ความรักกับชีวิตจริง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความรักกับชีวิตจริง
ความรักที่งดงามในหัวใจกับชีวิตในความเป็นจริงนั้นอาจแตกต่างกัน และส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนั้น หากความรักกับชีวิตจริงเป็นสิ่งเดียวกัน โลกใบนี้คงไม่ต้องมีเสียงเพลงคอยปลอบประโลมคนที่ทุกข์เศร้า รวมทั้งไม่ต้องมีวัดหรือมีสำนักปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด
คนทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่อาจจะมีหัวใจที่ลึกซึ้งและอ่อนโยนละเมียดละไม ได้เหมือนบทเพลงซึ้งๆที่มีผู้ประพันธ์แต่งขึ้นมาปลอบประโลมโลก กวี จิตรกร นักประพันธ์ จึงทำหน้าที่เป็นผู้สื่อความรู้สึกและความหมายอันลึกซึ้ง ละเมียดละไม จากก้นบึ้งของหัวใจของเหล่าหญิงชายทั้งหลายที่เขาหรือเธอไม่อาจสื่อออกมาด้วยตัวเองได้ ส่วนกวีจะทำหน้าที่นี้แทนทุกคนได้ นี้คือพรสวรรค์ของกวีที่เกิดมาเพื่อปลอบประโลมโลกใบนี้ นี้คือความยิ่งใหญ่ของบทกวีทุกบท
กวีนั้นเปรียบเสมือนผู้เดินเลาะชมอยู่หน้าประตูของวัดคือสัจธรรม แต่ไม่สามารถก้าวเข้าไปข้างในได้ ได้แต่พรรณนาและรำพันบรรยายความรู้สึกออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ แต่ไม่ยอมก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความเป็นจริง นี้คือความอาภัพของกวีทั้งหลาย ที่อยู่แต่ในโลกจินตนาการ
พระอริยบุคคลคือผู้กล้าที่จะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป จนกระทั่งได้เข้าไปอยู่ข้างในโบสถ์วิหาร ได้คุกเข่าด้วยความเงียบสงบอันลึกซึ้งต่อหน้าแท่นบูชา โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดเอ่ยออกมาเป็นวาจาอีกแล้ว ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมหรืออริยะจึงไม่ใช่ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเสียงเพลงหรือความโรแมนติคแบบชาวโลกอีกต่อไป แต่อาจอาศัยเพื่อสื่อธรรมะเป็นบางคราว
กวีจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างปุถุชนกับพระอริยเจ้า หากไม่มีกวี นักเขียน นักประพันธ์ หรือจิตรกร จะไม่มีใครสื่อความหมายบางอย่างและการแสดงธรรมโปรดผู้คนจะไม่สามารถทำได้ เพราะสัจธรรมที่ท่านมีอยู่ภายในเป็นอย่างหนึ่ง แต่การถ่ายทอดหรือการแสดงธรรมอาจใช้วิธีการอีกแบบหนึ่ง ซึ่งขึ้นกับบุคล เหตุการณ์ สภาพแวดล้อมในขณะนั้นเป็นสำคัญ
ในสมัยที่บำเพ็ญตนเป็นโยคีในชุดขาว เคยเอาเนื้อเพลงที่มีความหมายอันกินใจอันลึกซึ้งทำนองนี้ สื่อความหมายให้พระภิกษุหนุ่มสามรูปที่ท่านกำลังประสบปัญหาทางใจในขณะนั้นได้รับฟัง ปรากฏว่า เพลงที่สื่อความหมายออกไปให้ท่านได้ฟังด้วยจิตอันเป็นสมาธิบนยอดเขาในครั้งนั้น กลายเป็นการ “แก้อารมณ์”ให้แก่พระภิกษุรูปหนึ่งอย่างได้ผลโดยไม่คาดคิดมาก่อน คือได้ทำให้ท่านก้าวข้ามอารมณ์อันเป็นกามฉันทะนิวรณ์ จิตใจเกิดความลึกซึ้ง ละเมียดละไม ทำให้เกิดความเยือกเย็นในจิตใจ เกิดสติและบรรลุสมาธิจนท่านไม่คิดสึก กลายเป็นครูบาอาจารย์ที่มีภูมิจิตสูง เป็นที่พึ่งของพระเณรและแม่ชีญาติโยมผู้หญิงจำนวนมากมาจนบัดนี้ นี้คืออานิสงส์ของท่านผู้มีบุญบารมีที่ฟังเนื้อเพลงด้วยความมีสติและมีปัญญาอันแยบคาย
