น้ำตาไม่ใช่ความอ่อนแอ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
น้ำตาไม่ใช่ความอ่อนแอ
เรามักตำหนิคนที่ร้องไห้ว่าเป็นคนอ่อนแอ ถ้าผู้ชายร้องไห้ก็มักถูกปรามาสว่า “ผู้ชายอะไร ร้องไห้เหมือนผู้หญิง” เมื่อประสบความคับแค้นใจ คนส่วนใหญ่จึงพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ไม่ยอมให้ไหลออกมา เพื่อจะได้ชื่อว่า “เป็นมนุษย์ที่เข้มแข็ง”กับเขาคนหนึ่งเหมือนกัน
การร้องไห้เป็นความซื่อตรงของร่างกายและหัวใจ เป็นความเที่ยงตรงและเที่ยงแท้ไม่ขึ้นกับใครจะมองว่าอ่อนแอหรือเข้มแข็ง เพียงแต่มนุษย์ไปกำหนดหมายบงการกันเองว่าเป็นความอ่อนแอ แต่สำหรับธรรมชาติที่แท้จริงนั้น การร้องไห้คือความซื่อตรงต่อความรู้สึกและหัวใจตัวเองที่สุด
หากมองด้วยสายตาที่เคารพต่อธรรมชาติ การร้องไห้อาจเป็นความเข้มแข็งและความองอาจ ที่มนุษย์ผู้มีความซื่อตรงต่อตัวเองได้แสดงออกมาอย่างไร้มายาใดๆ
เมื่อมีเรื่องราวต่างๆบีบคั้นหัวใจ ไม่จำเป็นอะไรต้องกลั้นน้ำตาไว้เพียงแค่กลัวว่าใครจะมองว่าอ่อนแอ แต่จงปล่อยให้น้ำตาให้ไหลหลั่งอย่างเต็มที่ตามที่เขาอยากไหล พร้อมกับมีสติในการร้องไห้ไปด้วย พร้อมเปิดใจกว้างออกยอมรับทุกปรากฏการณ์ที่ผ่านเข้ามา
การร้องไห้เช่นนั้นจะเป็นการเยียวยาหัวใจให้คลายจากความทุกข์ระทม ความทุกข์ที่ทับถมมาเนิ่นนาน จะเปลี่ยนเป็นพลังบำบัดรักษาให้หัวใจของเรามีพลังขึ้นมา แล้วจะมองเห็นความจริงข้อหนึ่งว่า ที่แท้แล้ว น้ำตาคือเพื่อนแท้ที่เข้มแข็งและซื่อสัตย์ที่สุดของเรา
ยอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ด้วยความลึกซึ้งและน่าประทับใจว่า
“น้ำตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แท้จริง มันคือพลังแห่งความกล้าหาญและจริงใจ มันคือผู้ส่งสาส์นแห่งความอาดูรที่เป็นมิตร”
นี้คือคำกล่าวของมหาบุรุษผู้เป็นผู้นำในการสร้างชาติ เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่นำพาผู้คนที่ระหกระเหินหนีภัยจากการตามไล่ล่าจากเกาะอังกฤษไปตั้งต้นรกรากในดินแดนแห่งใหม่ การสร้างสัญลักษณ์ของอเมริกาด้วยรูปปั้นเทพีแห่งเสรีภาพถือคบเพลิง เทพีก็คือการเชิดชูความรักความเมตตาต่อมวลมนุษยชาติอันเป็นคุณลักษณะสำคัญประจำตัวของสตรี และเทพีถือคบเพลิงอันมีเปลวสว่างไสวอยู่บนยอดโดมอันสูงสุด ก็คือ การมีเป้าหมายในการนำพามนุษยชาติไปสู่การรู้แจ้งด้วยสติปัญญานั่นเอง
บุคคลที่ต้องต่อสู้และเผชิญต่อความทุกข์ยากลำบากในการสร้างชาติ ในดินแดนแห่งใหม่ อันเป็นของอินเดียแดงมาแต่เดิมเช่นนั้น ย่อมต้องเสี่ยงชีวิตในการฝ่าฟันและต้องสูญเสียน้ำตามานักต่อนักยิ่งกว่าคนทั้งหลาย
