การดำเนินจิต

การดำเนินจิต

 


                การถ่ายทอดธรรมะในยุคสมัย ที่ผู้คนส่วนใหญ่จิตใจเต็มไปด้วยความเคว้งคว้างและสับสน  ต้องใช้ความอดทนและมีความเมตตาอย่างสูง ผู้ถ่ายทอดจึงจะสามารถเกื้อกูลผู้คนได้


                การดำเนินจิตของผู้คนในยุคนี้ก็เช่นกัน  ต้องยึดหลักอันเหมาะสมสำหรับวิถีของตนไว้ให้มั่น  การภาวนาต่างๆนั้นจึงจะสำเร็จผลและเกิดสติธรรมชาติที่รู้ ตื่น เบิกบานในที่สุด


                ก่อนอื่นพึงเข้าใจว่า  เหตุที่สอนวิธีดำเนินจิตที่ต่างจากการสอนกรรมฐานโดยวิธีปกติทั่วไปที่มีอยู่แล้วนั้น  ก็เพราะต้องการช่วยเหลือบางคนที่อยู่ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของชีวิตชาวโลกที่มีบุญบารมีมาแต่เดิม  แต่ปัจจุบันกำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางมรสุมชีวิตที่ตนยังต้องตกอยู่ในวังวนที่จับทิศทางของชีวิตยังไม่พบ  จะได้มองเห็นทิศทางแล้วก้าวเดินต่อไป


               การดำเนินจิตตามหลักของ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขาที่ท่านสอนกันมาตลอดโดยเน้นการรักษาศีลเป็นพื้นฐานขั้นแรกนั้น  เป็นคำสอนที่เป็นมาตรฐานสมบูรณ์แบบที่สุด เป็นเส้นทางแห่งการดำเนินจิตไปสู่ความหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง  แต่ย่อมเหมาะแก่ยุคสมัยที่ผู้คนยังดำเนินชีวิตอันประกอบด้วยศีลธรรมและมีหิริโอตตัปปะเป็นส่วนใหญ่เกินร้อยละ ๗๕ ของสังคม


              ยุคสมัยเช่นนั้นได้มาสะดุดหยุดลงในปีพุทธศักราช  ๒๕๓๕ ตามชะตาของโลก ดังนั้น นับแต่นั้นเป็นต้นมา ศีลธรรมของชาวโลกได้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว  กามารมณ์ได้แพร่ระบาดไปทั้งโลก ความเสื่อมโทรมเกิดขึ้นแก่ทุกศาสนาไม่ใช่แต่ศาสนาพุทธ สตรีส่วนใหญ่ไม่สามารถรักนวลสงวนตัวครองความบริสุทธิ์ จนกว่าจะถึงวันส่งตัวเข้าหอตามมาตรฐานของพิธีมงคลสมรสที่เป็นมาตรฐานสากลได้อีกแล้ว  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา


             การดำเนินจิตตามไตรสิกขาดังกล่าว จึงไม่อาจรับมือกับวิกฤตการณ์ทางศีลธรรมดังกล่าว  เนื่องจากอยู่ในช่วงยุคสมัยที่สตรีไม่สามารถครองพรหมจรรย์ก่อนการแต่งงานได้ถึงร้อยละ ๕๐  การดำเนินจิตในช่วงเวลานี้จึงต้องสอนการดำเนินจิตแบบกรณีพิเศษเพื่อช่วยคนที่มีบุญบารมีที่เกิดมาในยุคนี้ เพื่อพวกเขาจะได้ประคองตนไว้ได้จนกว่าจะได้รู้แจ้งสัจธรรมต่อไป


            การดำเนินจิตในกรณีพิเศษเช่นนี้  จะดำเนินไปจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๕ หลังจากนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านรอคอยเวลาที่จะออกจากป่า หรือที่ท่านเร้นกายอยู่ตามสถานที่หรือในมิติต่างๆตามวิธีของท่าน จึงจะออกมาช่วยกันฟื้นฟูคำสอนตามหลักไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ของพระพุทธองค์เพื่อนำผู้คนที่รอดพ้นจากยุคนี้นั้นไปสู่ “วิถีแห่งการรู้แจ้ง”ต่อไป


         ๑. การดำเนินจิตในช่วงเวลานี้  ผู้ใดที่ครองความบริสุทธิ์ไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง คนกลุ่มนี้ขอให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ แล้วหมั่นเจริญสติสมาธิภาวนาด้วยวิธีรู้ ตื่น เบิกบานไว้เป็นชีวิตประจำวันไว้เสมอ อย่าหวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยุหรือคำชักจูงให้ประพฤติตนในทางทำลายความภาคภูมิใจของตัวเอง  คนกลุ่มนี้อาจมีน้อย แต่จะกลายเป็นที่พึ่งของคนอื่นต่อไปในภายหน้า  จะเป็นผู้มีอำนาจตบเดชะเกื้อกูลคนได้ทั้งชายและหญิง


