไม่อาจสื่อออกมาด้วยตัวเองได้  ส่วนกวีจะทำหน้าที่นี้แทนทุกคนได้ นี้คือพรสวรรค์ของกวีที่เกิดมาเพื่อปลอบประโลมโลกใบนี้  นี้คือความยิ่งใหญ่ของบทกวีทุกบท


              กวีนั้นเปรียบเสมือนผู้เดินเลาะชมอยู่หน้าประตูของวัดคือสัจธรรม  แต่ไม่สามารถก้าวเข้าไปข้างในได้  ได้แต่พรรณนาและรำพันบรรยายความรู้สึกออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ แต่ไม่ยอมก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความเป็นจริง  นี้คือความอาภัพของกวีทั้งหลาย  ที่อยู่แต่ในโลกจินตนาการ


             พระอริยบุคคลคือผู้กล้าที่จะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป จนกระทั่งได้เข้าไปอยู่ข้างในโบสถ์วิหาร ได้คุกเข่าด้วยความเงียบสงบอันลึกซึ้งต่อหน้าแท่นบูชา โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดเอ่ยออกมาเป็นวาจาอีกแล้ว ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมหรืออริยะจึงไม่ใช่ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเสียงเพลงหรือความโรแมนติคแบบชาวโลกอีกต่อไป แต่อาจอาศัยเพื่อสื่อธรรมะเป็นบางคราว


             กวีจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างปุถุชนกับพระอริยเจ้า  หากไม่มีกวี นักเขียน นักประพันธ์ หรือจิตรกร  จะไม่มีใครสื่อความหมายบางอย่างและการแสดงธรรมโปรดผู้คนจะไม่สามารถทำได้  เพราะสัจธรรมที่ท่านมีอยู่ภายในเป็นอย่างหนึ่ง  แต่การถ่ายทอดหรือการแสดงธรรมอาจใช้วิธีการอีกแบบหนึ่ง  ซึ่งขึ้นกับบุคล เหตุการณ์ สภาพแวดล้อมในขณะนั้นเป็นสำคัญ


               ในสมัยที่บำเพ็ญตนเป็นโยคีในชุดขาว  เคยเอาเนื้อเพลงที่มีความหมายอันกินใจอันลึกซึ้งทำนองนี้ สื่อความหมายให้พระภิกษุหนุ่มสามรูปที่ท่านกำลังประสบปัญหาทางใจในขณะนั้นได้รับฟัง   ปรากฏว่า เพลงที่สื่อความหมายออกไปให้ท่านได้ฟังด้วยจิตอันเป็นสมาธิบนยอดเขาในครั้งนั้น กลายเป็นการ “แก้อารมณ์”ให้แก่พระภิกษุรูปหนึ่งอย่างได้ผลโดยไม่คาดคิดมาก่อน  คือได้ทำให้ท่านก้าวข้ามอารมณ์อันเป็นกามฉันทะนิวรณ์ จิตใจเกิดความลึกซึ้ง ละเมียดละไม ทำให้เกิดความเยือกเย็นในจิตใจ เกิดสติและบรรลุสมาธิจนท่านไม่คิดสึก กลายเป็นครูบาอาจารย์ที่มีภูมิจิตสูง เป็นที่พึ่งของพระเณรและแม่ชีญาติโยมผู้หญิงจำนวนมากมาจนบัดนี้  นี้คืออานิสงส์ของท่านผู้มีบุญบารมีที่ฟังเนื้อเพลงด้วยความมีสติและมีปัญญาอันแยบคาย


            เพลง “ทรายกับทะเล”ที่ยกมาอธิบาย  แต่ละคนฟังหรืออ่านแล้วอาจมีผลทางความนึกคิดและเกิดความรู้สึกแตกต่างกันไป  สำหรับบางคนที่กำลังหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์อย่างหยาบ อาจนึกดูหมิ่นเพลงนี้ว่าไร้สาระก็ได้  เพราะขณะนั้นจิตอยู่กับความรักในระดับหยาบทางร่างกาย  จึงรับเอาความหมายอันละเอียดลึกซึ้งยังไม่ได้ในเวลาขณะนั้น


            สำหรับบางคนที่ครองตนมาดี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องทางร่างกาย  จะรู้สึกว่าเพลงนี้ช่างงดงามและมีความหมาย  ค้นพบตัวเองว่าแท้ที่จริงแล้วหัวใจของเราต้องการความรักเช่นนี้


