เพียงความเข้าใจ

เพียงความเข้าใจ

 


             แต่ก่อนเขาเป็นคนดีมาก  ดูแลเอาใจใส่ห่วงใยตลอด  จะขึ้นรถลงรถก็กุลีกุจอคอยปิดเปิดประตูให้  ชอบรับประทานอะไร  ก็จะตามใจพาไปได้เสมอ  แต่เวลานี้เขาเปลี่ยนไป  ดูเฉยชาไม่กระตือรือร้นอะไร  พอบอกว่าอยากจะทานอะไร  เขากลับพูดว่าให้ไปซื้อมาทานเอง เรามีความผิดอะไรหนอ หรือว่าเขาไม่รักเราอีกแล้ว


             ก็เพียงเข้าใจว่า  เขาดูแลเอาใจใส่เราตลอดมา  จนเขาเริ่มอ่อนล้าไม่มีกำลังกายกำลังใจ ในการที่จะดูแลเอาใจใส่ใครได้เท่าเหมือนเมื่อก่อน  เขาเองอยากให้เราเป็นฝ่ายดูแลเขาบ้างเพราะเขารู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิตเต็มที  นี้คือสิ่งที่เขาอยากบอกกับเรา แต่เขาไม่กล้าบอก  ซึ่งบางทีแม้แต่ตัวเขาเอง ก็อาจไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ.....


            แต่ก่อนนั้น  พอเอ่ยปากในตอนเช้าว่าอยากทานปลาทอดมัน  ซึ่งก็เพียงพูดตามใจที่อยากทานจริงๆเท่านั้น โดยไม่ได้หมายมั่นว่าจะได้ทานเดือนไหน ปีไหน  แต่ที่ไหนได้ พอตกเย็นเท่านั้น  ปลาทอดมันที่อยากทานมานาน  ก็หอมกรุ่นอยู่บนโต๊ะอาหาร พร้อมกับรอยยิ้มหวานและสายตาอันภาคภูมิใจของเธอเสียแล้ว  แต่ตอนนี้ พูดว่าอยากทานผัดกระเพรามาเนิ่นนาน จนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว  วี่แววของผัดกระเพราบนโต๊ะอาหาร ก็ยังไม่มีอะไรส่งสัญญาณแม้แต่น้อยจนบัดนี้


            ก็เพียงเข้าใจว่า  แต่ก่อนเธอยังคล่องแคล่วว่องไว เอวบางร่างน้อย จะไปตลาด ใช้เวลาครู่เดียวก็กลับมาแล้ว  แต่ตอนนี้น้ำหนักของเธอเพิ่มขึ้นกว่าเดิมใกล้สิบกิโล  ความคล่องแคล่วอย่างเมื่อก่อนจึงยากจะทำได้เหมือนเดิมอีก


           เวลาไปตลาดเธอก็รู้จักคนมากขึ้นตามสัดส่วนของน้ำหนัก และเธอมักทักทายผู้คนได้เรื่อยไป  จนบางครั้งเธอก็ลืมไปแล้วว่าจะไปซื้ออะไรก็มี  บางทีบอกให้ซื้อปลาสลิด แต่เธอไปเจอแม่ค้าขายปลาเค็มถูกคอกันดี เธอกลับซื้อปลาเค็มมาให้เราทาน  โดยให้เหตุผลว่า ปลาสลิดที่มีในตลาดตอนนี้  ปลาไม่สวยไม่น่าซื้อ  เราจงหัดทำตัวซื่อบื้อและว่าง่าย  แล้วก็จงรับประทานปลาเค็มที่เธอซื้อมาเสียแต่โดยดี.....


              แต่ก่อนลูกของเราบอกอะไรก็เชื่อฟังและว่าง่ายไปทุกอย่าง  แต่ตอนนี้เวลาบอกกล่าวตักเตือนอะไร  เขาจะต้องเถียงเราทุกครั้ง  สิ่งใดที่บอกและแนะนำว่าสิ่งนี้ควรทำ เขาจะไม่ทำ  แต่สิ่งใดที่เราห้ามและไม่อยากให้เขาทำ  เขากลับทำในสิ่งที่เราห้ามอย่างไม่สะทกสะท้านไปเสียก็มี  ยิ่งโตขึ้นมากเท่าไหร่  เขากลับเหมือนไม่ใช่ลูกของเราขึ้นทุกที


              ก็เพียงเข้าใจว่า  เขาก็ลูกของเรานั่นแหละ  แต่ขึ้นชื่อว่า “คน” พ่อแม่ก็เลี้ยงได้แค่ร่างกาย  ส่วนหัวใจของเขานั้น เราไม่อาจเลี้ยงเขาให้เป็นดั่งใจของเราได้เสมอไป  เราเลี้ยงเขา  แต่เขาจะเชื่อฟังเราหรือไม่  ก็เป็นเรื่องเหลือวิสัยที่เราจะควบคุมบังคับบัญชา  เพราะว่าเมื่อเขาเกิดมา  เขาก็ไม่ได้เขียนนิติกรรมสัญญากับเราไว้ว่า เขาจะยินดีเชื่อฟังและปฏิบัติตามความต้องการของเราทุกอย่าง  เราจึงควรดำรงจิตอันประกอบด้วยพรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา   คุณธรรมของความเป็นบิดามารดาของเราจึงจะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์....


