จุดยืนของชีวิต
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
จุดยืนของชีวิต
ชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ที่ต่างมีลีลาชีวิตแตกต่างกัน มีประสบการณ์ชีวิตและได้พบกับผู้คนตลอดทั้งเรื่องราวต่างๆไม่เหมือนกัน ก็เพราะมีสิ่งหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังอย่างสำคัญคือ การที่แต่ละคนมี “จุดยืนของชีวิต”แตกต่างกัน
หากบุคคลนั้นมีจุดยืนของชีวิตอยู่ที่ความร่ำรวย ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาก็มักจะได้พบเจอแต่คนที่แสวงหาความร่ำรวยและเต็มไปด้วยความแก่งแย่ง ชิงไหวชิงพริบ เอาเงินเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าคุณธรรมอื่นใดเช่นเดียวกับตัวเขา
เขาจะไม่มีความเชื่อว่า โลกนี้จะยังมีผู้ไม่มีความต้องการความร่ำรวยหรือเงินทอง ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่เงินทองไม่สามารถซื้อใจเขาได้ คนที่ชอบความร่ำรวย มักจะได้อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มีแต่คนใช้ความโลภนำหน้า ได้พบแต่คนที่เอาเงินตราเป็นใหญ่ ไม่ไว้ใจใครนอกจากเงินเท่านั้น จนกว่าเขาจะได้ฟังธรรมและเข้าใจว่าแท้จริงแล้วชีวิตนี้ยังมีสิ่งที่มีค่ากว่าเงินทองหรือความร่ำรวยอีกมากมาย จิตใจของเขาจึงจะสูงขึ้นและมีจุดยืนของชีวิตเปลี่ยนไป
หากเบื้องลึกในจิตใจของใครคนหนึ่ง เขาต้องการอยากจะมีอำนาจเหนือใคร อันเป็นผลมาจากความมีปมด้อยในจิตใจ หรือชีวิตมีปมด้อยอะไรบางอย่างมาตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก ความขาดแคลนที่ฝังลึกในจิตใจ จะทำให้ผู้นั้นอยากอยู่เหนือคนอื่น อยากมีอำนาจหรือมีอิทธิพลเหนือคนอื่นอยู่ร่ำไป
คนที่ขาดความรักความอบอุ่นหรือคนกำพร้า จะมีพลังแห่งความทะเยอทะยานสูงมาก ในการพยายามถีบตัวเองให้เหนือกว่าคนอื่น อันเป็นผลมาจากความขาดแคลนทางจิตใจ ซึ่งไม่ใช่อุดมการณ์ แต่เกิดจากความทะยอทะยานที่ต้องการอยู่เหนือคนอื่นเพื่อชดเชยปมด้อยอันมีอยู่ในจิตใจ จนกว่าบุคคลนั้นจะได้ฟังธรรมจนเกิดสติปัญญารู้ทันจิตใจตัวเองว่าที่ตนเองดิ้นรนตลอดมานั้น แท้จริงแล้วต้องการสิ่งมาชดเชยปมด้อยของตัวเอง จึงจะเปลี่ยนแปลงจุดยืนของชีวิตอันเหนื่อยยากนั้นได้ แล้วยอมรับความจริง จึงจะพบความสุขในชีวิตในภายหลัง
สตรีบางคนกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก พ่อไปสงครามเวียดนามไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่ เมื่อกลับมาแล้วหัวใจของทหารผ่านศึกที่บอบช้ำจากสงครามและรอดตายมาได้ ก็ต้องการผู้หญิงสักคนคอยปลอบใจและช่วยเลี้ยงลูกน้อย จึงต้องมีผู้หญิงคนใหม่เพื่อมาช่วยเลี้ยงดูเด็กกำพร้าแม่ตั้งแต่ตัวเองยังไม่กลับจากสงคราม
การขาดแคลนความรักเพราะกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็ก และความรักจากพ่อก็ไม่ได้รับอย่างที่หวังเพราะไปมีแม่ใหม่ พ่อและลูกจะติดต่อกันก็ต้องผ่านแม่เลี้ยงผู้เข้มงวดเสมอ ไม่เคยได้พูดคุยปรับทุกข์กัน จิตใจที่แสวงหาแต่คนเข้าใจเช่นนั้น แม้จะออกบวชไปอยู่ในวัดแล้ว ปมด้อยในจิตใจเช่นนั้นก็ยังติดตามหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักบวช แต่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ทะเลาะกับคนอื่นทุกที่ เพราะส่วนลึกในจิตใจ อดทนไม่ได้ต่อภาพที่เห็นคนอื่นมีความสุขความอบอุ่น ทนไม่ไหวต่อการเห็นภาพที่คนอื่นมีความรัก มีความปรองดอง พยายามจะมีหลักแหล่งเป็นส่วนตัวเป็นเอกเทศ เพราะไม่ต้องการมีใครมามีอำนาจเหนือกว่า ทั้งนี้ก็เพราะไม่เข้าใจตัวเองตามความเป็นจริงว่า แท้จริงแล้วตนเองไม่ได้ปรารถนาจะมีชีวิตแบบนักบวชผู้ปล่อยวางแม้แต่น้อย เพียงแต่อยากหาทางออกจากบ้าน ไม่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของแม่เลี้ยงซึ่งตัวเองรู้สึกว่าถูกกดขี่เท่านั้น
จุดยืนของชีวิตของเธอที่แท้นั้น คือต้องการออกจากครอบครัวที่มีแม่เลี้ยงและได้อยู่อย่างเป็นเอกเทศ แต่เธอไม่เข้าใจตัวเอง กลับไปใช้ชีวิตนักบวช อันเป็นชีวิตที่ต้องมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าชาวโลกเท่านั้นจึงจะมีความสุขได้ รูปแบบภายนอกดูยิ่งใหญ่ที่ผู้คนต้องกราบไหว้ แต่หัวใจข้างในกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดคับแคบ เพียงต้องการที่ดินผืนเล็กๆสักผืนหนึ่งพร้อมกับบ้านหนึ่งหลังอยู่อย่างเอกเทศเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงมีแต่การทะเลาะกับคนอื่นเรื่อยไป เพราะหัวใจที่แท้จริงไม่ได้ต้องการบวช จุดยืนของชีวิตที่แท้จริงของเธอเป็นคนละอย่างกัน
ในทางกลับกัน สตรีบางคนใช้ชีวิตในทางโลก ชีวิตจิตใจ ตลอดทั้งทรัพย์สินเงินทองแม้จะมีเข้ามาในชีวิตมากมาย ก็ไม่ค่อยใส่ใจอะไรนักเพื่อความสุขของตัวเอง มีแต่ทุ่มเทช่วยเหลือคนอื่นและญาติพี่น้อง รูปร่างหน้าตาก็สวยงามเป็นที่หมายปองของแมลงภู่ทั้งหลาย แต่เธอก็ไม่หวั่นไหวหรือตกลงปลงใจที่จะให้แมลงภู่ตัวใดสมใจได้เชยชม ในชีวิตก็ชอบแต่ช่วยเหลือผู้อื่นเรื่อยไป ในขณะที่ตัวเองก็ไม่เคยสนใจเก็บเงินฝากไว้ในธนาคาร บางทีที่ฝากไว้ก็ถอนออกมาให้คนอื่นยืมไปใช้จนหมด เขาไม่ให้ดอกเบี้ยก็ไม่กล้าว่ากล่าวอะไร
จนวันเวลาและวัยของตนเริ่มผ่านไป ก็ชักเริ่มสงสัยขึ้นมาว่า “อันตัวข้าพเจ้านี้เกิดมาทำไม? เหตุใดอยู่ไปๆ ก็ยิ่งเริ่มมองเห็นความไม่เป็นสาระของชีวิตมากขึ้นทุกที แล้วเราอยู่ทุกวันนี้ เราอยู่ไปทำไมหนอ? จะไปเป็นแม่บ้านให้แมลงภู่ตัวใดที่มาบินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าจะทำไม่ได้และคงไร้ความสุข เพราะเรารักความอิสระเกินกว่าจะไปเป็นนกน้อยในกรงทองแบบนั้น โอ้ สวรรค์ พอจะตอบได้หรือไม่หนอ ว่าอันตัวข้าพเจ้านี้เกิดมาทำไม?”
