น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
เหตุการณ์บ้านเมืองจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผู้คนจะระส่ำระสาย จนกว่าจะพ้นวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗ เหตุการณ์ความวุ่นวายจึงจะสงบลง แต่จะเป็นการสงบที่ไม่มีอะไรกลับคืนมาเหมือนเดิมอีกแล้ว
บ้านเมืองจะเข้าสู่ยุคใหม่อันเป็นกลียุคอย่างแท้จริง ธุรกิจการค้าการลงทุนที่เคยรุ่งเรืองสดใส จะพบแต่ความหมองไหม้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การท่องเที่ยวจะหายไปจนแทบไม่มีกระทรวง ผู้ถืออาวุธอยู่ในมือจะเป็นใหญ่ ข้าราชการทั่วไปจะถูกลดเกียรติและศักดิ์ศรี คนที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีจะถูกเบียดเบียน ชาวบ้านที่ไม่คอยมีอะไรจะกินมาก่อนจะกลายเป็นโจรเพื่อความอยู่รอด
ชาวนาไม่มีน้ำจะทำนา พอตกกล้าได้ที่เริ่มดำนา น้ำก็จะหลากมาทำให้เกิดความเสียหาย แม่ค้าในตลาดแทบจะไม่มีผักมาขาย คนที่พอจะประคองตนอยู่ได้ไม่ถึงขั้นเดือดร้อนจนเกินไป คือผู้ที่มั่นคงในกุศลคุณความดีและรักษาศีลบำเพ็ญภาวนา
ชาวนา ชาวไร่ คนยากไร้ คนพลัดถิ่นเกิดไปขายแรงงานในเมืองใหญ่ ที่ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบที่ตนยอมจำนนต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครองที่ตนไม่เคยรู้มาช้านาน จะพากันตื่นขึ้นมาทวงสิทธิขั้นพื้นฐานเรียกร้องความเสมอภาค หลังจากที่เริ่มรู้ว่าตนถูกเอาเปรียบมานาน ความร้าวฉานในสังคมจะเกิดขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คำพังเพยโบราณที่กล่าวไว้ว่า "กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย" จะกลายเป็นจริง
นักการเมืองจะหมดความหมาย นักกฎหมายจะตกงาน ทหารจะมีบทบาท ตลาดสดแบบชาวบ้านจะกลับมาคึกคักแทนห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้าและอาหารจะกลายเป็นสินค้าสำคัญแทนแฟชั่นและของนอกทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้จะเริ่มเป็นไปในประเทศไทย ผู้ไม่ลุ่มหลงมัวเมาในชีวิตและความสะดวกสบายทั้งหลาย พึงตั้งสติในการเผชิญกับความเป็นจริงที่กำลังเริ่มต้น
หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคี ท่านเคยพูดกับหลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ แห่งวัดสังฆทานผู้เป็นศิษย์ของท่านว่า "ในอนาคตข้างหน้าจะมีสงครามระหว่างพระสงฆ์ด้วยกันเอง" พระสงฆ์แห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จะแตกแยกแบ่งฝ่ายไปตามอิทธิพลของการเมืองและตามอิทธิพลของผู้เป็นใหญ่ที่ตนอิงอาศัยเพื่อลาภสักการะตำแหน่งและสมณศักดิ์ จะขยายความแตกแยกไปทั่วทุกจังหวัด ท่านยังถามหลวงพ่อสนองว่า "เชื่อเราไหม? ต้องเชื่อเราสิ เราทำกรรมฐานมานาน
"
หลวงปู่สังวาลย์ ท่านบอกกับศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า "ต่อไปน้ำจะท่วมกรุงเทพฯครั้งใหญ่ วัดสังฆทานก็จะจมอยู่ใต้น้ำ" ทำให้หลวงพ่อสนองไปสร้างสาขาไว้ที่ปากช่อง ในแวดวงของครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำท่วมเมื่อปลายปี ๒๕๕๔ ที่ว่าหนักหน่วงนั้น ยังไม่ใช่ของจริง เพียงเป็นการเตือนให้ผู้มีบุญบารมีทั้งหลายได้เตรียมตัวไว้ ก่อนที่ภัยพิบัติอันแท้จริงจะมาถึง
