รักแท้ที่มั่นคง

รักแท้ที่มั่นคง 

 

               เราต้องยอมรับความจริงกันอย่างหนึ่งว่า คนเราส่วนใหญ่มีหัวใจที่ขาดแคลนความรัก หัวใจของเรามีความโหยหาความรัก ความเข้าใจ ความอ่อนโยน และคำปลอบโยนจากใครบางคนอยู่ตลอดเวลา

 

              ดังนั้น แม้จะปฏิบัติสมาธิหรือเดินจงกรมสักเพียงไร  หัวใจของเราก็ยากจะพบกับความสงบและปีติดังที่หวัง  การปฏิบัติธรรมของหลายคนจึงเต็มไปด้วยความอึดอัดและน่าเบื่อหน่ายที่ยากจะอธิบายได้  เพราะหัวใจของเราขาดสิ่งหนึ่งที่เป็นพื้นฐานคือความรัก

 

             สมาธิจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย  จากหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและมีความสุข สมาธิจะไม่อาจเกิดขึ้นได้ ในหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์และโหยหาความรักความเข้าใจ

 

             เพราะสมาธิเป็นคุณลักษณะพิเศษที่เติบโตงอกงามและพัฒนา มาจากหัวใจที่เต็มอิ่มจากความรักแล้ว หลังจากนั้นจิตจึงต้องการความสุขที่สูงขึ้นไปคือความสงบและอิสรภาพภายใน อันเป็นความสุขที่ลึกซึ้งและประณีตยิ่งขึ้น

 

             ประวัติของครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียนบรรยายไว้ ที่ท่านบรรลุสมาธิได้ง่าย เป็นเพราะท่านเหล่านั้นมีพื้นฐานทางจิตใจอันสำคัญคือหัวใจของท่านไม่ได้ขาดแคลนความรัก

 

             ในสังคมยุคที่ผ่านมา พอท่านเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว พอถึงวัยท่านก็แต่งงานตั้งแต่อายุสิบเจ็ดสิบแปด สำหรับผู้ชายก็อาจถูกบ่มโดยให้บวชเสียก่อน  หลังจากนั้นท่านก็มีความสุขกัน ไม่มีความกดดันให้หัวใจเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดแบบคนสมัยนี้ ชีวิตของผู้คนในยุคที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่จึงไม่ได้ขาดความรัก

 

             เมื่ออยู่ด้วยกันด้วยความรักความเข้าใจอย่างเต็มที่ และครองตนอยู่ในศีลธรรม ตักบาตรทำบุญ ไปวัด ฟังพระเทศน์สม่ำเสมอ จิตใจก็เลื่อนไหลมองเห็นทุกข์โทษของความรักความผูกพันที่เต็มไปด้วยเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ อันเป็นความทุกข์อันละเอียดลึกซึ้งประการหนึ่ง หลังจากนั้นท่านก็จะต้องการความสงบทางจิตใจปรารถนาจะพบความสุขที่ละเอียดสูงยิ่งขึ้น

 

              เมื่อมีครูบาอาจารย์สอนสมาธิหรือสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง ท่านก็รู้จักตัวสติและบรรลุสมาธิได้โดยง่าย  เพราะบำเพ็ญทานและรักษาศีลมาเป็นปกติ  สมาธิก็เกิดขึ้นตามมาเมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม  ด้วยเหตุนี้ คนสมัยก่อนท่านจึงเป็นคนมีสมาธิและใจคอเยือกเย็น มีอารมณ์ที่มั่นคง เกื้อกูลต่อการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ต่อการบรรลุมรรคผล สำหรับผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาแล้ว

 

                  ส่วนบางท่านมีวาสนาในทางธรรม ท่านก็จะมองเห็นว่าช่องทางแห่งการบรรพชาอุปสมบทเป็นชีวิตที่ประเสริฐกว่า  จิตของท่านเหล่านั้นก็จะน้อมไปในการมีความสุขจากการบรรพชา บุคคลชนิดนี้จะไม่มองว่าความสุขทางเพศเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งจนทนไม่ได้เหมือนคนประเภทแรก  นี้คือบุคคลที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเรียกว่า “เป็นผู้มีอุปนิสัยแห่งการบรรพชา”

 

               บุคคลชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง  อิทธิพลความต้องการทางเพศจะไม่ยิ่งใหญ่ท่วมทับหัวใจจนถึงกับเก็บกดแทบขาดใจ เหมือนอย่างที่ใครบางคนเข้าใจ  แต่เขาจะมีความสุขจากความสงบทางจิตใจหรือเพลิดเพลินกับการทำงาน ทำหน้าที่ไปแต่ละวันโดยไม่เดือดร้อน

 

             หากเป็นหญิง ก็จะไม่ดิ้นรนอยากมีคู่ครองมีคนรักเหมือนคนทั่วไป เพราะมีความสุขจากความสงบในจิตใจ จนลืมใส่ใจสัญชาตญาณความต้องการทางเพศเหมือนคนทั้งหลาย นี้คืออุปนิสัยแห่งการบรรพชาที่ติดตัวมาแต่ในอดีต ที่เคยฝึกฝนเนกขัมมะบารมียิ่งกว่าคนทั่วไป

 

              สตรีที่เกิดมาในยุคนี้จะมีประเภทนี้จำนวนมาก เพียงแต่จะได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ส่งเสริมให้เจริญอริยมรรคต่อหรือไม่ ก็แล้วแต่วาสนาของแต่ละคน  หากประมาทในชีวิต การเกิดมาชาตินี้ก็เป็นโมฆะหรือตกต่ำยิ่งกว่าชาติที่แล้ว  สตรีประเภทนี้หากไปแต่งงานกับผู้ชายธรรมดาทั่วไป  ก็จะกลายเป็นคนมีกรรมที่ข่มสามี เพราะตนเองมีความคิดและสติปัญญาสูงกว่า ส่วนใหญ่จะกลายเป็นแม่หม้ายเลิกรา  เพราะรักชีวิตอิสระไม่ต้องการอยู่ใต้บังคับของใคร

 

             หากไม่พบผู้ชายที่คู่ควรและเหมาะสม สตรีประเภทนี้มักพอใจครองตัวเป็นโสดมากกว่า  เพราะเป็นอุปนิสัยในอดีตที่ติดตัวมาถึงชาตินี้นั่นเอง  หากบุรุษคนใดไปคิดร้ายหรือประทุษร้ายผู้หญิงประเภทนี้  จะประสบเคราะห์กรรมอย่างหนักและจะไม่พบรักแท้ตลอดชาตินี้

 

              เรื่องของชีวิตของมนุษย์ช่างซับซ้อนเกินกว่าจะพรรณนาเช่นนี้แหละ หากจะบรรยายก็ยากจะหาจุดจบ  ท่านจึงสอนให้อยู่กับกับปัจจุบันนั่นแหละประเสริฐที่สุด  เพราะชีวิตที่แท้จริงก็คือวันนี้ของเราทั้งหมด  อดีตหรืออนาคตยังไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด

 

              สำหรับผู้ที่มีหัวใจต้องการความรักแท้หรือความรักที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย บางคนอาจอยากให้อธิบายว่า "ความรักแท้ ความรักอันสูงส่งงดงาม หรือความรักของพระโสดาบัน" ที่มักพูดถึงอยู่เสมอนั้นเป็นอย่างไร ก็อยากบอกว่าสิ่งเหล่านี้เกินกว่าการอธิบายด้วยตัวอักษรหรือถ้อยวาจา นอกจากจะยกความสามารถนี้ให้ผู้ที่เป็นกวี  สิ่งเหล่านี้จึงจะพอถ่ายทอดออกมาได้

 

             มีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง เมื่อได้ฟังเนื้อร้องแล้ว ทำให้รู้สึกอยากนำมาถ่ายทอดเพื่ออธิบายความรักอันสูงส่งงดงามที่มักพูดอยู่เสมอนั้น  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนแต่งเพลงนี้เป็นพระโสดาบัน เพียงแต่ขอยกมาอธิบายธรรมะที่พูดถึงตลอดมานั้นให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่า  บางทีสิ่งที่หลายคนแสวงหากันอยู่นั้น อาจเป็นอย่างที่ผู้ประพันธ์เพลงนี้บรรยายไว้ก็ได้....  “ทรายกับทะเล”...