หากสวรรค์ท่านไม่มัวเพลิดเพลินสนุกสนานจนลืมมนุษยโลกจนเกินไป พอท่านได้ยินเสียงเล็ดลอดขึ้นไปแล้วไซร้ จึงต้องส่องทิพยเนตรลงไปพร้อมกับมีเสียงตอบลงมาว่า “เรานึกว่า เจ้าลงมาเกิดแล้ว จะรีบเร่งบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ที่ไหนได้ เจ้ากลับเอาเวลาไปเดินเฉิดฉาย ลอยหน้าลอยตาอวดผู้ชายและผู้คนทั้งหลายอยู่ได้ จนอายุใกล้จะเที่ยงวันแล้วตามเวลาของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดังนั้น จงรีบเร่งกระทำบำเพ็ญกุศลคุณความดีเสียแต่ตอนนี้ อย่ามัวแต่ประมาทอีกเลย เจ้าจงรีบทำตามจุดยืนของชีวิตเสียแต่วันนี้ ก่อนที่จะหมดเวลา”
นี้คือตัวอย่างแห่งความสับสนของชีวิตบนโลกมนุษย์ คนจำนวนมากไปบวชทั้งที่หัวใจของตัวเองต้องการเป็นฆราวาส ต้องการได้ลาภ ต้องการบริวารแวดล้อม ต้องการได้ยศตำแหน่ง ต้องการความร่ำรวยความมีหน้ามีตาในสังคม ซึ่งกว่าจะรู้บางทีก็กลับตัวไม่ได้แล้ว
ส่วนบางคนทั้งๆที่มีบุญบารมีในทางธรรม และสามารถเป็นกำลังในการค้ำจุนและจรรโลงพระศาสนาได้อย่างดี แต่กลับไม่มีผู้ชักนำให้ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ได้ จึงต้องใช้ชีวิตแบบฆราวาสเรื่อยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองไม่ได้ต้องการอำนาจวาสนาหรือเงินทองอะไรเท่าไหร่นัก แต่ต้องการสติปัญญาและความสงบสุขในจิตใจมากกว่า จนกว่าจะได้ฟังธรรมของพระอริยเจ้าจนเกิดสติและได้ปัญญา จึงจะค้นพบตนเองได้อย่างแท้จริงว่า การใช้ชีวิตในทางศาสนาคือเป้าหมายของชีวิตอันประเสริฐที่สุด
ขอให้ทุกคนจงสามารถค้นพบจุดยืนของชีวิตตนเอง แล้วสามารถก้าวเดินไปตามเส้นทางนั้นด้วยจุดยืนอันมั่นคง
จุดยืนของชีวิตอันแท้จริง ย่อมเป็นทั้งการก้าวเดินและเป็นจุดหมายอยู่ในตัวพร้อมเสร็จสรรพ
จุดยืนของชีวิตที่เราค้นพบแล้ว ย่อมเป็นทั้งปัจจุบันและอนาคตที่มีความเต็มเปี่ยมและบริบูรณ์พร้อม หลังจากนั้นชีวิตนี้จะไม่การขาดแคลนสิ่งใดอีก เพราะชีวิตของเราได้มีจุดยืนของตัวเองแล้ว
คุรุอตีศะ
๕ มีนาคม ๒๕๕๗