พูดง่ายๆก็คือ เป็นเพียงความเมตตาของผู้ทรงฤทธิ์ที่พยายามต้านทานไว้เพื่อให้โอกาสแก่มนุษย์ตาดำๆ จะได้สำนึกตนให้รีบบำเพ็ญศีลเพื่อรอดพ้นจากภัยพิบัติ ผู้ทรงฤทธิ์ทั้งหลายก็มีทั้งผู้เป็นพระอริยเจ้าและผู้บำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์ ที่พยายามขจัดและบรรเทาภัยพิบัติต่างๆที่มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจรับรู้
ท่านเตือนไว้ว่า หากเกิดสงครามกลางเมืองมีผู้คนล้มตายมากเท่าปี ๒๕๕๓ เมื่อใด หลังจากนั้นจะเกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทย จะมีมวลน้ำมหาศาลท่วมเมืองหลวงจนไม่อาจกลับฟื้นคืนมาใหม่ จนต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตออกจากกรุงเทพมหานครไป ต้องสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่โดยไร้ทางเลือก นี้คือคำที่ท่านเตือนไว้ ก็สุดแล้วแต่ใครจะเชื่อหรือไม่
หากใครได้ฟังคำผญาโบราณของเมืองเวียงจันทน์ มีท่อนหนึ่งกล่าวไว้มีเนื้อความชวนให้คิดว่า "พระแก้วมรกตจะกลับคืนสู่เวียงจันทน์ หลังจากเมืองบางกอกล่ม แล้วไทยกับลาวจะกลายเป็นผืนดินเดียวกัน" แล้วชาวลาวก็เหมือนมีความเชื่อมั่นอย่างนั้นจริงๆ ที่หอพระแก้วในกรุงเวียงจันทน์จึงเว้นว่างไว้อย่างนั้น ไม่ยอมอัญเชิญพระพุทธรูปอื่นขึ้นประดิษฐานบนแท่นแทนพระแก้วมรกตมาจนบัดนี้
พวกเราทั้งหลายในยามที่บ้านเมืองเข้าสู่กลียุคที่บ้านเมืองไร้ขื่อไร้แปเช่นนี้ เราจงตั้งสติยอมรับความจริงและเชื่อฟังคำโบราณไว้บ้างก็ดี อย่างน้อยก็ได้รู้ลายแทงหรือทิศทางที่กว้างออกไปไม่ตีบตันและคับแคบจนอับจนไร้ทิศทาง
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก็สุดแล้วแต่ผู้เป็นใหญ่ที่ปกครองบ้านเมือง ท่านจะนำพาบ้านเมืองไปในทิศทางใด แต่สำหรับหัวใจของเรานี้ ต้องดำรงสติและปัญญาด้วยความหนักแน่นมั่นคงไว้ พร้อมทั้งกล้าหาญในการเผชิญต่อความจริง
"กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม" คำพังเพยนี้เริ่มแสดงผลแล้ว คนยากจน คนรากหญ้าจะตื่นขึ้นมาทวงความยุติธรรมในสังคมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เปรียบเหมือนดังกระเบื้องที่จมอยู่ใต้น้ำมาตลอด ได้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ความวุ่นวายสับสนจะเกิดขึ้นทั่วไป คนยากจนชาวนาชาวไร่ที่เคยเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ใครจะเอารัดเอาเปรียบดูถูกเหยียดหยามอย่างไรก็ทนได้ ต่อไปนี้ก็จะไม่ทนอีกต่อไป
"น้ำเต้าน้อยจะถอยจม" หมายถึง คนชั้นสูง ผู้ดี หรือชนชั้นปกครอง รวมทั้งบุคคลที่สังคมเคยให้คุณค่า ให้เกียรติ ให้ความนิยมยกย่อง ต่อไปนี้จะตกต่ำและเสื่อมสูญเกียรติยศความดีที่เคยได้รับมาตลอด เปรียบเหมือนน้ำเต้าที่ปกติจะเบาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ แต่ต้องถึงกาลจมลงอย่างไม่น่าเป็นไปได้
น้ำเต้าที่ถึงเวลาเสื่อมถอยจนกระทั่งจมลงนี้ รวมไปถึงข้าราชการและอาชีพที่มีเกียรติของสังคมทั้งหลาย ตลอดทั้งตำแหน่งและความมีสมณศักดิ์ของพระสงฆ์จะหมดความหมายไปด้วย ผู้คนทั่วไปจะไม่กราบพระเพราะยศศักดิ์ตำแหน่งกันอีกแล้ว พิธีกรรมธรรมเนียมจะไม่สามารถครอบงำจิตใจของผู้คน เขาจะเลือกศรัทธาเลื่อมใสเฉพาะบุคคลที่ทรงคุณธรรมและเป็นที่พึ่งแก่จิตวิญญาณของเขาได้ หากบุคคลใดเป็นที่พึ่งทางจิตใจแก่เขาได้และมีน้ำใจ เขาจะเคารพนับถืออย่างจริงใจแม้ผู้นั้นจะไม่โกนหัวก็ตาม