ท่านประธานาธิบดี ยอร์จ วอชิงตัน จะต้องผ่านการร้องไห้เสียน้ำตามาหลายครั้ง กว่าจะก่อตั้งประเทศใหม่ได้สำเร็จ ท่านต้องเสียน้ำตามามาก จึงสามารถกลั่นประโยคอันลึกซึ้งกินใจและแฝงด้วยปรัชญาชีวิตกล่าวออกมาสู่ผู้คนทั้งหลายได้ เราเองไม่ได้มีความลำบากและทุกข์ยากในการสร้างชาติแบบท่านแต่อย่างใด ทำไมเราจะร้องไห้ไม่ได้ เพราะนี้คือน้ำตาที่กลั่นออกมาจากหัวใจของเราแท้ๆ และเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเราโดยตรง
เมื่ออยากร้องไห้ จงปล่อยน้ำตาให้หลั่งไหลออกมา เหมือนกับท้องฟ้าปล่อยให้สายฝนตกลงมาอย่างเต็มที่ ยามร้องไห้จงมีสติในการร้องไห้ไปด้วย แล้วน้ำตาที่หลั่งออกมา จะเป็นน้ำตาที่มีคุณค่ายิ่งกว่าแต่ก่อน น้ำตาที่กลั่นออกมาพร้อมกับการมีสติ จะเป็นน้ำทิพยโอสถในการช่วยเยียวยาและบำรุงหัวใจของเราให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ยิ่งหากมีคนที่เรารักอยู่ใกล้ๆ จงร้องไห้แล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างเต็มที่ น้ำตาที่หลั่งออกมานี้จะ “เป็นมิตรที่ส่งสาส์นแห่งความอาดูรที่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญและจริงใจ” ที่เราได้มอบให้แก่บุคคลที่เรารัก ที่จะสร้างสรรค์ความเห็นอกเห็นใจให้ยิ่งกว่าเมื่อก่อน
ผู้ชายส่วนใหญ่มักสอนกันว่า “ระวังจะเสียท่าแก่น้ำตาของผู้หญิง” แล้วมักจะดูหมิ่นน้ำตาของสตรีว่าเป็นเพียงมายา แม้พวกเขาจะพากันสั่งสอนผู้ชายด้วยกันและย้ำเตือนเพียงใดแต่การณ์กลับปรากฏว่า เมื่อพบกับน้ำตาของสตรีทีไร หัวใจของพวกเขาก็อ่อนปวกเปียกและพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ทั้งตัวผู้พร่ำสอนและผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนพอๆกัน มาทุกยุคทุกสมัย
เหตุใดทั้งผู้สอนและผู้ถูกสอนมักใจอ่อนต่อน้ำตาของสตรี และมักแพ้พ่ายอาวุธชนิดนี้ของสตรีมาโดยตลอด เหตุผลก็คือว่า น้ำตาของสตรีคืออาวุธไม้ตายที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิดที่สวรรค์ประทานมา
บุรุษที่ได้ชื่อว่าเข้มแข็งแกร่งกล้าสามารถ จะเป็นนักพรต เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นจอมอัศวิน หรือเป็นวีรบุรุษ ก็ล้วนแล้วต้องยอมวางดาบและวางอาวุธ สยบยอมต่ออาวุธที่อ่อนๆที่ไหลออกจากนัยน์ตาของเธอเพียงสองสามหยดเท่านั้น นี้จะไม่เรียกว่าอาวุธชนิดนี้ของเธอทรงอานุภาพและร้ายกาจได้อย่างไรกัน
บุรุษทั้งหลายที่ชอบดูหมิ่นน้ำตาของสตรีทั้งหลายนั้น จงพากันตรองและระวังตัวให้จงดี เพราะอำนาจของสตรีช่างใหญ่หลวงนัก แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังทรงถึงกับตรัสเตือนท่านพระอานนท์ไม่ให้ประมาทต่อสตรีเพศมาแล้ว