              แต่ก่อนนั้นเวลาได้อยู่ใกล้กัน ช่างเป็นคืนและวันที่เปี่ยมด้วยความสุข  ต่างคนต่างบอกว่า อยากให้โลกนี้หยุดหมุน จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป  แต่พอเวลาผ่านไปไม่ทันไร  เวลาอยู่ใกล้กันทีไร  กลับรู้สึกหมั่นไส้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  จะว่าเกลียดเขาก็ไม่ใช่  เพราะหัวใจก็รักเขาไม่อยากให้เขาไปไกล  แต่ทำไมพอเขามาอยู่ใกล้นานเกินไป กลับรู้สึกอึดอัดและหมั่นไส้ชอบกล   ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน


              ก็เพียงเข้าใจว่า  ความรักเมื่อได้รับอย่างเต็มที่  ต่อจากนั้นหัวใจจะต้องการความอิสระ  คนที่ได้รับความรักและคลุกคลีกันอย่างพอเพียง  หลังจากนั้น จะต้องการอิสรภาพและความเป็นส่วนตัว  นี้คือความสมดุลกันระหว่างความรักและความอิสระ...

 
              เพราะผู้คนทั่วไปไม่เข้าใจเคล็ดลับของชีวิตในข้อนี้ ส่วนใหญ่จึงมักเข้าใจว่าต้องรักกันและอยู่ใกล้กันตลอดเวลา  เพียงมีความเข้าใจว่า เพราะต่างฝ่ายต่างได้รับความรักจากกันและกันอย่างเต็มที่  ความต้องการอิสรภาพและต้องการอยู่ส่วนตัวในบางคราว จึงเป็นเรื่องธรรมดา  ชีวิตเช่นนี้คือชีวิตที่มีการพัฒนา เป็นชีวิตที่จะเติบโตทางจิตวิญญาณต่อไป


                 หากเราเข้าใจชีวิตว่า  ความรักกับอิสรภาพเป็นของคู่กัน  เมื่อได้รับความใกล้ชิดเต็มเปี่ยม หลังจากนั้น ความต้องการอิสระส่วนตัวย่อมตามมา  เมื่อได้อยู่กับความสงบและอิสระอย่างเต็มที่แล้ว  หลังจากนั้น หัวใจก็จะคิดถึงกันและต้องการความรักตามมา  นี้คือลีลาอันงดงามของชีวิตอย่างหนึ่ง


               ไม่ควรหมายมั่นว่าจะต้องรักกันและต้องอยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา  ไม่ควรหมายมั่นว่า ความอิสระและความเป็นส่วนตัวเท่านั้น คือความสมบูรณ์ของทุกสิ่ง  บางครั้งชีวิตก็ต้องการความรักความอบอุ่น  บางครั้งก็ต้องการอิสรภาพและต้องการอยู่ตามลำพัง  นี้ไม่ใช่ความผิดปกติแต่อย่างใด  แต่คือความสมดุลของชีวิตที่เราคิดไม่ถึงเท่านั้น


               ไม่หมายมั่นว่าต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ต่อกันและกันเสมอไป  บางวันอาจสดใสด้วยความรักความห่วงใยที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน  แต่บางวันการยอมให้ชีวิตบกพร่องในการเอาใจใส่ต่อกันบ้าง ก็เป็นสีสันและเป็นความจริงที่เราไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด


              เพียงเข้าใจในทุกชีวิตและทุกสิ่ง  ที่เราไม่อาจหมายมั่นให้สิ่งนั้นมั่นคงถาวรเสมอไป เพียงมีความเข้าใจไว้อยู่เสมอเท่านั้น  อุปสรรคและปัญหาที่มากมายสารพัน  จะคลี่คลายไปโดยตัวมันเอง  นี้คือการแก้ปัญหาชีวิตอีกวิธีหนึ่งที่เราไม่ต้องใช้พลังมากเกินไป


              อยู่กับวันนี้ให้ดีที่สุด  มีสติตั้งมั่นในทุกปรากฏการณ์  นี้คือ ความเต็มเปี่ยมของชีวิตแล้ว

 

                                                                                              คุรุอตีศะ
                                                                                      ๑๘  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๗