ความรักจักช่วยเยียวยา

ความรักจักช่วยเยียวยา

 

             จงปล่อยให้หัวใจทำหน้าที่ให้มากขึ้น  ความสุขความอบอุ่นที่โหยหาจะเข้ามาสู่ชีวิตของเรา เพราะระบบการศึกษาที่สอนกันมาให้ใช้เหตุผลตลอดเวลา  การอบรมส่งสอนที่มักสอนให้ขีดวงจำกัดของชีวิตไว้ว่า "อะไรที่ไม่มีเหตุผลคือสิ่งผิด"  แล้วเราก็เอาระบบความคิดแบบนั้นมาใช้กับชีวิต  ตัวชีวิตและความรักภายในหัวใจจึงไม่อาจพบกับแสงตะวัน  นั่นคือหลุมพรางที่สังคมดักเราไว้ในนามว่า "การศึกษา"มาตลอด

 

             ระบบการศึกษาที่เน้นการใช้สมองฝั่งซ้ายหรือการใช้เหตุผล  ย่อมเป็นประโยชน์สำหรับการแข่งขันกันและทะเยอทะยาน  มีประโยชน์มากในการแสวงหาความร่ำรวยหรืออำนาจราชศักดิ์ในชีวิตทางโลก

 

            แต่สำหรับเรื่องของความสุขของหัวใจ  ความสงบมั่นคงทางอารมณ์ หรือการเข้าถึงความรักอันงดงาม ต้องใช้หัวใจหรือสมองฝั่งขวาในการปลุกจิตไร้สำนึกขึ้นมาด้วยอำนาจของสติ ชีวิตจึงจะเข้าถึงความสุขอันลึกซึ้ง ที่ประกอบด้วยความรู้ ตื่น เบิกบาน ตามเส้นทางของอริยะที่ท่านพยายามชี้นิ้วให้มองเห็นดวงจันทร์นับแต่โบราณกาล

 

             ผู้คนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตด้วยสมองฝั่งซ้ายร้อยละ ๘๐ ขึ้นไปทั้งหมด  ส่วนสมองฝั่งขวาคือการมีสตินั้น เราได้ใช้ไม่ถึงร้อยละ ๕ ด้วยซ้ำ  นี้คือต้นตอของความทุกข์ทั้งมวลของผู้คนยุคปัจจุบัน

 

            การมุ่งพัฒนาแต่สมองฝั่งซ้ายตั้งแต่ชั้นอนุบาลเพื่อให้เก่งเหนือคนอื่นนั้น ทำให้ผู้คนกลายเป็นคนมีสมาธิสั้นและขาดความอดทนต่อชีวิตอย่างชนิดที่ใครคาดไม่ถึง  ความมีวุฒิภาวะทางอารมณ์จึงมีน้อย

 

           คนสมัยนี้จึงทำสมาธิเกิดได้ยากกว่าคนสมัยสี่สิบปีที่แล้ว  การสอนให้รักษาศีล ทำสมาธิ จึงกลายเป็นสิ่งยากเย็น  เพราะเราขาดการพัฒนาสมองฝั่งขวาอย่างต่อเนื่องมายาวนาน

 

           การถ่ายทอดธรรมะสู่คนยุคนี้  จึงไม่อาจเริ่มต้นด้วยการให้สมาทานรักษาศีลด้วยความสุขและภาคภูมิเหมือนคนรุ่นก่อน  นี้คือการขาดช่วงหรือช่องว่างระหว่างผู้คนที่แม้อยู่บ้านเดียวกัน แต่หัวใจอยู่คนละโลก   เมื่อการรักษาศีลคือความปกติของชีวิตไม่อาจเกิดได้  สมาธิจึงไม่อาจเป็นไปได้เป็นเรื่องธรรมดา

 

           สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่โหยหาในสังคมเวลานี้  ไม่ใช่ศีล ไม่ใช่การทำสมาธิดังที่เคยยึดถือเป็นมาตรฐานตลอดมา  แต่สิ่งที่ทุกคนต้องการคือปัญญา อันเป็นแสงสว่างในการชี้ทางว่าชีวิตควรเดินไปทางใด

 

           เมื่อเขาเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  พระพุทธองค์สอนอะไรที่จะทำให้หัวใจดวงนี้คลายจากความทุกข์ระทมขมขื่น ให้ดวงจิตคลายจากความคับแค้นและความหม่นหมองทั้งปวงได้  เมื่อเขาตั้งสติได้และความทุกข์ในหัวใจเบาบางลง  เขาจะเกิดศรัทธาในการอยากบำเพ็ญรักษาศีลตามมา หลังจากนั้นจิตใจที่มีความสุขและมีความอ่อนโยน  สมาธิจะบังเกิดขึ้นในหัวใจของเขา  เกิดความรู้สึกอบอุ่นในชีวิต มีความเป็นอยู่ในแต่ละวันด้วยความรู้ ตื่น เบิกบานอย่างเป็นไปเอง

