การดำเนินจิต
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
การดำเนินจิต
การถ่ายทอดธรรมะในยุคสมัย ที่ผู้คนส่วนใหญ่จิตใจเต็มไปด้วยความเคว้งคว้างและสับสน ต้องใช้ความอดทนและมีความเมตตาอย่างสูง ผู้ถ่ายทอดจึงจะสามารถเกื้อกูลผู้คนได้
การดำเนินจิตของผู้คนในยุคนี้ก็เช่นกัน ต้องยึดหลักอันเหมาะสมสำหรับวิถีของตนไว้ให้มั่น การภาวนาต่างๆนั้นจึงจะสำเร็จผลและเกิดสติธรรมชาติที่รู้ ตื่น เบิกบานในที่สุด
ก่อนอื่นพึงเข้าใจว่า เหตุที่สอนวิธีดำเนินจิตที่ต่างจากการสอนกรรมฐานโดยวิธีปกติทั่วไปที่มีอยู่แล้วนั้น ก็เพราะต้องการช่วยเหลือบางคนที่อยู่ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของชีวิตชาวโลกที่มีบุญบารมีมาแต่เดิม แต่ปัจจุบันกำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางมรสุมชีวิตที่ตนยังต้องตกอยู่ในวังวนที่จับทิศทางของชีวิตยังไม่พบ จะได้มองเห็นทิศทางแล้วก้าวเดินต่อไป
การดำเนินจิตตามหลักของ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขาที่ท่านสอนกันมาตลอดโดยเน้นการรักษาศีลเป็นพื้นฐานขั้นแรกนั้น เป็นคำสอนที่เป็นมาตรฐานสมบูรณ์แบบที่สุด เป็นเส้นทางแห่งการดำเนินจิตไปสู่ความหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง แต่ย่อมเหมาะแก่ยุคสมัยที่ผู้คนยังดำเนินชีวิตอันประกอบด้วยศีลธรรมและมีหิริโอตตัปปะเป็นส่วนใหญ่เกินร้อยละ ๗๕ ของสังคม
ยุคสมัยเช่นนั้นได้มาสะดุดหยุดลงในปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ ตามชะตาของโลก ดังนั้น นับแต่นั้นเป็นต้นมา ศีลธรรมของชาวโลกได้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว กามารมณ์ได้แพร่ระบาดไปทั้งโลก ความเสื่อมโทรมเกิดขึ้นแก่ทุกศาสนาไม่ใช่แต่ศาสนาพุทธ สตรีส่วนใหญ่ไม่สามารถรักนวลสงวนตัวครองความบริสุทธิ์ จนกว่าจะถึงวันส่งตัวเข้าหอตามมาตรฐานของพิธีมงคลสมรสที่เป็นมาตรฐานสากลได้อีกแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา
การดำเนินจิตตามไตรสิกขาดังกล่าว จึงไม่อาจรับมือกับวิกฤตการณ์ทางศีลธรรมดังกล่าว เนื่องจากอยู่ในช่วงยุคสมัยที่สตรีไม่สามารถครองพรหมจรรย์ก่อนการแต่งงานได้ถึงร้อยละ ๕๐ การดำเนินจิตในช่วงเวลานี้จึงต้องสอนการดำเนินจิตแบบกรณีพิเศษเพื่อช่วยคนที่มีบุญบารมีที่เกิดมาในยุคนี้ เพื่อพวกเขาจะได้ประคองตนไว้ได้จนกว่าจะได้รู้แจ้งสัจธรรมต่อไป
การดำเนินจิตในกรณีพิเศษเช่นนี้ จะดำเนินไปจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๕ หลังจากนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านรอคอยเวลาที่จะออกจากป่า หรือที่ท่านเร้นกายอยู่ตามสถานที่หรือในมิติต่างๆตามวิธีของท่าน จึงจะออกมาช่วยกันฟื้นฟูคำสอนตามหลักไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ของพระพุทธองค์เพื่อนำผู้คนที่รอดพ้นจากยุคนี้นั้นไปสู่ “วิถีแห่งการรู้แจ้ง”ต่อไป
๑. การดำเนินจิตในช่วงเวลานี้ ผู้ใดที่ครองความบริสุทธิ์ไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง คนกลุ่มนี้ขอให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ แล้วหมั่นเจริญสติสมาธิภาวนาด้วยวิธีรู้ ตื่น เบิกบานไว้เป็นชีวิตประจำวันไว้เสมอ อย่าหวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยุหรือคำชักจูงให้ประพฤติตนในทางทำลายความภาคภูมิใจของตัวเอง คนกลุ่มนี้อาจมีน้อย แต่จะกลายเป็นที่พึ่งของคนอื่นต่อไปในภายหน้า จะเป็นผู้มีอำนาจตบเดชะเกื้อกูลคนได้ทั้งชายและหญิง
