คำสอนอันเหมาะสม
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
คำสอนอันเหมาะสม
เมื่อมีการเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ผู้เข้าปฏิบัติธรรมมักจะได้รับการอบรมในขณะเข้าปฏิบัติว่า “การปฏิบัติธรรม การทำสมาธิ การปฏิบัติวิปัสสนา ย่อมได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่และเป็นบุญอันเยี่ยมยอดกว่าการทำบุญทุกประเภท ใครจะทำทาน รักษาศีลมามากสักเพียงใด ก็สู้การภาวนาไม่ได้ จะบริจาคทานกี่ล้าน จะสร้างอะไรมากมายแค่ไหน ก็สู้การทำสมาธิหรือวิปัสสนากรรมฐานไม่ได้ เพราะบุญชนิดนี้ มีอานิสงส์มากและเป็นยอดกว่าการทำบุญทั้งปวง”
ผู้เข้าปฏิบัติธรรมทั้งในแบบเข้าคอร์สตามโครงการปฏิบัติธรรมของหน่วยงาน ทั้งในแบบไปปฏิบัติตามสำนักต่างๆอันเป็นส่วนตัว ก็จะเกิดความภาคภูมิใจว่าตนเองได้ทำในสิ่งที่ประเสริฐเยี่ยมยอด “เหนือกว่าคนอื่น” เราได้ทำบุญขั้นสุดยอดที่ชาวบ้านทั่วไปที่ทำทาน รักษาศีลอยู่ตามวัดทั้งหลายไม่สามารถทำแบบเราได้
แล้วก็เอาแต่พากันนั่งสมาธิ พร้อมกับนึกดูหมิ่นคนที่เขาใจบุญชอบบริจาคทานหรือทำกิจกรรมเกื้อกูลพระศาสนาในด้านต่างๆว่า เป็นคนโง่เขลา มัวแต่ทำในสิ่งที่ได้กุศลน้อยและไร้สาระ สู้เราไม่ได้ที่รู้จักการภาวนา สุดท้ายก็เกิดอัตตาความถือตัวแล้วดูหมิ่นการสร้างทานบารมี เพราะสติเกิดไม่ทันว่าอกุศลจิตได้เกิดขึ้นแล้ว อย่างนี้ก็มีมาก
ต่อมาสมาธิที่เคยได้สมัยก่อนก็ไม่ได้ จึงเกิดความลังเลสงสัยตามมา จิตใจก็ขาดความเชื่อมั่น ซบเซาเหงาหงอย กลายเป็นคนเฉื่อยชา และกลายเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง บางคนจิตใจตกต่ำถึงขั้นกลายเป็นลบหลู่ดูหมิ่นการปฏิบัติธรรมในภายหลังก็มี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ “ดูหมิ่นการสร้างทานบารมี” ว่าเป็นของต่ำ อันส่งผลให้จิตใจของตัวเองตกต่ำลงไปด้วย
อกุศลจิตอันเกิดจากการดูหมิ่นคนที่เขาบำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี ในขณะที่ตัวเองไม่มีสติรู้ทันจิตของตัวเองว่า แท้ที่จริงแล้ว จิตในขณะนั้นถูกมัจฉริยะ ความตระหนี่ และอิสสา ความริษยา ที่ตัวเองไม่มีศรัทธาเพียงพอที่จะสามารถบริจาคเช่นกับเขา ได้ครอบงำดวงจิต การไม่ได้เจริญสติเป็นปกติ แทนที่จะตั้งจิตอนุโมทนาเป็นกุศลร่วมกับเขา จึงกลายเป็นอกุศลจิตไป