เพลง “ทรายกับทะเล”ที่ยกมาอธิบาย แต่ละคนฟังหรืออ่านแล้วอาจมีผลทางความนึกคิดและเกิดความรู้สึกแตกต่างกันไป สำหรับบางคนที่กำลังหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์อย่างหยาบ อาจนึกดูหมิ่นเพลงนี้ว่าไร้สาระก็ได้ เพราะขณะนั้นจิตอยู่กับความรักในระดับหยาบทางร่างกาย จึงรับเอาความหมายอันละเอียดลึกซึ้งยังไม่ได้ในเวลาขณะนั้น
สำหรับบางคนที่ครองตนมาดี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องทางร่างกาย จะรู้สึกว่าเพลงนี้ช่างงดงามและมีความหมาย ค้นพบตัวเองว่าแท้ที่จริงแล้วหัวใจของเราต้องการความรักเช่นนี้
หากใครก็ตามที่ยังเป็นโสดไม่ว่าหญิงหรือชาย หากมีหัวใจที่มีความรักในระดับนี้ ให้รู้ตัวเองว่า ควรใช้ชีวิตที่อิสระหรือไปบวชย่อมเป็นชีวิตที่ดีกว่า เพราะคนที่โรแมนติคหรือละเมียดละไมอ่อนไหวในความรักจนเกินไปนั้น การแต่งงานหรือการมีครอบครัวจะกลายเป็นความทุกข์ทรมาน จะไม่มีความสุขเหมือนดังที่ตนคาดหวังไว้ในจินตนาการ หรือเหมือนกับที่ตนเองเห็นบางคู่เขามีความสุขเป็นคู่สร้างคู่สม เพราะกำลังเสวยผลบุญที่เคยร่วมทำกันมา
ชีวิตการแต่งงาน ถ้าหากไม่ใช่คู่สร้างคู่สมหรือคู่บุญบารมี ทุกคู่ส่วนใหญ่ย่อมมุ่งไปสู่การแสวงหาสะสมเงินทองและการแสวงหาความร่ำรวยหรือความยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น การสร้างฐานะและแสวงหาความก้าวหน้าต้องใช้สมองฝั่งซ้ายอย่างมากจึงจะพบกับความสำเร็จได้ คนที่มีอารมณ์โรแมนติคมากเกินไป คู่ครองจะไม่ค่อยเข้าใจและมักสร้างตัวในทางโลกให้สำเร็จเหมือนพี่น้องหรือเพื่อนฝูงได้ยาก เพราะไม่ใช่ความถนัดของตนซึ่งมีพรสวรรค์เป็นเยี่ยมของสมองฝั่งขวา เหมือนการเอาเช็คสเปียร์หรือบีโธเฟนไปสร้างถนน ฉะนั้น
ผู้ที่แสวงหาความรักอันมั่นคงและความสงบสุขทางจิตใจ จะไม่ชอบและไม่สนใจที่จะแสวงหาและทะเยอทะยานเช่นนั้น จะสนใจในเรื่องของบุญกุศล ชอบช่วยเหลือคนอื่น ให้ความสำคัญกับความรัก ความสุขสงบทางจิตใจมากกว่า หากบุคคลนั้นยังไม่รู้จักตัวเองว่าชีวิตของตนที่แท้ต้องการอะไร พอถึงวัยใกล้สี่สิบมักจะป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหารหรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บเพราะพลังชีวิตขาดหาย เนื่องจากไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยสมองฝั่งขวาอันเป็นชีวิตจริงของตนมายาวนาน
หากมีคู่ครอง พอถึงตอนนี้ก็มักเริ่มไม่เข้าใจกัน เพราะคู่ครองต้องการความสุขทางร่างกายและทางวัตถุ แต่ตัวเองเกิดความเบื่อหน่าย ปรารถนาที่จะอยู่กับความรักที่ละเมียดละไม หัวใจลึกๆต้องการจะสื่อความหมายออกไปแบบเพลง “ทรายกับทะเล”มากกว่า
คู่รัก คู่สามีภรรยาที่อยู่กันด้วยความสัมพันธ์ทางเพศมาเป็นเวลานาน โบราณท่านจึงวางหลักให้เริ่มรักษาศีลอุโบสถแยกกันนอนบ้าง เพื่อประคองความรักที่งดงามให้ยั่งยืน ไม่ใช่อยู่คลุกคลีกันทั้งวันทั้งคืนไม่สนใจพระหรือวัดวาอาราม จนกระทั่งทะเลาะผิดใจกันหรือเกิดการเจ็บป่วยจนมีความสัมพันธ์ตามปกติไม่ได้แล้ว จึงค่อยคิดไปวัดรักษาศีลเหมือนพวกเราสมัยนี้