 

             นี้คือการดำเนินจิตหรือการปฏิบัติของคนยุคปัจจุบันที่จะได้ผลอย่างแท้จริง  การได้รับกระแสธรรมจากอริยะจักทำให้หัวใจเริ่มสัมผัสความรักอันงดงาม  ความเป็นผู้มีศีลและมีสมาธิจักตามมาโดยอัตโนมัติ

 

            เพราะพวกเราส่วนใหญ่ ไปรู้จักแต่เพศศึกษาแบบชีววิทยาเพียงด้านเดียว  อันเป็นภูมิความรู้เพียงหนึ่งในสามหรือเพียงครึ่งเดียว ขององค์รวมแห่งความรู้อันแท้จริงของภูมิปัญญาแห่งบรรพกาลเท่านั้น

 

            คือเรารู้จักแต่เพศศึกษาทางสรีรวิทยาหรือชีววิทยา  แต่ไม่รู้ว่าเพศศึกษาที่มหาโยคีปตัญชลีรจนาไว้เมื่อหลายพันปีแห่งชมพูทวีป ท่านหมายถึงการหลอมรวมหัวใจเพื่อไปสู่จิตวิญญาณที่สูงกว่านั้น  คนส่วนใหญ่สมัยนี้จึงได้รู้จักความรักแต่ในทางสรีรวิทยา  แต่ความรักอันสูงส่งและละเอียดอ่อนที่ยิ่งกว่า เราส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนจนถึงขั้นนำไปสู่การภาวนาอย่างที่ท่านมหาโยคีท่านรจนาไว้ในคัมภีร์  เราจึงเข้าไม่ถึงความรักอันแท้จริง บางคนยิ่งหมกมุ่นแสวงหา  กลับยิ่งรู้สึกว่าความรักยิ่งดูห่างไกลออกไปจากชีวิตทุกที

 

             การเดินทางไปสู่ความรักอันงดงามนั้น  สำหรับผู้เป็นบรรพชิตท่านวางหลักไว้แล้วด้วยไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา  เมื่อจิตดำเนินไปถึงจุดหมาย ท่านจะมีพลังแห่งเมตตาที่ไม่มีความเป็นหญิงชาย ดังเราจะเห็นได้จากครูบาอาจารย์ผู้ทรงภูมิธรรมจะไม่รังเกียจเพศตรงข้ามเหมือนสมัยตอนท่านฝึกหัดตนใหม่ๆ

 

            ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตในกรอบของความเป็นนักบวช  ก็ดำเนินจิตด้วยความมีสติท่ามกลางการบุกลุยโคลนนั่นเอง  เพราะตนได้เลือกที่จะเดินทางอันสมบุกสมบันเช่นนั้นโดยไม่มีใครบังคับ  ทางอันทุรกันดารเช่นนี้ บางทีก็อาจรู้สึกสนุกสนานและมีรสชาติดีสำหรับบางคนก็ได้  เพียงแต่อย่าเผลอไปอวดกับผู้ที่ครองเพศบรรพชิตว่าทางของตนสนุกกว่าของท่านก็แล้วกัน  มิฉะนั้นอาจเกิดวิบากกรรมอย่างทันควันที่ไปลบหลู่หรือตีตนเสมอท่านต่อผู้ทรงอุดมเพศ ผู้ทรงไว้ซึ่งธงชัยของพระอรหันต์ เพียงเท่านั้นเราก็จะสามารถบุกป่าฝ่าโคลนไปถึงความรักอันงดงามได้เช่นเดียวกัน สามารถทรงภูมิจิตได้ถึงขั้นสกิทาคามีอย่างแน่นอน

 

             สำหรับผู้ที่บำเพ็ญเนกขัมมะบารมีมาแก่กล้าแต่อดีต  และรู้สึกว่าชีวิตนี้คงไม่มอดม้วยดอกถ้าอดเสน่หาตามที่บุษบาเสี่ยงเทียนหาระเด่นมนตรีในวรรณคดี  ก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวทันสมัยแล้วลงไปลุยโคลนเช่นผู้มีความหาญกล้าเหล่านั้น  เพราะวิสัยของท่านเหล่านั้นท่านอาจหาญกล้าเช่นนั้นได้  แต่สำหรับตัวเราเพียงเดินลงไปก้าวเดียวอาจจมลงในโคลนไม่ได้โผล่ขึ้นมาหายใจ  เพราะเราไม่ได้สร้างอุปนิสัยในการที่จะเป็นผู้กล้าในการบุกป่าฝ่าดงแบบคนอื่น  ลงไปลุยแล้วอาจสะอื้น ไม่ได้สดชื่นเหมือนท่านเหล่านั้นก็ได้