เมื่อจิตที่ดูหมิ่นทานบารมี ศีลบารมีเกิดขึ้นในจิตบ่อยๆ จึงกลายเป็นสิ่งบั่นทอนบารมีของตัวเองที่เคยมีอย่างเต็มเปี่ยมสมัยกลับจากการปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ความสงบของจิตใจจึงเสื่อมหายไป นิวรณ์ทั้งห้าจึงเข้ามาท่วมทับหัวใจแทน
จะนั่งสมาธิ เดินจงกรมแค่ไหน ความสงบและความสบายใจก็ไม่เกิดขึ้นเหมือนเมื่อก่อน จะไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้สูญเสียความมั่นใจที่ตัวเองเคยมี นี้คือปัญหาชีวิตของนักปฏิบัติธรรมอีกจำนวนมาก ที่แปลกประหลาดเกินกว่าผู้ที่อกหักหรือมีปัญหาความรักทั้งหลายจะเข้าใจ จึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องอธิบายเรื่องนี้ไว้พอเป็นสังเขป
โดยหลักการดั้งเดิมนั้น การที่ครูบาอาจารย์จะสอนใครว่า “การทำสมาธิ วิปัสสนา หรือการปฏิบัติ สูงส่งหรือเป็นเยี่ยมกว่าการให้ทาน รักษาศีล ส่วนการภาวนาเป็นบุญอันสูงสุด”ดังกล่าว ย่อมหมายถึงบุคคลที่ทำทาน รักษาศีลมาอย่างต่อเนื่อง จนทานบารมี ศีลบารมีของบุคคลนั้นมีพื้นฐานอันมั่นคง จนถึงขั้นที่จะก้าวสู่การบำเพ็ญภาวนาต่อไป ท่านจึงสอนว่า บุญอันเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล สู้บุญจากการบำเพ็ญสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนาไม่ได้ เพื่อให้บุคคลนั้นก้าวขึ้นสู่การดำเนินจิตสู่เส้นทางแห่งอริยะต่อไป ท่านจึงสอนออกไปเช่นนั้น
โดยมาตรฐานแล้ว การที่ใครจะมีศรัทธาถึงขั้นต้องการบำเพ็ญสมาธิวิปัสสนา ท่านย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นได้บำเพ็ญทาน ศีลเป็นปกติในชีวิตมาอย่างดีแล้ว สติที่เป็นไปในทาน สติที่เป็นไปในศีล จึงได้งอกงามและพัฒนามาจนถึงขั้นต้องการบำเพ็ญภาวนา
เปรียบเหมือนการศึกษาในทางโลก การที่บุคคลใดยื่นใบสมัครขอเรียนต่อมหาวิทยาลัย ก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นคงต้องสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ มาแล้ว ดังนั้น การที่ท่านบอกว่า “ต่อไปนี้ ใครจะทำตัวอิสระอย่างไรก็ตามใจ แต่ต้องเข้าฟังเล็คเชอร์ตามที่กำหนดไว้แล้วค้นคว้าในห้องสมุดก็พอ” ย่อมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เรียนในระดับอุดมศึกษา แต่วิธีการเช่นนั้น ย่อมนำมาใช้ไม่ได้กับการเรียนในระดับประถมหรือมัธยม หากปล่อยให้นักเรียนประถมหรือมัธยมเรียนแบบอิสระแบบนั้น จะไม่มีใครเรียนจบหลักสูตรสักคน ยกเว้นแต่มนุษย์ผู้เป็นอัจฉริยบุคคลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