            หากใครก็ตามที่ยังเป็นโสดไม่ว่าหญิงหรือชาย  หากมีหัวใจที่มีความรักในระดับนี้  ให้รู้ตัวเองว่า  ควรใช้ชีวิตที่อิสระหรือไปบวชย่อมเป็นชีวิตที่ดีกว่า เพราะคนที่โรแมนติคหรือละเมียดละไมอ่อนไหวในความรักจนเกินไปนั้น การแต่งงานหรือการมีครอบครัวจะกลายเป็นความทุกข์ทรมาน จะไม่มีความสุขเหมือนดังที่ตนคาดหวังไว้ในจินตนาการ หรือเหมือนกับที่ตนเองเห็นบางคู่เขามีความสุขเป็นคู่สร้างคู่สม เพราะกำลังเสวยผลบุญที่เคยร่วมทำกันมา


             ชีวิตการแต่งงาน ถ้าหากไม่ใช่คู่สร้างคู่สมหรือคู่บุญบารมี  ทุกคู่ส่วนใหญ่ย่อมมุ่งไปสู่การแสวงหาสะสมเงินทองและการแสวงหาความร่ำรวยหรือความยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น  การสร้างฐานะและแสวงหาความก้าวหน้าต้องใช้สมองฝั่งซ้ายอย่างมากจึงจะพบกับความสำเร็จได้  คนที่มีอารมณ์โรแมนติคมากเกินไป คู่ครองจะไม่ค่อยเข้าใจและมักสร้างตัวในทางโลกให้สำเร็จเหมือนพี่น้องหรือเพื่อนฝูงได้ยาก  เพราะไม่ใช่ความถนัดของตนซึ่งมีพรสวรรค์เป็นเยี่ยมของสมองฝั่งขวา  เหมือนการเอาเช็คสเปียร์หรือบีโธเฟนไปสร้างถนน ฉะนั้น


             ผู้ที่แสวงหาความรักอันมั่นคงและความสงบสุขทางจิตใจ  จะไม่ชอบและไม่สนใจที่จะแสวงหาและทะเยอทะยานเช่นนั้น  จะสนใจในเรื่องของบุญกุศล ชอบช่วยเหลือคนอื่น ให้ความสำคัญกับความรัก ความสุขสงบทางจิตใจมากกว่า หากบุคคลนั้นยังไม่รู้จักตัวเองว่าชีวิตของตนที่แท้ต้องการอะไร พอถึงวัยใกล้สี่สิบมักจะป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหารหรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บเพราะพลังชีวิตขาดหาย เนื่องจากไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยสมองฝั่งขวาอันเป็นชีวิตจริงของตนมายาวนาน


             หากมีคู่ครอง พอถึงตอนนี้ก็มักเริ่มไม่เข้าใจกัน  เพราะคู่ครองต้องการความสุขทางร่างกายและทางวัตถุ  แต่ตัวเองเกิดความเบื่อหน่าย  ปรารถนาที่จะอยู่กับความรักที่ละเมียดละไม  หัวใจลึกๆต้องการจะสื่อความหมายออกไปแบบเพลง “ทรายกับทะเล”มากกว่า


            คู่รัก คู่สามีภรรยาที่อยู่กันด้วยความสัมพันธ์ทางเพศมาเป็นเวลานาน  โบราณท่านจึงวางหลักให้เริ่มรักษาศีลอุโบสถแยกกันนอนบ้าง เพื่อประคองความรักที่งดงามให้ยั่งยืน  ไม่ใช่อยู่คลุกคลีกันทั้งวันทั้งคืนไม่สนใจพระหรือวัดวาอาราม  จนกระทั่งทะเลาะผิดใจกันหรือเกิดการเจ็บป่วยจนมีความสัมพันธ์ตามปกติไม่ได้แล้ว จึงค่อยคิดไปวัดรักษาศีลเหมือนพวกเราสมัยนี้


           สมัยก่อน วัดวามอารามเป็นสถานที่สำหรับให้สามีภรรยาผู้เป็นคู่บุญบารมี ได้ร่วมกันก่อสร้างทาน ศีล ภาวนา ได้พากันประกอบบุญกุศลเพื่อความผาสุกในครอบครัวในชาติปัจจุบันนี้  พร้อมทั้งเป็นโอกาสในการสั่งสมบารมีเพื่อจะได้พบกันอีกในชาติหน้า ตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์ที่ท่านพาคู่บารมีของท่านบำเพ็ญบุญบารมีในทุกภพทุกชาติ