๒. การดำเนินจิตของผู้มีคู่ครองหรือเกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์ พึงมีสติในการเกี่ยวข้องกัน ไม่ลุ่มหลงเมามันและก็ไม่รังเกียจผลักต้าน พึงมีกามสังวรเฉพาะคู่ครองเพื่อไม่ให้พลังด้านลบเข้ามาสู่ชีวิตของตนและครอบครัวของตน การเกี่ยวข้องกับสตรีที่ทำไปเพียงเพื่อบำบัดความต้องการ จะทำให้เทวดาที่เคยคุ้มครองรักษาไม่ยินดีในการอารักขา ส่วนสตรีที่ไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษที่ขาดสติหยาบกระด้าง จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยและทำลายจิตสำนึกที่ดีงามในการเจริญอริยมรรคของตน ยกเว้นแต่จะเลือกเส้นทางของปุถุชน ไม่คิดหวังมรรคผลใดๆในชาตินี้ ก็ไม่ต้องมีข้อห้ามใดๆ
๓. การดำเนินจิตของผู้ผิดหวังในครอบครัวหรือในความรัก บุคคลประเภทนี้ต้องเริ่มต้นเยียวยาจิตใจของตนเองโดยการครองตนอยู่ในพรหมจรรย์ ไม่ไปรีบมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามให้ได้จนพ้นหนึ่งปี จิตใจที่ยับเยินสูญเสียจึงจะกลับฟื้นคืนมาและกลายเป็นคนใหม่ที่จิตใจหนักแน่นมั่นคง ใครทำได้เช่นนี้ อริยมรรคของบุคคลนั้นย่อมอยู่แค่เอื้อมไม่ต้องรอยุคสมัย เขาหรือเธอจะกลายเป็นพี่เลี้ยงให้แก่คนอื่นต่อไป
๔. การดำเนินจิตของสตรีที่ดั้งเดิมจิตใจดีและมีบุญมาแต่ก่อน แต่เกิดมาชาตินี้ได้มีชีวิตที่ผิดพลาดไปตามกระแสเชี่ยวกรากของสังคม จนถึงขั้นได้ทำแท้งทั้งที่ใจไม่ประสงค์แม้แต่น้อย ขอให้เอาบุญเดิมของตนมาต่อกับบุญใหม่แล้วสร้างความเด็ดเดี่ยวในดวงใจไม่เยื่อใยต่ออดีตที่ผ่านมา ให้หมั่นบริจาคทานบูชาถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือถวายทานต่อพระอริยเจ้าทั้งหลายโดยไม่ต้องบอกความลับต่อท่านก็ได้ เพียงแต่น้อมใจเพื่อให้ท่านรับรู้เพื่อช่วยคลี่คลายวิบากกรรมของตน แล้วอุทิศบุญกุศลให้แก่ดวงวิญญาณจนกว่าจะรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ ให้หาโอกาสรักษาศีล ๘ ให้ต่อเนื่องกันจนครบ ๗ วันให้ได้ ๓ ครั้งก่อนอายุครบ ๔๕ ปี ชีวิตจะปลอดโปร่งและสามารถเจริญอริยมรรคได้ภายในชีวิตนี้ ปมด้อยในใจทั้งปวงจะสูญสิ้นไป ชีวิตใหม่ที่สดใสจะเกิดขึ้น
๕. การดำเนินจิตของผู้เกิดมาสร้างบารมีหรือเกิดมาค้ำจุนพระศาสนา คนจำพวกนี้บางคนก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเกิดมาทำไม เนื่องจากธรรมชาติหรือกฎของสวรรค์ปิดบังไว้ จนกว่าจะได้พบกับสถานที่ที่ตนจะได้สร้างบารมี หรือจนกว่าชะตาชีวิตของตนจะถึงกาลเวลาอันเหมาะสมที่จะต้องรับใช้พระศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งลี้ลับก็จะนำพาชีวิตให้ไปสู่สถานที่นั้น หรือพบกับบุคคลที่จะชักพาให้ตนได้สร้างบารมีหรือค้ำจุนพระศาสนาอย่างไม่น่าเป็นไปได้ การดำเนินจิตของคนชนิดนี้ย่อมเป็นไปโดยง่ายเพราะเป็นดวงจิตที่เปี่ยมด้วยศรัทธาเหมือนดอกบัวรอคอยแสงพระอาทิตย์อยู่แล้ว เพียงได้ฟังพระธรรมที่ชี้ทางให้สัมผัสกับสติธรรมชาติ ก็จะเข้าใจวิถีแห่งจิตเดิมแท้ที่รู้ ตื่น เบิกบาน โดยอาจไม่เคยนั่งสมาธิก็ได้เพราะเป็นของเก่ามาก่อน บุคคลชนิดนี้ไม่จำต้องนั่งสมาธิจิตก็ตั้งมั่นได้ เพียงแต่อยู่กับอาการรู้ ตื่น เบิกบานเรื่อยไป ชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันก็มีความสุขร่มเย็นแล้ว
การดำเนินจิตของแต่ละคนจึงไม่อาจเหมือนกันได้ เพราะขณะนี้อยู่ในยุคสมัยแห่งรอยต่อที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคถิ่นกาขาวเข้าสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ การสื่อสารธรรมะที่ดำเนินมาส่วนใหญ่จึงอาจผิดแปลกไปจากหลักทั่วไปบ้างดังกล่าวมา ดังนั้น จึงขอให้ทุกคนจงหมั่นภาวนา เพื่อจะได้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงโดยสวัสดีทั่วกัน
คุรุอตีศะ
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