 

            หากบุคคลใดมีวาสนาสร้างมาในทางน้อมไปในทางพรหมจรรย์เช่นนี้  หากบุญบารมีในทางธรรมยังไม่สุกงอมได้ที่  จะครองโสดเชยชมความงดงามของชีวิตชาวโลกให้สมใจก่อนก็ได้ จนกว่าจะถึงวันหนึ่งที่บุญบารมีเต็มเปี่ยมที่ชีวิตจะได้บำเพ็ญบารมีต่อไป  ก็จงตัดสินใจเข้ามาบวชในศาสนาเพื่อช่วยกันค้ำชูและจรรโลงรักษาพระบวรพุทธศาสนา สืบอายุพระศาสนาให้ยืนยาวสืบไป

 

             ขอให้เราทั้งหลายจงใส่ใจกับความรักให้มากขึ้น  ความรักที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่ใช่การเที่ยวไปสร้างความสัมพันธ์กับใครๆอันเข้าข้างกิเลสอย่างที่บางคนอาจพยายามเฉโก  แต่คือการปล่อยหัวใจของเราให้ทำหน้าที่มากขึ้น  หลังจากที่ปล่อยให้สมองทำงานอยู่ฝ่ายเดียวจนชีวิตเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดมานาน

 

              จงมองเห็นความงดงามของต้นไม้ทั้งในยามหน้าฝนและหน้าแล้ง มองเห็นความงามของผืนดินทั้งในยามแตกระแหงและในยามที่ฝนฉ่ำ  มองเห็นความงดงามของคนที่อยู่เคียงข้างในยามที่ตกระกำ  มองเห็นความงามของมรสุมชีวิตที่โหมกระหน่ำ ที่ไม่นานก็เสื่อมหายไป  นี้คือหัวใจที่จะเริ่มรู้จักความรัก

 

              ผู้มีคู่ครอง มีคู่ชีวิต จงพัฒนาความรักที่เริ่มต้นด้วยกิเลสตัณหา ไปสู่ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าทีละน้อย  เราได้มาร่วมชะตากรรมกันแล้ว  ร่างกายและหัวใจของเราจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของกันและกัน  เพียงเริ่มดำริในจิตไว้เช่นนี้เท่านั้น  ความรักอันเต็มด้วยพลังสร้างสรรค์จะมาสถิตอยู่ในครอบครัวของเรา

 

               อย่ามัวมุ่งบำเพ็ญสมาธิเพื่อตัดกิเลสจนเกินไปนัก  จงหันมามอบความรักความเมตตาแก่คนที่อยู่ข้างๆให้มากขึ้น  เมื่อความรักความอบอุ่นเกิดขึ้นในหัวใจ  สมาธิอันเยือกเย็นสงบสุขจะเกิดขึ้นแก่ชีวิตอย่างที่เราไม่ต้องคาดคิดล่วงหน้า  สมาธิย่อมเปรียบเสมือนสายลม ที่เมื่อถึงเวลาก็ลอยมาเองทางหน้าต่าง

 

                ให้ความรักความเมตตาได้ทำหน้าที่เยียวยาหัวใจ โดยไม่ต้องไปเรียกหาเหตุผลอะไรให้มากนัก  เราต่างระทมขมขื่นกับการหาเหตุผลหรือเรียกร้องเหตุผลจากกันและกันมามากแล้ว  เมื่อตอนรักกันใหม่ๆก็ไม่เห็นได้ใช้เหตุผลอะไร แล้วทำไมเราต้องมามีทิฐิมานะเอาชนะคนที่ทุกข์ยากด้วยกันมานาน

 

               เลิกเอาถูกเอาผิดต่อกัน  ประตูสวรรค์ย่อมเปิดรับหัวใจของคนทั้งสอง  เทวดาที่รักษาก็จะอนุโมทนา  เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว ทุกดวงใจล้วนต้องการได้รับการเยียวยาจากความรักเสมอ

 

               เรื่องของชีวิตที่อ่อนล้า  หัวใจของเราต้องการความรักความเมตตาต่อกันยิ่งกว่าเหตุผลผิดถูกใดๆ  ความรักคือพรอันประเสริฐที่จะทำให้ชนะอุปสรรคและขวากหนามทั้งปวง

 

              เมื่อความรักความเมตตาบังเกิดขึ้นในดวงใจ  ปัญหาชีวิตอันมากมาย  ย่อมมลายไปในทันที  นี้คืออานุภาพของความรัก

 

 

                                                                                คุรุอตีศะ

                                                                        ๒๔  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๗