อีกอย่างหนึ่ง คนดีหรือผู้ดีที่สังคมเคยยกย่องและให้ค่านิยมมาตลอด แต่เป็นคนดีที่เพียงรักษาตัวเองให้อยู่รอดหรือไม่กล้ารับผิดชอบ ไม่กล้าเสียสละอย่างแท้จริงเพื่อใครหรือสิ่งใด คนดีเช่นนั้นจะไม่มีคนสนใจและจะถูกมองว่าเป็นกาฝากสำหรับผู้คนที่กำลังเผชิญความทุกข์ยากทั้งหลาย คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดีมีศีลธรรมที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ จะกลายเป็นน้ำเต้าน้อยที่ถอยจมในยุคสมัยนี้อีกเช่นกัน
คนดีในยุคสมัยนี้ที่สังคมต้องการนั้น จะต้องเป็นคนที่มีความกล้าหาญ กล้าเปลืองตัว กล้าเสียสละทุ่มเท กล้ารับผิดชอบ คนเช่นนี้แหละจะกลายเป็น "คนดี"ที่สังคมต้องการ ซึ่งคนดีประเภทนี้อาจเคยผ่านความเป็นคนชั่วมาก็ได้ แต่ในยามคับขันเขาเลือกเส้นทาง "พิทักษ์รักษาคุณธรรม" ไว้อย่างมั่นคง
เราจะไม่เป็นทั้งกระเบื้องที่เฟื่องฟูลอย อันจะเพิ่มความยุ่งยากแก่บ้านเมืองให้สับสน เราไม่เป็นทั้งน้ำเต้าน้อยที่เคยลอยแล้วต้องมาจม แต่เราจะเป็นเรือเดินมหาสมุทรที่ไม่หวั่นไหวต่อมรสุมทั้งปวง
ใครจะเป็นกระเบื้องที่เฟื่องฟุ้งก็ช่างเขา ใครจะเป็นน้ำเต้าที่เน่าในและจมลงใต้น้ำก็ต้องปล่อยไปตามกรรมของสัตว์โลก ขอเพียงดำรงใจของเราไม่ให้ต้องทุกข์โศก แล้วก็ดำเนินชีวิตไปตามครรลองอันดีงามไปแต่ละวัน ชีวิตของเรานั้นก็ถือว่าได้ทำหน้าที่อันคุ้มค่าและสมศักดิ์ศรีแล้วในการได้เกิดมา
ในยามบ้านเมืองประสบกับยุคเข็ญ ท่านสอนให้หมั่นบำเพ็ญศีล ๕ ไว้ประจำชีวิต หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน ท่านเคยบอกว่า "ต่อให้คนเดินไปในสถานที่อันตรายแห่งเดียวกัน หากระเบิดลงตรงนั้น คนอื่นอาจไม่รอด แต่ผู้มีศีล ๕ จะรอดพ้นอย่างอัศจรรย์" ส่วนคนที่มีบุญยิ่งกว่านั้น ท่านว่าจะมีเหตุมาตัดรอนไม่ให้ได้เข้าไปสู่สถานที่แห่งนั้น และถ้าจะต้องได้ไปเพราะมีเหตุธุระจำเป็น ก็จะได้ไปในยามไม่มีอันตรายใดๆในวันนั้นหรือช่วงเวลานั้น นี้คืออานุภาพของศีลที่คุ้มครองรักษาที่ทำให้เกิดความแคล้วคลาด
บางคนหากฟังธรรมก็ไม่เข้าใจ นั่งสมาธิก็ไม่ได้ ก็ขอให้รักษาศีล ๕ ไว้อย่างมั่นคง ศีลจะช่วยคุ้มครองรักษา ครูบาอาจารย์ท่านย้ำอยู่เสมอว่า “ศีล ๕ นำไปสู่ความเป็นโสดาบัน” เพราะศีลจะช่วยขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสมีสติมากขึ้น คนมีศีล ๕ จะทำให้เข้าใจการดำเนินจิตตามแนวทางสติธรรมชาติได้ง่าย
คนทั่วไปจะมีสติเพียงแค่ ๑ เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนเรียนหนังสือเก่งสอบได้เกียรติยมหรือได้ที่หนึ่งในช่วงเวลานั้น สติจะมีเพียง ๒ – ๓ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น บุคคลที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพหรือเป็นผู้นำในอาชีพนั้นๆ เขาจะมีสติอยู่ระดับ ๕ เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าบุคคลใดมีสติได้ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เขาจะกลายเป็นอัจฉริยบุคคลเหนือกว่าคนทั่วไป
สำหรับพระโสดาบันบุคคล ท่านมีสติครองใจ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นท่านจึงมีอารมณ์ที่เบิกบานแจ่มใสเป็นปกติมากกว่ามหาเศรษฐีหรือประธานาธิบดีของโลกทั้งหลาย
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า “พระโสดาบัน ประเสริฐกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง” เพราะอานุภาพของสตินี้เอง ส่วนพระอรหันต์คือบุคคลที่ท่านมีสติ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มบริบูรณ์
คุรุอตีศะ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