ดังจะเห็นได้จากเวลาเข้าพิธีมงคลสมรส ท่านเรียกผู้ชายคนนั้นว่า “เจ้าบ่าว” ซึ่งแปลว่า “ผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่” นั่นก็คือท่านบอกว่า นับแต่นี้จงเป็นทาสที่ดีของเธอตลอดไป ส่วนผู้หญิง ท่านเรียกว่า “เจ้าสาว” ซึ่งแปลว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่” ดังนั้นบุรุษผู้สำคัญตนว่าเก่งกล้าเหนือกว่าสตรีทั้งหลาย จงได้รู้จักฐานะอันแท้จริงของตัวเองเสียแต่บัดนี้ จะได้รู้ชะตากรรมของตัวเองว่าจะต้องทำตัวเป็นผู้รับใช้ที่ดีและอย่าประมาทในอาวุธคือน้ำตาของเธอเป็นอันขาด
น้ำตาไม่ใช่ความอ่อนแอ น้ำตาของลูกผู้ชายคือก้าวต่อไปแห่งความกล้าหาญและองอาจ น้ำตาของผู้หญิงคือความจริงใจและมิตรแท้ที่เธอมอบให้คนที่เธอรัก น้ำตาจึงเป็นสิ่งมีค่าที่สวรรค์ประทานไว้เป็นเพื่อนในยามยากแก่มนุษย์ทุกคน
อย่าสะกดกลั้นบังคับตัวเองเพื่อที่จะไม่ร้องไห้ แต่จงซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกอันแท้จริงของหัวใจ แล้วเราจะพบโลกใบใหม่ที่มีรอยยิ้มที่สดใสและเต็มเปี่ยมด้วยความรักหลังจากนั้น
จงร้องไห้เมื่อเกิดความรู้สึกคับแค้นใจจนอยากจะร้องไห้ การร้องไห้ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หากเกิดจากความซื่อตรงและความจริงใจของเรา
พระโพธิสัตว์ผู้สร้างบำเพ็ญบารมี ล้วนผ่านการเสียน้ำตามานักต่อนักเพื่อแลกเอาการสร้างบารมีเพื่อพระโพธิญาณ พระอรหันต์ทุกองค์ก่อนจะชำระดวงใจให้ใสสะอาดปราศจากอาสวะกิเลส ก็ต้องผ่านความทุกข์ยากและเสียน้ำตามามากก่อนจะถึงวันไม่มีน้ำตา
มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ อัจฉริยบุคคลและผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งหลาย ไม่เคยมีบุคคลใดที่ไม่เคยผ่านการร้องไห้มาแล้ว ดังตัวอย่างของท่านประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ยอร์จ วอชิงตัน ที่ได้กล่าวถ้อยคำอันประทับใจผู้คนไปทั้งโลกไว้ว่า
“น้ำตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แท้จริง มันคือพลังแห่งความกล้าหาญและจริงใจ มันคือ ผู้ส่งสาส์นแห่งความอาดูรที่เป็นมิตร”
ดังนั้น เมื่อใดที่หัวใจอยากร้องไห้ จงปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาด้วยความมีสติรู้ตัวในในขณะที่ร้องไห้ จงปราศจากการสะกดกลั้นใดๆ จงไร้ความพยายามที่จะเป็นคนเข้มแข็งหรืออ่อนแอ จงอยู่กับการร้องไห้เท่านั้นอย่างเต็มที่และเต็มเปี่ยมทั้งหัวใจ
เพราะว่า หลังจากมรสุมและพายุที่โหมกระหน่ำผ่านพ้นไป ท้องฟ้าอันสดใสคือความโชคดีและความรักความงดงามในชีวิต จะอุบัติขึ้นและงอกงามบนน้ำตาอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา
คุรุอตีศะ
๑๐ มีนาคม ๒๕๕๗