การที่ครูบาอาจารย์สอนว่า “การภาวนาคือบุญอันสูงสุด” ย่อมหมายถึงการพูดกับบุคคลที่รู้จักการบำเพ็ญทาน รักษาศีลมาอย่างดีเป็นพื้นฐานของชีวิตมาแล้ว เหมือนกับการใช้วิธีบรรยายในมหาวิทยาลัยโดยไม่มีการจ้ำจี้จ้ำไชอะไร ย่อมใช้ได้กับบุคคลที่ผ่านการเคี่ยวกรำในการเรียนมาอย่างหนักสมัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยม เพราะทุกคนผ่านการอบรมและถูกควบคุมบังคับให้อยู่ในกรอบในระเบียบวินัยมายาวนาน การเรียนอย่างมีอิสระจึงเหมาะสมสำหรับเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายคนคงได้พบคำตอบขึ้นมาบ้างแล้วว่า ทำไมบางคนภาวนามาตั้งนานแล้วก็ไม่ได้ผล บางทีฟังวิธีการเจริญสติมาพร้อมกัน บางคนก็แจ่มแจ้ง บางคนก็มืดมนเต็มไปด้วยความลังเลสงสัย บางคนเหมือนไม่ได้ภาวนาอะไร แต่กลับดูเหมือนเข้าใจในชีวิต
คำตอบก็คือ เราฟังคำบรรยายอันเป็นความรู้ในระดับมหาวิทยาลัย แต่บางคนอาจมีพื้นฐานเพียงแค่มัธยมต้น บางคนอาจมีพื้นฐานในระดับประถม บางคนอาจเพิ่งเริ่มเข้าอนุบาลปีแรก ส่วนบางคนนั้นเขาสอบได้ที่หนึ่งมาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แต่ทุกคนก็มานั่งเรียนหรือฟังคำบรรยายจากครูคนเดียวกัน ชั่วโมงเดียวกัน เพราะเรื่องธรรมะนั้น ไม่สามารถแบ่งชั้นเรียนแบบโรงเรียนในทางโลกได้ เพราะเป็นเรื่องของดวงจิตที่อยู่ภายในของแต่ละคนเป็นสำคัญ ใครจะเข้าใจแจ่มแจ้งเวลาใด ตอนไหนนั้น ย่อมเป็นเรื่องปัจจัตตังเฉพาะตัวบุคคล
ดังนั้น คำสอนอันเหมาะสมสำหรับแต่ละคนจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ใช่เคยไปเข้าคอร์สปฏิบัติเพียงครั้งสองครั้ง หรือไปตามวัดป่า สำนักปฏิบัติ เพียงไม่กี่ครั้ง ก็สรุปอย่างเข้าข้างตัวเองว่า “เราได้ทำในสิ่งที่สุดยอดกว่าคนอื่น” แล้ว คนอื่นสู้เราไม่ได้ การให้ทานช่างต่ำต้อยนัก
ต้องตรวจสอบตัวเองต่อไปว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นเด็ก ตัวเรานี้ได้สร้างทานบารมีมาจนกลายเป็นอุปนิสัยหรือไม่ เรามีใจน้อมไปในทางมีหิริโอตตัปปะกลัวบาปกลัวกรรมอยู่ในจิตสำนึกเพียงใด เรารู้สึกเห็นความสำคัญของการเป็นผู้มีศีลมาก่อนไหม หากเราเป็นผู้ยินดีในการให้ทาน รักษาศีล มีสัมมาทิฐิประจำในหัวใจ คำสอนว่า “การภาวนาคือบุญอันสูงสุด” ย่อมคือคำสอนอันเหมาะสมของเรา เพื่อให้เราก้าวสู่อริยมรรคต่อไป
หากบุคคลใดตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่เรียนหนังสือจนกระทั่งจบปริญญา ไม่เคยสนใจว่าศาสนาหรือบุญกุศลจะมีประโยชน์อะไร การให้ทาน รักษาศีล การภาวนาเป็นเรื่องของคนงมงาย แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามใจด้วยความย่ามใจว่า ชีวิตไม่ต้องมีศีลธรรมอะไรก็สามารถมีความสุขได้ บุญกุศลใดๆขอเอาไว้ทีหลัง แต่ตอนนี้ขอหาเงินให้ได้มากๆไว้ก่อน ต่อมาได้ทำงานรับราชการหรือองค์กร บริษัทต่างๆ แล้วเกิดปัญหาชีวิตหาทางออกไม่ได้ จึงได้ไปปฏิบัติธรรมตามโครงการหรือตามสำนักปฏิบัติ หากได้ยินคำพูดเช่นนี้ ขอเตือนว่านั่นไม่ใช่คำสอนอันเหมาะสมสำหรับท่าน ไม่ควรนำไปกล่าวอ้างเพื่อข่มผู้ที่เขาบำเพ็ญทานบารมี จะมีกรรม
บุคคลที่เคยใช้ชีวิตมาแบบนั้น ต้องหันมาซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนของตัวเองให้มั่นคงแข็งแรงเสียก่อน จึงค่อยมุ่งหน้าบำเพ็ญภาวนาต่อไป สติ สมาธิ วิปัสสนา หรือปัญญา จึงจะบังเกิดขึ้นได้จริงในหัวใจของเรา
บุคคลใดในชีวิตยังไม่เคยเสียสละทุ่มเทสิ่งใดให้ใคร จนน้ำตาต้องไหลออกมาข้างนอก ขอบอกว่า ภาวนาไปนานเพียงใด การภาวนานั้นก็ไม่สำเร็จ เหมือนคนไม่เคยรู้กิริยาสามช่อง แล้วไปอ่านตำราภาษาอังกฤษ พยายามอ่านเพียงใดก็ย่อมอ่านไม่ออก จนกว่าจะไปศึกษาภาษาอังกฤษพื้นฐานให้เข้าใจจึงจะเรียนต่อไปได้ การภาวนาก็ต้องมีทาน ศีล คอยรองรับ
คนที่เคยประมาทสนุกสนานไม่เคยสนใจในทาน ศีล ภาวนา มาตลอดชีวิต จะให้มารู้จักการภาวนาหรือรู้จักตัวสติธรรมชาติในทันทีที่ฟังธรรมหรือปฏิบัติธรรม ย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้ เว้นเสียแต่ผู้นั้นเคยฟังธรรมหรือเคยเจริญสติมาแล้วในอดีตชาติ ได้มีโอกาสฟังธรรมและบำเพ็ญภาวนาต่อมรรคผลของตนหรือบุคคลที่เกิดมาทำหน้าที่ในทางศาสนาโดยเฉพาะ
บ้านเรือนหรืออาคารที่ไม่แข็งแรง บุคคลยังต้องซ่อมแซมหรือเสริมความมั่นคง ฉันใด การบำเพ็ญภาวนาหรือการเจริญสติที่บางครั้งติดขัดหรือไม่อาจก้าวหน้าได้ เราต้องหมั่นบำเพ็ญทาน รักษาศีล และหมั่นสร้างกุศลอย่างอื่นประกอบด้วย ทานจะทำให้สติของเราดีขึ้น ศีลจะทำให้สติของเราเข้มแข็งขึ้น ทานและศีลจะเป็นคานคอนกรีตอย่างดีในการเป็นพื้นฐานให้เราก้าวหน้าในการภาวนาต่อไป
ผู้ที่มีใจตระหนี่ ไม่ชอบให้อะไรใครง่ายๆ ไม่ค่อยเกิดความคิดบริจาคสิ่งใด ต้องหัดให้ทานมากๆ แล้วความสบายใจจะเกิดขึ้น ตอนแรกอาจอึดอัดและต้องฝืนใจ เพราะความตระหนี่ที่เคยครอบงำจิตใจมานานได้รับการกระทบกระเทือน พอบริจาคบ่อยๆเนืองๆ จิตจะค่อยๆเกิดความคุ้นเคยกับการบริจาค หัวใจที่เต็มไปด้วยความคับแค้น จะเริ่มเบิกบานและแผ่กว้างขึ้น เปลี่ยนจากจิตที่เต็มไปด้วยความซบเซาขาดความสุขเพราะความตระหนี่ จะเริ่มเปลี่ยนเป็นจิตที่มีพลังและมีความสดชื่นตามมา พระโสดาบันบุคคลคือบุคคลที่ให้ทานได้อย่างไม่เบื่อไม่หน่าย