        ๒. การดำเนินจิตของผู้มีคู่ครองหรือเกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์  พึงมีสติในการเกี่ยวข้องกัน ไม่ลุ่มหลงเมามันและก็ไม่รังเกียจผลักต้าน  พึงมีกามสังวรเฉพาะคู่ครองเพื่อไม่ให้พลังด้านลบเข้ามาสู่ชีวิตของตนและครอบครัวของตน การเกี่ยวข้องกับสตรีที่ทำไปเพียงเพื่อบำบัดความต้องการ จะทำให้เทวดาที่เคยคุ้มครองรักษาไม่ยินดีในการอารักขา ส่วนสตรีที่ไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษที่ขาดสติหยาบกระด้าง จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยและทำลายจิตสำนึกที่ดีงามในการเจริญอริยมรรคของตน ยกเว้นแต่จะเลือกเส้นทางของปุถุชน ไม่คิดหวังมรรคผลใดๆในชาตินี้  ก็ไม่ต้องมีข้อห้ามใดๆ


       ๓. การดำเนินจิตของผู้ผิดหวังในครอบครัวหรือในความรัก บุคคลประเภทนี้ต้องเริ่มต้นเยียวยาจิตใจของตนเองโดยการครองตนอยู่ในพรหมจรรย์ ไม่ไปรีบมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามให้ได้จนพ้นหนึ่งปี จิตใจที่ยับเยินสูญเสียจึงจะกลับฟื้นคืนมาและกลายเป็นคนใหม่ที่จิตใจหนักแน่นมั่นคง  ใครทำได้เช่นนี้ อริยมรรคของบุคคลนั้นย่อมอยู่แค่เอื้อมไม่ต้องรอยุคสมัย  เขาหรือเธอจะกลายเป็นพี่เลี้ยงให้แก่คนอื่นต่อไป


       ๔. การดำเนินจิตของสตรีที่ดั้งเดิมจิตใจดีและมีบุญมาแต่ก่อน แต่เกิดมาชาตินี้ได้มีชีวิตที่ผิดพลาดไปตามกระแสเชี่ยวกรากของสังคม จนถึงขั้นได้ทำแท้งทั้งที่ใจไม่ประสงค์แม้แต่น้อย ขอให้เอาบุญเดิมของตนมาต่อกับบุญใหม่แล้วสร้างความเด็ดเดี่ยวในดวงใจไม่เยื่อใยต่ออดีตที่ผ่านมา  ให้หมั่นบริจาคทานบูชาถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือถวายทานต่อพระอริยเจ้าทั้งหลายโดยไม่ต้องบอกความลับต่อท่านก็ได้ เพียงแต่น้อมใจเพื่อให้ท่านรับรู้เพื่อช่วยคลี่คลายวิบากกรรมของตน แล้วอุทิศบุญกุศลให้แก่ดวงวิญญาณจนกว่าจะรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ  ให้หาโอกาสรักษาศีล ๘ ให้ต่อเนื่องกันจนครบ ๗ วันให้ได้ ๓ ครั้งก่อนอายุครบ ๔๕ ปี  ชีวิตจะปลอดโปร่งและสามารถเจริญอริยมรรคได้ภายในชีวิตนี้  ปมด้อยในใจทั้งปวงจะสูญสิ้นไป ชีวิตใหม่ที่สดใสจะเกิดขึ้น


       ๕.  การดำเนินจิตของผู้เกิดมาสร้างบารมีหรือเกิดมาค้ำจุนพระศาสนา  คนจำพวกนี้บางคนก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเกิดมาทำไม  เนื่องจากธรรมชาติหรือกฎของสวรรค์ปิดบังไว้ จนกว่าจะได้พบกับสถานที่ที่ตนจะได้สร้างบารมี หรือจนกว่าชะตาชีวิตของตนจะถึงกาลเวลาอันเหมาะสมที่จะต้องรับใช้พระศาสนา  สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งลี้ลับก็จะนำพาชีวิตให้ไปสู่สถานที่นั้น หรือพบกับบุคคลที่จะชักพาให้ตนได้สร้างบารมีหรือค้ำจุนพระศาสนาอย่างไม่น่าเป็นไปได้  การดำเนินจิตของคนชนิดนี้ย่อมเป็นไปโดยง่ายเพราะเป็นดวงจิตที่เปี่ยมด้วยศรัทธาเหมือนดอกบัวรอคอยแสงพระอาทิตย์อยู่แล้ว  เพียงได้ฟังพระธรรมที่ชี้ทางให้สัมผัสกับสติธรรมชาติ ก็จะเข้าใจวิถีแห่งจิตเดิมแท้ที่รู้ ตื่น เบิกบาน โดยอาจไม่เคยนั่งสมาธิก็ได้เพราะเป็นของเก่ามาก่อน  บุคคลชนิดนี้ไม่จำต้องนั่งสมาธิจิตก็ตั้งมั่นได้ เพียงแต่อยู่กับอาการรู้ ตื่น เบิกบานเรื่อยไป  ชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันก็มีความสุขร่มเย็นแล้ว


           
              การดำเนินจิตของแต่ละคนจึงไม่อาจเหมือนกันได้ เพราะขณะนี้อยู่ในยุคสมัยแห่งรอยต่อที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคถิ่นกาขาวเข้าสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ การสื่อสารธรรมะที่ดำเนินมาส่วนใหญ่จึงอาจผิดแปลกไปจากหลักทั่วไปบ้างดังกล่าวมา  ดังนั้น จึงขอให้ทุกคนจงหมั่นภาวนา เพื่อจะได้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงโดยสวัสดีทั่วกัน

 

                                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                                  ๒๓  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๗