          ส่วนท่านใดจิตน้อมไปในทางที่จะต้องการหลุดพ้นเสียในชาตินี้   ท่านก็ยินดีในการบรรพชาอุปสมบท ช่วยสืบอายุพระศาสนา โดยไม่ปรารถนาเข้าสู่ชีวิตการครองเรือน


          แต่พวกเราสมัยนี้  เรามักพากันปฏิบัติต่อวัดวาอารามไปอีกแบบหนึ่ง  คือเราจะไปวัดกันก็ตอนมีเทศกาลหรือไปงานเผาศพเท่านั้น  และจะนึกถึงวัดหรือคิดถึงการรักษาศีลอีกทีก็ตอนทะเลาะกันไม่สบายใจ หรือไม่ก็ต้องรอให้มีคนทรงหรือหมอดูทำนายว่ามีเคราะห์ หรือบอกให้ไปบวชแก้บนเสียก่อน จึงจะไปวัดเป็นส่วนใหญ่


          คนเหล่านี้หากฟังเพลง “ทรายกับทะเล”กี่ครั้งก็ไม่เข้าใจ ก็จงไปรักษาศีล ฟังธรรม เพื่อให้หัวใจได้หยุดความฟุ้งซ่าน ได้รับและสัมผัสความร่มเย็นทางจิตใจ จนรู้สึกว่าพระศาสนาเป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ แล้วค่อยกลับไปฟังเพลงนี้ใหม่  บางที่หัวใจจะเกิดความรักที่งดงามแทนการด่าอีกฝ่ายสามวันสามคืนสามเวลาหลังอาหารก็ได้  ถึงจะอย่างไร ก็ยังมั่นใจว่าท่านผู้ห้าวหาญทั้งหลาย จะยังมีโอกาสรู้จักความรักที่มั่นคงและงดงามเช่นนี้ขึ้นในหัวใจในสักวันหนึ่ง


             ในชีวิตความเป็นจริงนั้น  คู่สามีภรรยาทั้งหลาย ความอ่อนโยนความงดงามของจิตใจ จะเริ่มหายไปทีละน้อยตามสัดส่วนของระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน  เพราะการแต่งงานคือความผูกพัน คือการผูกมัดกันไว้  คือความไม่มีอิสระ ต้องการครอบครองเขาไว้คนเดียว


            ความรักที่งดงามจะกลับคืนมาใหม่ เมื่อรู้จักบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี คือการที่ฝ่ายหนึ่งไปถือบวชรักษาศีลให้หัดพลัดพรากจากกันชั่วคราว เพื่อการสร้างบารมีให้สูงยิ่งขึ้น  หลังจากนั้นความรักความห่วงใยและความงดงามจะเกิดขึ้นในจิตใจ  ความเคารพนับถือกัน  ความไว้วางใจกัน จะกลับคืนมา นี้คือ ศิลปะการครองรักครองเรือนที่คนโบราณท่านเอาอย่างพระโพธิสัตว์นั่นเอง


             คนทุกวันนี้มักปฏิบัติต่อความรัก ด้วยความเข้าใจผิดหรือไปเอาอย่างลัทธิศาสนาอื่น โดยมีคติว่า “คนรักกัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และทุกสายตาที่มองออกมา ต้องมองฉันคนเดียวเท่านั้น ห้ามไปชายตามองคนอื่นเป็นเด็ดขาด” สุดท้ายก็เลยทนอยู่ด้วยกันด้วยความอึดอัด แต่ก็บอกว่า “อึดอัด”ไม่ได้ กลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าไม่รักอีกแล้ว  พอกดดันนานเข้าทนไม่ไหวก็เลยระเบิดกระจัดกระจายไปกันคนละทิศละทาง  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่รู้ว่า ชีวิตการครองเรือนที่มีความสุขและมั่นคงนั้นคือการดำเนินตามรอยพระโพธิสัตว์ โดยการพากันบำเพ็ญทาน  ศีล ภาวนา ไม่ใช่เอาแต่หาวิธีและเทคนิคในการมัดหัวใจอีกฝ่ายแบบที่ชอบทำกันแบบนั้น


             หากดำเนินชีวิตและครองรักตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์  ชีวิตจริงจึงจะงดงามและมั่นคง   มีชีวิตอยู่คู่กันในปัจจุบันเพื่อสร้างบารมี  ดุจทรายกับทะเลที่อยู่คู่กันตลอดไป

 

                                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                                   ๑๔  มีนาคม  ๒๕๕๗