 

              “..จะเหนื่อยเพียงไหน  จะทุกข์เพียงใดโปรดรู้  ตรงนี้ยังมีฉันอยู่  พร้อมจะดูแลหัวใจ  หากมรสุม จะทำเธอเหน็บหนาวใจ  พายุจะแรงแค่ไหน  จะคอยอยู่ข้างเคียงเธอ

                 หากมีวันไหน ที่เธอไปไกลจากฉัน  ในหัวใจไม่เคยหวั่นและจะคอยเธอย้อนมา  ก็ใจมันรู้ คลื่นลมจะคอยพัดพา  คอยซัดทะเลเข้าหาหาดทรายแห่งนี้ดังเดิม

                คือผืนทรายที่โอบทะเลไว้  จะวันใดมั่นคงเหมือนดังที่เป็น  อยู่เคียงข้างเธอใจไม่ไหวเอน  และยังคงชัดเจนอย่างนั้น

               หาดทรายยังสวยรายล้อมทะเลด้วยรัก  คงไว้ด้วยใจแน่นหนัก  ไม่หวั่นยามพายุผ่าน  จะมีเพียงฉันและเธอตราบนานเท่านาน  มีรักในใจผสาน  ดั่งทรายอยู่คู่ทะเล..”

 

 

              ความรู้สึกเช่นนี้หากมีอยู่ในดวงใจของใคร  ดวงใจดวงนั้นจะเต็มเปี่ยมและมั่นคงตลอดเวลา  ใจของผู้นั้นจะมีศีลอย่างบริบูรณ์ในขณะนั้น  สติธรรมชาติจะเกิดขึ้นได้ง่าย  สมาธิพุทธที่มีลักษณะ รู้ ตื่น เบิกบาน จะเกิดขึ้นเองในดวงจิต โดยไม่ต้องนั่งขัดบัลลังก์ทำสมาธิแต่อย่างใด  นี้คือความรักอันงดงามและยิ่งใหญ่ที่พยายามถ่ายทอดแก่ทุกคนเสมอมา

 

            ความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวและพร้อมที่จะเป็นผู้ให้ โดยไร้เงื่อนไขโดยแท้จึงจะพูดออกมาได้ว่า “จะเหนื่อยเพียงไหน  จะทุกข์เพียงใดโปรดรู้  ตรงนี้ยังมีฉันอยู่ พร้อมจะดูแลหัวใจ  หากมรสุมจะทำเธอเหน็บหนาวใจ  พายุจะแรงแค่ไหน  จะคอยอยู่ข้างเคียงเธอ”

 

             ผู้ชายทุกคนไม่ว่าจะเจ้าชู้ผ่านสตรีมาร้อยคน ที่เขาแสวงหาความรักจากผู้หญิง แท้จริง เขาก็ต้องการผู้หญิงเพียงคนเดียวทั้งชีวิตของเขา ที่จะมีหัวใจเช่นนี้มอบให้เขา  แต่ก็น้อยคนนักจะสมหวังเช่นนี้   ผู้หญิงทุกคนก็ต้องการได้รับความรักเช่นนี้จากเทพบุตรของเธอเช่นกัน

 

             สตรีคนใดที่หัวใจของเธอหนักแน่นถึงกับว่า “..หากมีวันไหนที่เธอไปไกลจากฉัน ในหัวใจไม่เคยหวั่นและจะคอยเธอย้อนมา  ก็ใจมันรู้คลื่นลมจะคอยพัดพา  คอยซัดทะเลเข้าหาหาดทรายแห่งนี้ดังเดิม” หัวใจของสตรีผู้นั้นจะมีอานุภาพใกล้เคียงความรักของพระโสดาบันแล้ว หัวใจเช่นนี้จะพิชิตความรักได้ตลอดกาล  จะไม่มีใครสามารถแย่งชิงความรักกับหัวใจนี้ได้

 

             ความไว้วางใจในตัวเองถึงขั้นที่ว่า “ก็ใจมันรู้..คลื่นลมจะคอยพัดพา คอยซัดทะเลเข้าหาหาดทรายแห่งนี้ดังเดิม” นั่นคือ สมาธิอันมั่นคงและดวงจิตที่แจ่มใสด้วยปัญญา จนถึงขั้นไม่หวั่นไหวต่อการไปหรือการมาของสิ่งใด  นี้คือการมีสติคุ้มครองใจที่รู้ ตื่น เบิกบาน