สมัยก่อน วัดวามอารามเป็นสถานที่สำหรับให้สามีภรรยาผู้เป็นคู่บุญบารมี ได้ร่วมกันก่อสร้างทาน ศีล ภาวนา ได้พากันประกอบบุญกุศลเพื่อความผาสุกในครอบครัวในชาติปัจจุบันนี้ พร้อมทั้งเป็นโอกาสในการสั่งสมบารมีเพื่อจะได้พบกันอีกในชาติหน้า ตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์ที่ท่านพาคู่บารมีของท่านบำเพ็ญบุญบารมีในทุกภพทุกชาติ
ส่วนท่านใดจิตน้อมไปในทางที่จะต้องการหลุดพ้นเสียในชาตินี้ ท่านก็ยินดีในการบรรพชาอุปสมบท ช่วยสืบอายุพระศาสนา โดยไม่ปรารถนาเข้าสู่ชีวิตการครองเรือน
แต่พวกเราสมัยนี้ เรามักพากันปฏิบัติต่อวัดวาอารามไปอีกแบบหนึ่ง คือเราจะไปวัดกันก็ตอนมีเทศกาลหรือไปงานเผาศพเท่านั้น และจะนึกถึงวัดหรือคิดถึงการรักษาศีลอีกทีก็ตอนทะเลาะกันไม่สบายใจ หรือไม่ก็ต้องรอให้มีคนทรงหรือหมอดูทำนายว่ามีเคราะห์ หรือบอกให้ไปบวชแก้บนเสียก่อน จึงจะไปวัดเป็นส่วนใหญ่
คนเหล่านี้หากฟังเพลง “ทรายกับทะเล”กี่ครั้งก็ไม่เข้าใจ ก็จงไปรักษาศีล ฟังธรรม เพื่อให้หัวใจได้หยุดความฟุ้งซ่าน ได้รับและสัมผัสความร่มเย็นทางจิตใจ จนรู้สึกว่าพระศาสนาเป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ แล้วค่อยกลับไปฟังเพลงนี้ใหม่ บางที่หัวใจจะเกิดความรักที่งดงามแทนการด่าอีกฝ่ายสามวันสามคืนสามเวลาหลังอาหารก็ได้ ถึงจะอย่างไร ก็ยังมั่นใจว่าท่านผู้ห้าวหาญทั้งหลาย จะยังมีโอกาสรู้จักความรักที่มั่นคงและงดงามเช่นนี้ขึ้นในหัวใจในสักวันหนึ่ง
ในชีวิตความเป็นจริงนั้น คู่สามีภรรยาทั้งหลาย ความอ่อนโยนความงดงามของจิตใจ จะเริ่มหายไปทีละน้อยตามสัดส่วนของระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน เพราะการแต่งงานคือความผูกพัน คือการผูกมัดกันไว้ คือความไม่มีอิสระ ต้องการครอบครองเขาไว้คนเดียว
ความรักที่งดงามจะกลับคืนมาใหม่ เมื่อรู้จักบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี คือการที่ฝ่ายหนึ่งไปถือบวชรักษาศีลให้หัดพลัดพรากจากกันชั่วคราว เพื่อการสร้างบารมีให้สูงยิ่งขึ้น หลังจากนั้นความรักความห่วงใยและความงดงามจะเกิดขึ้นในจิตใจ ความเคารพนับถือกัน ความไว้วางใจกัน จะกลับคืนมา นี้คือ ศิลปะการครองรักครองเรือนที่คนโบราณท่านเอาอย่างพระโพธิสัตว์นั่นเอง
คนทุกวันนี้มักปฏิบัติต่อความรัก ด้วยความเข้าใจผิดหรือไปเอาอย่างลัทธิศาสนาอื่น โดยมีคติว่า “คนรักกัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และทุกสายตาที่มองออกมา ต้องมองฉันคนเดียวเท่านั้น ห้ามไปชายตามองคนอื่นเป็นเด็ดขาด” สุดท้ายก็เลยทนอยู่ด้วยกันด้วยความอึดอัด แต่ก็บอกว่า “อึดอัด”ไม่ได้ กลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าไม่รักอีกแล้ว พอกดดันนานเข้าทนไม่ไหวก็เลยระเบิดกระจัดกระจายไปกันคนละทิศละทาง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่รู้ว่า ชีวิตการครองเรือนที่มีความสุขและมั่นคงนั้นคือการดำเนินตามรอยพระโพธิสัตว์ โดยการพากันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ไม่ใช่เอาแต่หาวิธีและเทคนิคในการมัดหัวใจอีกฝ่ายแบบที่ชอบทำกันแบบนั้น
หากดำเนินชีวิตและครองรักตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์ ชีวิตจริงจึงจะงดงามและมั่นคง มีชีวิตอยู่คู่กันในปัจจุบันเพื่อสร้างบารมี ดุจทรายกับทะเลที่อยู่คู่กันตลอดไป
คุรุอตีศะ
๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