คนที่มีใจตระหนี่จะไม่รู้จักความรู้สึกที่อิ่มเอิบ มีความสุขและมีพลังตัวนี้ แต่ผู้ที่ชอบให้ ชอบทำบุญ ชอบบริจาค จะสัมผัสกับมิติแห่งความสุขนี้ จิตจะมีความสดใส เต็มเปี่ยมด้วยพลัง
พูดให้เป็นหลักทางวิทยาศาสตร์สักหน่อยก็คือ จิตที่พยายามเอาทรัพย์สินเงินทองเข้ามาสู่ตัวเองและจิตที่ตระหนี่ เป็นการใช้พลังสมองฝั่งซ้าย จิตใจจึงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กังวลทั้งตอนยังไม่ได้มา กังวลทั้งตอนที่ได้มาแล้ว คนรวยส่วนใหญ่จึงจิตใจอ่อนแอและขี้กลัว
ส่วนการทำบุญบริจาคออกไป เป็นการพัฒนาสมองฝั่งขวาให้เติบโตขึ้น ความสงบสุขทางจิตใจ เป็นเรื่องของสมองฝั่งขวา คนที่ทำบุญมากด้วยจิตอันเป็นกุศล จึงเป็นคนมีจิตใจอาจหาญและไม่กลัวอุปสรรคปัญหาในชีวิต พระอรหันต์และพระอริยบุคคลจึงมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่ามหาเศรษฐีและผู้มีอำนาจวาสนาทางโลก เพราะเข้าถึงศักยภาพของจักรวาลมากกว่า
การพยายามเอาอะไรเข้ามาสู่ตัว ย่อมทำให้หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แต่การมีชีวิตเป็นผู้ให้และมีชีวิตที่สละออกไป กลับเป็นชีวิตที่ไม่รู้สึกขาดแคลนสิ่งใด หัวใจเช่นนั้น ย่อมมีแต่ความสงบสุขและไม่มีความหวาดกลัวอะไรอีก จิตของของพระอริยะกับจิตปุถุชนจึงต่างกัน
การสืบทอดพระศาสนา ก็คือการสืบทอดความจริงอันประเสริฐนี้ไว้ให้เป็นมรดกของเวไนยสัตว์และชาวโลกนั่นเอง การประกาศศาสนา ก็คือการประกาศข่าวอันประเสริฐนี้
จงพิจารณาคัดเลือกเอาคำสอนอันเหมาะสมกับชีวิตของเรา หากเราให้ทานมามากจนเบื่อหน่าย จงหันมาบำเพ็ญภาวนาเจริญสติ หากเราเคยเกเรใช้ชีวิตนอกกรอบมามากแล้ว จงหันมารักษาศีลให้เคร่งครัดมากขึ้น หากตลอดมาในชีวิตมีแต่หาเงินและรู้ตัวว่าหัวใจมีแต่ความตระหรี่ จงหมั่นให้ทานหมั่นบริจาคให้มาก จนกระทั่งหัวใจของเราเคยชินกับการทำบุญ หลังจากนั้นเราจะรู้ด้วยตัวเองว่า ความสุขได้เกิดขึ้นในชีวิต แสงสว่างได้ทอแสงขึ้นมาแล้ว
หากแต่ละคนทำได้เช่นนี้ พระศาสนาจะกลายเป็นที่พึ่งอันแท้จริงของเรา ไม่ใช่ทำบุญแค่ตามประเพณี หรือมีพระพุทธศาสนาเพียงแค่วัฒนธรรม แต่กลายเป็นหัวใจที่เป็นบุญและถึงบุญ โดยไม่ต้องเชื่อใครหรือต้องให้ใครมาชักชวนให้ทำบุญอีกแล้ว นี้คือบุญของพระพุทธเจ้า
คุรุอตีศะ
๗ มีนาคม ๒๕๕๗