 

            ความรักของพระโสดาบัน จะต่างกับความรักอมตะของปุถุชนในนวนิยายหรือชีวิตจริง ก็ตรงที่ความรักแบบอมตะของปุถุชนนั้น จะแฝงด้วยความเศร้าสร้อยและหดหู่ไร้พลังสร้างสรรค์ใดๆ  แต่ความรักของพระโสดาบันจะเต็มไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งมีความรักยิ่งทุ่มเทหัวใจให้พระรัตนตรัยหรือศาสนาเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้คนให้ยิ่งขึ้นกว่าคนทั่วไป  ความรักของท่านจึงเป็นความรักที่แจ่มใสและมีพลังสร้างสรรค์ให้โลกใบนี้สวยสดงดงาม ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลกัน

 

                ความไว้วางใจในความรักของพระโสดาบัน ไม่ได้เกิดจากการบังคับหรือเรียกร้องให้คนที่ตนรักสร้างความไว้วางใจ  แต่เกิดจาก “ความไว้วางใจต่อธรรมชาติและสรรพสิ่ง”ที่ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งพระไตรลักษณ์เสมอกัน  อานุภาพแห่งจิตเช่นนี้นั้นเกิดขึ้นจากสติในอริยมรรค

 

               ดังนั้น  ตราบใดที่หัวใจยังยึดมั่นเอาความรักเป็นสรณะแบบปุถุชน  บุคคลนั้นจะไม่สามารถไว้วางใจในหัวใจของตัวเองและคนที่ตนรักได้ จนกว่าคุณภาพของจิตจะถึงขั้นที่ไว้วางใจต่อธรรมชาติว่า “ในที่สุดคลื่นลมก็ต้องพัดพา คอยซัดทะเลเข้าหาฝั่งและหาดทรายแห่งนี้ดังเดิม ไม่มีวันหนีหายไปไหน” นี้คือหัวใจรักที่ยิ่งใหญ่ที่มีความไว้วางใจในชีวิตของตนเอง

 

               ความรักที่เกิดจากหัวใจอันสูงส่งเช่นนี้  ย่อมเป็นความรักที่มีความแจ่มใส เป็นความรักแห่งพุทธะที่รู้ ตื่น เบิกบาน  มีความงดงามและหนักแน่นมั่นคง ดังเนื้อร้องตอนสุดท้ายที่ว่า..

 

             “..หาดทรายยังสวย รายล้อมทะเลด้วยรัก คงไว้ด้วยใจแน่นหนัก  ไม่หวั่นยามพายุผ่าน จะมีเพียงฉันและเธอตราบนานเท่านาน มีรักในใจผสาน  ดั่งทรายอยู่คู่ทะเล...”

 

               ขอให้ทุกคนจงมีความรักที่มั่นคงและงดงามเช่นนี้ไว้ในดวงใจเสมอ   ไม่ขึ้นอยู่กับในชีวิตจริงว่าเราจะมีคู่หรือมีคนรักหรือไม่

 

            ความรักเช่นนี้ทุกคนสามารถมีได้  เมื่อใดที่เราน้อมใจให้อ่อนโยนอยู่เสมอเป็นเมตตาภาวนา  หลังจากนั้น สมาธิหรือความรักอันมั่นคงที่เราแสวงหา อาจมาสู่ชีวิตของเรา

 

           ความรักอันมั่นคงดุจทรายกับทะเลนี้แหละ คือลักษณะของความรักที่นำไปสู่การภาวนา เป็นความรักอันงดงามมั่นคงที่มีอยู่ในหัวใจของพระอริยบุคคลในระดับต้น

 

            รักแท้ที่มั่นคงเช่นนี้ ย่อมเป็นพื้นฐานของจิตให้มีความอบอุ่นมั่นคงและปลอดภัย จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่สมาธิอันแท้จริงต่อไป ก่อนที่ภูมิจิตของบุคคลนั้นจะถึงขั้นพระอนาคามีบุคคล อันพ้นแล้วจากความรักแบบหญิงชาย มีแต่เมตตาอันบริสุทธิ์ที่เหนือกว่าความรักทั้งปวง

 

 

                                                                    คุรุอตีศะ

                                                            ๑๒  มีนาคม  ๒๕๕๗